หลายชั่วโมงหลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าสหรัฐฯจะย้ายสถานทูตของตนในอิสราเอลไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พันธมิตรของสหรัฐฯ จากมาเลเซียไปยังอินโดนีเซีย จนถึงฝรั่งเศส และอังกฤษ ต่างก็ออกมาประณามการกระทำดังกล่าว
การตัดสินใจที่ไม่เป็นที่นิยมนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความย้อนแย้งไปยังนโยบายตลอดหลายทศวรรษของอเมริกันในตะวันออกกลาง ชาวอเมริกันในตุรกี เยอรมนี และทั่วภูมิภาค ได้รับคำเตือนจากสถานทูตสหรัฐฯประจำท้องถิ่น ให้ระมัดระวังตัว หลังจากที่การตัดสินใจของทรัมป์ในประเด็นดังกล่าวแพร่หลายออกไป และเด็กอเมริกันในจอร์แดน ก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้ไปโรงเรียน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ระหว่างการประท้วงในฉนวนกาซาและเขตเวสต์แบงก์ อย่างน้อย 22 ราย ขณะที่กองกำลังกลุ่มฮามาส ของปาเลสไตน์ ถือว่าการตัดสินใจของทรัมป์ในครั้งนี้เป็น “การประกาศสงคราม”
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของทรัมป์เองก็ใช่ว่าจะได้รับความนิยมในสหรัฐฯ รายงานระบุว่า แม้แต่กระทรวงกลาโหมของทรัมป์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็พยายามโน้มน้าวทรัมป์ให้เพิกถอนคำประกาศดังกล่าว มีเพียงชาวอเมริกัน เชื้อสายยิว 16% เท่านั้น ที่เห็นชอบกับการย้ายสถานทูตสหรัฐฯไปยังเยรูซาเล็ม ที่ซึ่งชาวปาเลสไตน์ เช่นดียวกัน ได้อ้างว่าเป็นเมืองหลวงของตน จากการสำรวจความคิดเห็นของชาวอเมริกัน เชื้อสายยิว ในเดือนกันยายน พบว่า โดยรวมแล้ว 63% ของชาวอเมริกันต่อต้านการย้ายสถานทูตดังกล่าว
การตัดสินใจของทรัมป์ คือ “ความผิดพลาดอย่างมหันต์” – Jeremy Ben-Ami ประธาน J-Street หรือ กลุ่มผู้รณรงค์หาเสียงสนับสนุนสันติภาพ (pro-peace) และอิสราเอล (pro-Israel) เกี่ยวกับนิติบัญญัติ ในกรุงวอชิงตันดีซีกล่าวในวันพุธ ทั้งนี้สิ่งที่เขากล่าว ได้สะท้อนให้เห็นถึงคำพูดของประธานาธิบดีฝรั่งเศส Emmanuel Macron และอีกหลายฝ่ายอื่นๆ
ฉะนั้นแล้ว การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร? การตัดสินใจของทรัมป์เป็นตัวอย่างล่าสุด ของวิธีซึ่งกลุ่มผลประโยชน์พิเศษต่างๆ (special interest groups) สามารถผลักดันนโยบายของประเทศได้ มากกว่าผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในสหรัฐฯ หรือแทนที่เป้าหมายทางการทูตในระยะยาวของอเมริกา นักวิเคราะห์กล่าวว่า ผู้บริจาคที่ร่ำรวย กลุ่มล็อบบี้ที่มีอิทธิพล และชาวคริสเตียนขวาจัด เป็นกลุ่มสำคัญที่กดดันให้ประธานาธิบดีมีความกระตือรือร้น ที่จะแสดงให้เห็นว่า เขามีความยินดีทำตามสัญญาที่ให้ไว้ในระหว่างการรณรงค์หาเสียง
ทั้งนี้โฆษกทำเนียบขาวไม่ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับเหตุผลที่ทรัมป์ได้ทำประกาศการย้ายสถานทูตสหรัฐฯในอิสราเอลไปยังเยรูซาเล็ม
ผู้บริจาค Sheldon Adelson และ Miriam Ochsorn
เช่นเดียวกับผู้บริจาคที่มีบทบาทลึกเข้าไปในพรรคริพับลิกัน ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการปฏิรูปภาษีที่เร่งรัด ซึ่งขณะนี้ได้รับการประณีประนอมในสภาคองเกรส พวกเขาก็มีแรงกดดัน โดยตรงต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯในการเปลี่ยนแปลงนโยบายของสหรัฐฯในอิสราเอล
