มุมมองต่อความเป็นไปในซีเรีย ของ ไมเคิล เฟอร์นันเดซ มาติเนซ นักข่าวชาวคิวบาจากสำนักข่าว Prensa Latina ของละตินอเมริกา ขณะนี้กำลังประจำการอยู่ที่ซีเรีย
Arnaldo Pérez Guerra, นิตยสาร Final Point (revista punto final):
ซีเรียกำลังจมอยู่ในกองเพลิง ที่ซึ่งวิกฤติการณ์ต่างๆ จะยังคงดำเนินอยู่ต่อไปนานตราบเท่าที่ยังมีประเทศมากมายคอยให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้ายอยู่.. ในความหมายที่ว่า ตะวันตกจำเป็นต้องโค่นล้มรัฐบาลซีเรีย โดยมีเป้าประสงค์ เพื่อสร้างรัฐที่อ่อนแอขึ้นมาแทนที่รัฐบาลซีเรียปัจจุบัน รัฐเล็กๆ ซึ่งท้ายสุดแล้วจะกลายมาเป็นเครื่องมือ การันตีความปลอดภัยของอิสราเอลนั่นเอง…
“เราไม่ได้ ต่อสู้กับกลุ่มผู้ก่อการร้ายภายในซีเรียเพียงเท่านั้น แต่เรากำลังต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายที่ปฏิบัติการอยู่จากทั่วทุกมุมโลก การก่อการร้ายที่ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบรรดาชาติที่ร่ำรวยและทรงอำนาจที่สุด”
ตุรกี ซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างแน่นเฟ้นกับตะวันตก มีหน้าที่จัดสรรหา อาวุธ เงิน และกองกำลังอาสา ให้แก่กลุ่มกบฏทั้งหลาย เช่น แนวร่วมกลุ่มอัล นุสรา (AL Nusra) และ ไอเอส (IS) “ตะวันตก มองเห็น สถานการณ์การก่อการร้าย ในฐานะ ผู้เล่นตัวสำรอง ที่มันจะดึงออกมาเล่นเป็นระยะๆ” ประธานาธิบดีซีเรีย บาชาร อัล อาซัด กล่าวกับสถานีข่าว RT และเสริมว่า พันธมิตรระหว่าง ซีเรีย อิหร่าน อิรัก และ กองกำลังเคลื่อนไหวฮิซบุลลอฮ์ ซึ่งเขาเรียกว่า ‘สันนิบาตเพื่อการต้านทาน’ (the axis of resistance) “จะได้รับชัยชนะเหนือการก่อการร้าย – เครื่องมือรูปแบบใหม่ที่เคยใช้ เพื่อพิชิตภูมิภาคนี้มาแล้ว” … และ ท้ายที่สุด หลังจากที่ได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว รัสเซียจึงเข้าร่วมสันนิบาต
สหรัฐฯ ได้ก่อเหตุระเบิดในซีเรียมาตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2014 โดยปราศจากความเห็นชอบจาก ดามัสกัส การกระทำดังกล่าวยังได้ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ (international law) อีกด้วย จนถึงเดี๋ยวนี้ การโจมตีของสหรัฐฯก็ยังไม่เคยส่งผลกระทบใดๆ แก่กลุ่มก่อการร้ายอย่างไอเอสเลย แต่กลับเป็นการเสริมเขี้ยวเล็บให้แก่พวกเขาเสียมากกว่า
และในทางตรงกันข้าม มันกลับกลายว่ากองกำลังทหารที่ถูกส่งมาเพื่อช่วยเหลือซีเรียของประธานาธิบดีรัสเซีย วาดิเมียร์ ปูติน ต่างหาก ที่คอยสร้างความปั่นป่วนให้แก่กลุ่มผู้ก่อการร้าย อย่างในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา กองทัพร่วมทหารอากาศของรัสเซีย และซีเรีย ร่วมกันโจมตีไอเอส จนท้ายที่สุด กองบัญชาการหลายจุดของกลุ่มผู้ก่อการร้าย ใน Palmyra, Aleppo และ Homs ก็ถูกทำลายลงสำเร็จ
ไมเคิล เฟอร์นันเดซ มาติเนซ นักข่าวชาวคิวบาจากสำนักข่าว Prensa Latina ของละตินอเมริกา ขณะนี้กำลังประจำการอยู่ที่ซีเรีย ในฐานะผู้สื่อข่าว เล่าว่า:
“ก่อนที่ผมจะอยู่ในอเมริกากลาง เพื่อทำข่าวการเลือกตั้งในเอลซัลวาดอร์ ผมได้เดินทางไปเยือน สหรัฐฯ, เปอร์โตริโก, และส่วนอื่นๆ ในละตินอเมริกา” – เขาบอกกับนิตยสาร Punto Final ทว่าอันที่เกี่ยวข้องกับการปรากฏตนของคณะที่ปรึกษาหรือเหล่ากุนซือแห่งกองกำลังทหารรัสเซียในซีเรียนั้น เขากล่าวว่า สิ่งที่รัสเซียกำลังกระทำ นับว่าเป็นการสร้างความปั่นป่วนระหว่างเหล่านักยุทธศาสตร์จากฝั่งตะวันตกทั้งหลาย ผู้ซึ่งกำลังวางพนัน รอวันล่มสลายของอาหรับชาตินี้ : “สื่อตะวันตก ไม่ได้เตรียมหัวข้อข่าวสำรองเพื่อสับเปลี่ยนการป่าวประกาศ จาก ‘รุกรานดินแดนติดอาวุธ’ เป็น ‘ผนวกดินแดน’ ในเจตนาเพื่อโหมกระพือไฟแห่งความขัดแย้ง และสร้างความตึงเครียด”
เขากล่าวว่า การบุกรุกทางอากาศของอิสราเอลในชายแดนซีเรีย เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานั้น แทบจะไม่ได้รับการกล่าวถึงจากทางสื่อตะวันตกเลย “มีจรวด โดรน โจมตี หมู่บ้าน al-Koum ซึ่งตั้งอยู่ในเขตจังหวัด Quneitra ประมาณ 67 กม. ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของดามัสกัส นอกจากนั้น ยังมีการโจมตีอื่นอีก คือ หนึ่งวันก่อนหน้านั้น มีเฮลิคอปเตอร์สัญชาติอิสราเอล ลำหนึ่งถูกส่งมาด้วยกับภารกิจ ให้ทิ้งจรวดโจมตีอาคารบ้านเรือนใน Quneitra เกิดความเสียหายรุนแรง”
เพนตากอน และ นาโต้ มองเห็นการปรากฏตนของรัสเซียในซีเรีย ในฐานะความล้มเหลวของตน ในความพยายามเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดี บาชาร อัล อาซัด ตลอดหลายปีทีผ่านมา
การรุกรานที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากตะวันตก
ตามที่ UNICEF บันทึกไว้ มีเด็กชาวซีเรียกว่า 5.6 ล้านคน ได้รับผลกระทบต้องประสบกับความทุกข์ทรมานจากปัญหาความยากจน สถานการณ์อันเลวร้ายได้บีบบังคับพวกเขาให้หนีออกจากเขตสงครามอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนนี้ ผู้ลี้ภัย แล้วกว่า 2 ล้านคน อาศัยอยู่ในลอนดอน จอร์แดน อิรัก อียิปต์ ตุรกี และ ประเทศอื่นๆ ในอเมริกาเหนือ ขณะที่เด็กอีกว่า 3.6 ล้านที่เหลือตกค้างอยู่ในชุมชมที่ไร้ความปลอดภัย มีเด็กกว่า 2 หมื่นรายแล้วที่ได้สังเวยชีวิตให้กับสงครามที่ได้ถูกตระเตรียมแผนการเอาไว้นี้