คนที่มีบทบาทโดดเด่นที่สุด คือ ผู้มีอิทธิพลแห่งคาสิโน Sheldon Adelson และภรรยาของเขา Miriam Ochsorn ซึ่งเป็นผู้บริจาคให้แก่พรรครีพับลิกันรายใหญ่ที่สุดในปี 2016 โดยได้หนุนเงินให้แก่พรรคเป็นจำนวนมากถึง 83 ล้านดอลลาร์ แม้ว่า Adelson ไม่ได้ให้การสนับสนุนทรัมป์ระหว่างการแข่งขันรีพับลิกันในตอนต้น แต่กระนั้นก็ได้ให้การสนับสนุนทรัมป์โดยทันที ในช่วงเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ทำให้คู่สามี-ภรรยา มีที่นั่งในพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์
การย้ายสถานทูตสหรัฐฯไปยังเยรูซาเล็มเป็นเป้าหมายหนึ่งที่สำคัญมาโดยตลอดสำหรับคู่สามี-ภรรยานี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้เป็นภรรยา Ochsorn บางคนกล่าวว่า เธอถือกำเนิดในปาเลสไตน์ที่ถูกปกครองโดยอังกฤษ “มีทฤษฎีที่ชี้ว่า Miriam เป็นผู้กำบังเหียนที่แท้จริง ซึ่งขับเคลื่อนหลายๆประเด็นทางการเมืองอยู่เบื้องหลัง” Michael Green ศาสตราจารย์ประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Nevada กล่าว เธออาจจะเป็นคนที่ “มีความมุ่งมั่นทางอุดมการณ์เป็นอย่างมาก” มากกว่าสามีของเธอด้วยซ้ำ ต้องขอบคุณการบริจาคของพวกเขา ตอนนี้ทั้ง Adelson และ Ochsorn สามารถ “ยกหูโทรศัพท์ และโทรเรียกทำเนียบขาว (เพื่อสั่งการได้ทันที)” Green กล่าว
โฆษกบอกกับ Politico ในเดือนเมษายนว่า ก่อนหน้านี้ Adelson ได้ตั้งหน้าตั้งตารอการเคลื่อนไหวในประเด็นดังกล่าวอย่างอดทน ทว่า Axios มีรายงานว่า เขาเริ่มแสดงท่าที “ร้อนรน” ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ภายหลังจากที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม Rex Tillerson ได้ออกคำเตือนให้สหรัฐฯตระหนักถึงความเสี่ยงเกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐาน และกล่าวว่า ประธานาธิบดีต้องการระมัดระวังไม่ให้การกระทำใดๆ ส่งผลกระทบต่อ กระบวนการสันติภาพ
ในแง่ของความไม่พอใจของพวกเขา Adelson และ Ochsorn จนถึงขณะนี้ ยังไม่ได้สบทบทุนบริจาค มากพอที่จะเอาชนะผู้บริจาค 50 อันดับแรก ในช่วงการแข่งขันระหว่างเทอม (midterm races) ประจำปี 2018
คู่สามี-ภรรยา ได้รับประทานอาหารเย็นแบบส่วนตัว ณ ทำเนียบขาว ในวันที่ 2 ตุลาคม ที่ซึ่งพวกเขาพูดคุย เกี่ยวกับเหตุกราดยิงลาสเวกัสเมื่อวันก่อนหน้า และนอกจากนี้ ได้ผลักดันให้นายทรัมป์ทำการย้ายสถานทูต ตามที่มีรายงานโดย the New York Times (paywall) โฆษกของ Adelson ไม่ได้ถอนคืนคำร้องขอดังกล่าว
กลุ่มผู้รณรงค์หาเสียงสนับสนุนอิสราเอล (pro-Israel) เกี่ยวกับนิติบัญญัติ และ คลังสมอง (Think – Tanks)
กลุ่มล็อบบี้โปรอิสราเอลที่มีอิทธิพล ได้ใช้จ่ายเงินจำนวนกว่าหลายสิบล้านดอลลาร์ในสหรัฐอเมริกา ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยความหวังว่า พวกเขาจะสามารถส่งอิทธิพลต่อสภาคองเกรส และอำนาจบริหาร (executive branch)ได้ ตั้งแต่ที่มีความกังวลว่า อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ส่อแวว จะให้การสนับสนุนอิสราเอลน้อยไป ยอดบริจาคโดยบุคคล และคณะกรรมการดำเนินการทางการเมืองก็เพิ่มขึ้นในปี 2008 ซึ่งเป็นปีแรกในสำนักงานประธานาธิบดีของนายบารัค โอบามา พวกเขาทำยอดสูงถึงเกือบ 20 ล้านเหรียญในปี 2016
Daniel Kalik หัวหน้าบุคลากรของ J-Street กล่าวว่า การล็อบบี้ถูกกลบทับเป็นเวลาหลายปี ด้วยเสียงที่หนักแน่นกว่า ซึ่งไม่ได้สะท้อนถึงสิ่งที่ชาวอเมริกัน เชื้อสายยิว ส่วนใหญ่คิดเห็นเกี่ยวกับกรณีอิสราเอลและปาเลสไตน์ ทั้งนี้ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเหล่านี้ และ(เอาชนะ)เหนือกว่าฝ่ายค้านของประธานาธิบดี บิล คลินตัน สภาคองเกรสได้ลงมติในปี 1995 (paywall) เพื่อย้ายสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯในปี 1999 แต่กระนั้นมติดังกล่าวก็ได้ผนวกรวม “คำเตือน” (สำหรับพิจารณาก่อนลงนามตัดสินอย่างเป็นทางการ) ที่จะอนุมัติให้ประธานาธิบดีใด ๆก็ตาม ชะลอการย้ายไปเรื่อย ๆ ด้วยกับเหตุผลด้านความมั่นคง