“ภาพของเด็กน้อยชาวซีเรีย Aylan Kurdi นอนคว่ำหน้าไร้ชีวิตอยู่ที่ริมชายหาดตุรกี ส่งเสียงดังเหมือนแส้ฟาดลงกลางจิตสำนึกชอบชั่วดี ของชาติยุโรปหน้าไว้หลังหลอก ที่ละเลยหน้าที่ในการให้ความคุ้มครองแก่เหยื่อของตน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ชาติมหาอำนาจ ทั้งยุโรป และสหรัฐฯ ร่วมกับอิสราเอล และพันธมิตร ได้ให้การส่งเสริมให้เกิดสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สงครามที่ซึ่งได้พรากชีวิตของเด็กน้อยผู้นี้ไป เด็กน้อย Aylan คือ ภาพสะท้อนถึงเด็กชาวซีเรียคนอื่นๆที่ ณ ชั่วโมงนี้ กำลังกระเสือกกระสนเพื่อให้มีชีวิตรอดอยู่ต่อไปในกรุงดามัสกัส และฉายให้ชาวโลกมองเห็นถึงสิ่งที่เป็นไปในซีเรีย การก่อการร้ายด้วยจรวด อาวุธสงคราม ระเบิดที่ถูกทิ้งลงบนบ้านเมือง ความทุกข์ทรมานของเด็กๆ จากอากาศที่เป็นพิษ ด้วยเพราะถูกรมด้วยแก๊สพิษ เฉกเช่น ในเมือง Foa และ Kafraya หรือ ช่วงเวลาที่หนักหน่วงยิ่งกว่านั้น เมื่อพวกเขาต้องถูกตัดหัวทิ้งลงอย่างโหดเหี้ยม อย่างที่เกิดขึ้นในเมือง Raqaa หรือ ที่ซึ่งความทุกข์ระทมของพวกเขายังต้องถูกกระหน่ำซ้ำ ด้วยความกระหายหิว เพราะไอความร้อนจากทะเลทราย ครั้งพยายามหลบหนีออกจากวิถีกระสุนปืนใหญ่…” เฟอร์นันเดซ กล่าว
การบล็อก หรือ แบนของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อช่องทางสื่อสาร ทั้งทางสื่ออินเตอร์เน็ต และการกระจายเสียงของชาวคิวบา ได้อย่างไร? มันไม่เหมือนกันเกินไปหรือกับสิ่งที่เกิดขึ้นในซีเรีย?
“การบล็อกและแบน ถือเป็นสิ่งอันตราย เพราะผู้เคราะห์ร้ายมีความจำเป็นต่างๆมากมาย คิวบารู้รสชาติอันเจ็บปวดนี้เป็นอย่างดี หลังจากได้เคยต้องเผชิญกับ การกีดกั้นทางกายภาพ ตามที่ สหรัฐฯได้ออกคำสั่งบังคับมามากกว่า 50 ปี ซึ่งยังคงส่งผลกระทบจวบจนทุกวันนี้ มีการสูญเสียมากมายกว่า 833,755 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนี้ เมื่อคำนึงถึง ซีเรีย… อำนาจตะวันตก นำโดย สหรัฐฯ ฝรั่งเศษ อังกฤษ เช่นเดิม ไม่ได้แสดงความปราณีใดๆ พวกเขาจำกัดสินค้าส่งออก บล็อกสัญญาข้อตกลงทั้งหมด แช่แข็งบัญชีธนาคาร พวกเขาเข้าแทรกแซงสัญญาณดาวเทียม เพื่อไม่ให้มีความจริงหลุดรอดออกไป และท้ายสุด สร้างเคมเปญสื่อ ในเจตนา เพื่อทำลายความมั่นคง แบ่งแยก และทำลายเอกภาพ ของชาวซีเรีย และเพื่อกัดเซาะฐานการต่อต้านของประชาชนต่อผู้ก่อการร้ายป่าเถื่อน ที่ได้รับการสนับสนุนจากทางตะวันตก”
รัฐบาลบาชาร อัล อาซัดเป็นอย่างไร คุณช่วยเล่าให้ฟังถึงสภาพของ ซีเรียก่อนและหลังการเข้ามาแทรกแซงของ สหรัฐฯ และ EU?