การย้ายสถานที่ตั้งของสถานทูตสหรัฐฯไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เป็นเรื่องที่อยู่ “นอกกระแสหลัก ในแง่ของการตัดสินใจด้านนโยบาย” Kalik กล่าว เขาระบุว่า มันไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ได้รับคะแนนโหวตจากชาวอเมริกัน เชื้อสายยิว ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นกลุ่มประชากรเพียง 2.6% ของสหรัฐฯเท่านั้น และเหนืออื่นใด พวกเขาเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยที่ก้าวหน้า
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้ลงชิงตำแหน่งทางการเมืองของสหรัฐฯ ได้พยายามที่จะเอาชนะคู่แข่งของพวกเขา โดยการดูว่าใครจะแสดงความเป็น “ผู้สนับสนุนอิสราเอล” (pro-Israel) มากกว่า ในทัศนะของนักล็อบบี้เหล่านี้ ด้วยความหวังว่า มันจะให้การสนับสนุนทางการเงิน และในด้านอื่นๆแก่พวกเขามากขึ้น Kalik กล่าว – คณะกรรมการกิจการสาธารณะอเมริกัน-อิสราเอล (AIPAC) ที่มีอำนาจ ได้ใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนหลายล้านเหรียญทุก ๆ ปีสำหรับการล็อบบี้:
คำสั่งของ AIPAC ที่มีต่อนักการเมืองสหรัฐฯ เป็นหลักฐานชี้ชัดสำหรับเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เมื่อผู้สมัครประธานาธิบดี เทด ครู, จอห์น คาคิช, โดนัลด์ ทรัมป์ และฮิลลารี คลินตัน ทั้งหมดได้เข้าพูดคุยด้วยตนเอง ในการประชุมประจำปีของ AIPAC; Bernie Sanders ได้บันทึกวิดีโอสำหรับงานดังกล่าว
Sanders ผู้สมัครชาวยิวคนเดียว ได้นำเสนอคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่แตกต่างและไม่ค่อยมีใครเคยได้ยิน เกี่ยวกับนโยบายของการล็อบบี้ โดยเขากล่าวว่า “เมื่อเราพูดถึงพื้นที่อิสราเอลและปาเลสไตน์ มันเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องเข้าใจว่า ทุกวันนี้ มีความทุกข์มากมายในหมู่ชาวปาเลสไตน์ ที่เราไม่สามารถเพิกเฉยได้” สันติภาพ – เขากล่าวว่า มีความจำเป็นต้องได้มาจาก การประนีประนอมจาก “ทั้งสองฝ่าย”
John Bolton อาจมีบทบาทในการตัดสินใจของทรัมป์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติ และที่ปรึกษาเพียงครั้งเดียวของทรัมป์ ติดโผอยู่ในคณะกรรมการของสถาบันของชาวยิวเพื่อความมั่นคงของชาติแห่งอเมริกา (Jewish Institute of National Security of America) ซึ่งเป็น คลังสมอง (think tank) ที่ต่อต้านอิหร่าน และสนับสนุนอิสราเอล
แม้ Bolton จะปรารภเมื่อปลายเดือนสิงหาคมว่า เขาถูกปิดฉากจากการร่วมอภิปรายภายในทำเนียบขาว หลังจากนายพล John Kelly เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบขาวของทรัมป์ ทว่าเหตุผลของทรัมป์ ในวันที่ 5 ธันวาคม สำหรับการย้ายสถานทูตสหรัฐฯ ดูเหมือนจะมาจากปากของ Bolton
“หลังจากกว่าสองทศวรรษของการผ่อนผัน เราไม่ได้เข้าใกล้ข้อตกลงสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์มากไปกว่านี้” ทรัมป์กล่าว จากนั้นจึงระบุเหตุผล ที่กรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงที่ชัดเจนของอิสราเอล รวมทั้งความจริงที่ว่า มันเป็นบ้านของรัฐสภาอิสราเอล “มันคงจะโง่เขลา ที่จะคาดการณ์ว่า การใช้สูตรเดียวกันซ้ำอีกครั้ง ในขณะนี้ จะส่งผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน หรือดีกว่า.”
Bolton ได้แสดงทัศนะในลักษณะที่คล้ายกับทรัมป์ ในการพิจารณาไต่สวน ไปยังคณะกรรมการรัฐสภาเมื่อเดือนที่แล้ว (PDF) “ถ้ากระบวนการสันติภาพในตะวันออกกลาง เป็นเช่นเกล็ดหิมะที่ละเอียดอ่อน ซึ่งสถานที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯในอิสราเอลสามารถละลายมันได้ (ดังนั้น) เราจึงต้องสงสัย (ตั้งคำถาม)ว่า มันจะอยู่รอดต่อไปได้อย่างไร” Bolton กล่าว
Bolton ถูกพบเห็นในทำเนียบขาว ณ วันนี้ เขาอยู่ที่นั่น “เพราะเขาเป็นเพื่อนของประธานาธิบดี” โฆษกรัฐบาล Sarah Huckabee Sanders กล่าว
คริสเตียนหัวรุนแรงฝั่งขวาจัด
ในขณะที่นักล็อบบี้ยิสต์ที่สนับสนุนอิสราเอล (Pro-Israel lobbyists) อาจให้แรงขับเคลื่อนทางการเงินอย่างมหาศาล ทว่า การสนับสนุนที่มีต่อทรัมป์ โดยกลุ่มศาสนิกชน คริสเตียนอีแวนเจลิค (ซึ่งเป็นสายหนึ่งในนิกายโปรแตสแตนท์) ผู้ซึ่งลงคะแนนเสียงอย่างมากมายให้แก่เขาในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ก็เป็นอีกแรงกดดันเพิ่มเติมที่สำคัญต่อความเคลื่อนไหว และนโยบายต่างๆของทรัมป์
ชาวอเมริกันส่วนมาก กว่า 71% จำแนกตัวเองในฐานะชาวคริสเตียน แต่มีเพียง ส่วนหนึ่งในสามเท่านั้นที่เรียกตนเองว่า “อีแวนเจลิค” (evangelical)
ตามที่ Gary M. Burge ได้อธิบายใน Atlantic ระบุว่า ศาสนิกชนคริสเตียนอีแวนเจลิคบางราย ตีความหมาย คำอธิบายของพันธสัญญาเดิมของกรุงเยรูซาเล็ม ว่า เยรูซาเล็ม เป็นเมืองหลวงของอิสราเอล เมื่อ 1,000 ปีก่อนการมาของพระคริสต์ ในฐานะสัญญาณของสิ่งที่จะมาถึง พวกเขา “เชื่อว่าการส่งเสริมความสำคัญของกรุงเยรูซาเล็ม เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่จะเติมเต็มการทำนาย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการมาโปรดของพระคริสต์เป็นครั้งที่ 2” เขาเขียน
ศาสนิกชนคริสเตียนอีแวนเจลิค เพิ่มแรงกดดันทรัมป์ เพื่อให้ทำการเรียกร้องประเด็นดังกล่าว ตามที่ Wall Street Journal รายงาน (paywall) และบางส่วนก็แสดงความปลาบปลื้มยินดีภายหลังจากการตัดสินใจของทรัมป์ “ในสงคราม 6 วัน ชาวยิวได้พิชิตชัย และยึดครองอธิปไตยเหนือกรุงเยรูซาเล็ม และมันมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในแง่ของคำทำนายของพระคัมภีร์ ที่ว่าพวกเขาสามารถรักษาการควบคุมสิ่งนั้นเอาไว้ได้” Pat Roberstson ชาวอีแวนเจลิค กล่าวในวันที่ 5 ธันวาคม ขณะเฉลิมฉลอง การตัดสินใจของทรัมพ์
Rene Omokri ผู้ก่อตั้งศูนย์คริสเตียน “Mind of Christ Christian Center” ประจำแคลิฟอร์เนียกล่าวว่า ตอนนี้ เขายินดีที่จะตายเพื่อทรัมป์
ทั้งนี้ ทรัมป์ไม่ได้ให้ข้อมูลใด ๆ ที่ระบุว่า การย้ายครั้งนี้จะได้รับการดำเนินการอย่างเร็วที่สุดเมื่อไหร่ ขณะที่นายเบนจามินนาทานนาฮู (Benjamin Netanyahu) นายกรัฐมนตรีอิสราเอลชี้ว่า ทรัมป์ได้ “สร้างประวัติศาสตร์” โดยการตัดสินใจนั้น
Source: qz.com