“ประธานาธิบดี บาชาร อัล อาซัด ถูกเปลี่ยนโฉมให้กลายมาเป็น แพะรับบาป โดยวงจรอำนาจระหว่างประเทศ มหาอำนาจ ต้องการทำสิ่งที่พวกเคยทำใน อัฟกานิสถาน อิรัก เยเมน ลิเบีย และประเทศอื่นๆในภูมิภาค ซ้ำอีกครั้งในซีเรีย
ตั้งแต่ก่อนการเริ่มต้นวิกฤตการณ์ในปี 2011 อัลอาซัด อยู่ภายใต้ขอบเขตของวอชิงตันและหน่วยงานข่าวกรอง เขาถูกลิขิตให้กลายเป็นเหยื่อของความโลภอำนาจ เพราะไม่ยอมก้มหัวลงให้กับกฤษฎีกาของทำเนียบขาว
นับแต่เมื่อ อัล อาซัด ขึ้นสู่อำนาจ หลังจากการจากไปของพ่อ ฮาฟิส อัลอะซัด อาซัดได้สานต่อนโยบายเดิมเพื่อความเป็นเอกภาพของภูมิภาค ซึ่งเป็นนโยบายที่ถูกให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในซีเรีย อาซัดไม่ประณีประนอมในเรื่องเศรษฐกิจของชาติ เพื่อเดินตามการออกแบบของ IMF เขาเลือกเดินตามรอยเท้าพ่อ และนี่จึงนับได้ว่า เป็นหนึ่งในกองกำลังป้องกันที่สำคัญที่สุดของชาวปาเลสไตน์ อันเป็นสาเหตุ เบื้องหลังการได้คืนมาซึ่งดินแดนที่ถูกครอบครองไปโดยอิสราเอล ผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์จำนวนหลายล้านกว่าคนได้กลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของตนอีกครั้ง
ซีเรีย คือ หนึ่งในศรัตรูตัวฉกาจของอิสราเอลมาโดยตลอด ศัตรูผู้ประณาม นโยบายเพื่อขยายดินแดนของอิสราเอล และเรียกร้องให้มีการมอบคืนดินแดน Golan Heights ที่อิสราเอลได้ยึดครองไปอย่างผิดกฎหมายตั้งแต่ปี 1967
ในกรณีนี้ เราจำเป็นต้องเสริมถึง ความสัมพันธ์ที่แนบแน่น อันมีอยู่ระหว่าง ดามัสกัส กับ สาธารณะรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ซึ่งได้มีการผูกมัดกันด้วย มิตรภาพ และความร่วมมือกัน ทางประวัติศาสตร์
บาชาร อัล อาซัด ขับเคลื่อนสังคมซีเรียสมัยใหม่ วิถีชีวิตยุคใหม่ที่พ่อของเขาเป็นผู้สร้างขึ้นมา ในช่วงยุคปี 1970s แนวคิด ที่รักษาไว้ซึ่งความเป็นรัฐเซคิวลา กฤษฎีกาของรัฐวางอยู่บน พื้นฐานของทุกๆศาสนา และสิทธิในการดำรงชีพร่วมกันอย่างสันติของผู้คนจากเชื้อชาติและความเชื่อที่แตกต่างกัน อันเป็นสิ่งซึ่งได้กลายมาเป็นเครื่องผูกมัดชาติและประชาชนชาวซีเรียเอาไว้รวมกัน บาชารไม่อนุมัติให้มีการแปรรูปอุตสาหกรรมน้ำมัน และอุตสาหกรรมรัฐวิสาหกิจอื่นๆของประเทศเป็นบริษัทมหาชน เหตุผลทั้งหมดนี้ ยืนอยู่ด้วยกับวัตถุประสงค์เพื่อทำลายและป้องกัน การเข้ามาแทรกแซงทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจ อย่างสหรัฐฯ และพันธมิตรยุโรปของมัน”
จริงๆแล้วเกิดอะไรขึ้นในซีเรีย มันคือ สงครามกลางเมืองหรือ?
“ผมขอปฏิเสธที่จะยอมรับ ข้อสมมติฐาน ที่ว่า มีสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นที่นี่ มันเป็นความเท็จ พอๆกับที่จะพูดว่า พระอาทิตย์ขึ้นตอนกลางคืน”
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่นี่ คือ การรุกรานระหว่างประเทศ การกระทำที่มี นาโต้, กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และ หน่วยสืบราชการลับอิสราเอล ให้การสนับสนุน จนในปัจจุบันสามารถรวบรวบชาติราชาธิปไตย์แห่งอ่าวเปอร์เซีย คือ- ซาอุฯ และการ์ตาร์ พร้อมกับรัฐบาลจอร์แดนและตุรกี เอาไว้ได้ ทั้งนี้ก็ด้วยจุดประสงค์เพื่อ เริ่มต้นแผนการโอบล้อมซีเรีย
กลยุทธ์ในการเริ่มต้นวิกฤติการณ์ค่อนข้างชัดเจน พวกเขาพยายามมอบซีเรียซึ่งผลกระทบตามที่เคยเกิดขึ้นในชาติอื่นๆ ผลกระทบที่ได้กลายมาเป็นปรากฏการณ์ที่รู้จักกันในนาม อาหรับสปริง รูปแบบการโค่นล้มอำนาจรัฐและทำลายความมั่นคง ที่ได้สร้างความเจ็บปวดให้กับทุกๆชาติ ที่มันเคยเดินทางผ่าน
ในกรณีนี้ พวกเขาได้ใช้ประโยชน์จากหลากหลายกลวิธี หนึ่งในนั้นคือ การจัดการเข้าครอบงำ กลุ่มภราดรภาพ มุสลิม บราเธอร์ฮูด ที่รู้จักกันดี กลวิธีที่เคยได้ถูกงัดออกมาใช้ในอียิปต์ ลิเบีย ตูนีเซีย และประเทศอื่นๆ พยายามใช้ความเคร่งครัดในศาสนาเข้ามาเอี่ยวในการประท้วง และอีกแง่หนึ่ง คือ การใช้ประโยชน์จากองค์กรเพื่อทำลายความมั่นคงทางการเมือง ก่อตั้งขึ้นมาด้วยกับอำนาจทางการทูตของสหรัฐฯ
ไม่มีเคล็ดลับ สูตรสำเร็จอะไรหรอก เพราะเหตุการณ์ประท้วง “ยอดนิยม” ได้ถูกตระเตรียมเอาไว้มาก่อนแล้ว เดือนมีนาคม ปี 2011 วาระสำคัญอันเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอยู่กระทั่งในปัจจุบันนี้
โรเบิร์ต ฟอร์ด อดีตทูตอเมริกาเหนือประจำกรุงดามัสกัส มักจะตะลอนไปตามหลายๆ จังหวัดในซีเรีย เพื่อพบปะกับบรรดาหัวหน้ากลุ่มกบฏ และให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เหล่าผู้ประท้วง ในรายนามเหตุประท้วง ‘ยอดนิยม’ นี้ มีชายติดอาวุธหลายคนเข้าประจันหน้าและทำร้ายเจ้าหน้าที่รัฐ เหตุการณ์ลุกลามนำไปสู่ความโกลากล ความรุนแรงเริ่มคืบคลานตามมา ทั้งหมดทั้งปวง ก็เพราะ มันคือ แผนที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดีแล้วนั่นเอง ตามเป้าประสงค์ คือ เพื่อเข้าทำลายความมั่นคง และเปิดประตูต้อนรับขบวนการจิฮาดิสทั้งหลาย ขบวนการต่อสู้ ที่ได้ถูกจัดตั้ง ติดอาวุธ และแม้แต่ฝึกฝน โดยมหาอำนาจตะวันตก ซึ่งขณะนี้ กำลังรอกอบโกยความสำเร็จกับจอร์แดนอยู่ที่ชายแดนใต้ และกับตุรกีที่ชายแดนเหนือ อีกทั้งกับอิรักที่ชายแดนตะวันออก
และมันก็ไม่ใช่ความลับอะไรอีกเช่นกัน ที่จะพบว่า กลุ่ม Free Syrian Army ตามที่พวกเขาใช้เรียกอ้างตน ซึ่งในปัจจุบัน แทบจะไม่เหลือซากความเป็น กองทัพปลดแอกชาวซีเรีย ตามชื่อที่อ้างเลยแม้แต่น้อย พวกเขาคือ กลุ่มกบฏ ที่ส่วนมากของพวกเขาคือ ผลผลิตของเหล่าทหารหนีกองทัพซีเรีย ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากปารีส
และแล้วในกระบวนการแบ่งแยกดินแดนนี้ ส่วนใหญ่จากสมาชิกของพวกเขาก็ได้หันหน้าเข้าร่วม แก๊งก่อการร้าย อย่าง ไอสิส หรือ แนวร่วมอัล นุศรอ สองปีกซ้ายขวา ของขบวนการติดอาวุธ อัลกออิดะอฺ ในซีเรีย
หนึ่งในหลายๆกลวิธีที่ถูกนำมาใช้เพื่อโจมตีซีเรีย คือ วิธีการชักจูง บรรดา นักรบรับจ้าง จากกว่า 60 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถูกยุยงปลุกปั่นโดยเหล่าผู้นำศาสนาหัวรุนแรง ผู้ซึ่งยืนกราน ประกาศสงครามจีฮาด หรือ สงครามศาสนา ต่อต้านรัฐบาลซีเรียอย่างแข็งขัน
ท้ายที่สุด สี่ปีหลังจากสงครามล่าเหยื่อนี้เริ่มต้นขึ้น กองกำลังทั้งหลายถูกรวบรวมเอาไว้ จนเกิดเป็น 2 กลุ่มใหญ่ หนึ่งกลุ่ม คือ กองกำลัง ซีเรียเสรี ด้วยกับนักรบติดอาวุธเกือบกว่า 3 แสน 5 หมื่นนาย ซึ่งมีการประสานงานร่วมกันกับ กองกำลังที่มีชื่อเสียงอย่าง Units of National Defense (หน่วยรบเพื่อป้องกันภัยชาติ) และอีกกลุ่ม คือ แก๊งผู้ก่อการร้าย ทำหน้าก่อเหตุ สร้างความไม่สงบ และก่อการร้าย อย่างต่อเนื่อง”
การก่อการร้ายของรัฐอิสลาม
ไอเอส (Islamic State ตามหลักภาษาหมายถึง รัฐอิสลาม) ถือกำเนิดขึ้นในซีเรียได้อย่างไร? ใครชี้นำพวกเขา? ว่ากันว่า พวกเขาขายน้ำมันเพื่อเลี้ยงดูตนเอง จนสามารถครอบครองทรัพยากรมากว่า หลายล้านดอลล่า…..เป็นไปได้อย่างไร ?
“กลุ่มก่อการร้าย ไอเอส หรือตามที่รู้จักกันในภาษาอาหรับ คือ ดาอิช ถือกำเนิดขึ้นไม่นานมานี้ ก่อนหน้าหนึ่งปีที่แล้ว สักเล็กน้อย เป็นกลุ่มสมาชิกสาขาของขบวนการก่อการร้าย อัล กออิดะอฺ ที่ปฏิบัติการอยู่ในอิรัก นับจากนั้นมา พวกเขาได้เริ่มต้นขยายอิทธิพลในเขตแดนซีเรีย ประกาศอ้าง ต้องการสถาปนา รัฐคาลิฟะห์ ปกครองโดยผู้นำศาสนาสุดโต่งติดอาวุธ และมีเมืองหลวงอยู่ที่เมือง Raqqa ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากดามัสกัสไปทางตะวันออกเล็กน้อยประมาณ 500 กม.
ความทารุณโหดร้ายป่าเถื่อนของพวกเขา เป็นที่กล่าวถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พวกเขาครอบงำหลักศรัทธา ของสมาชิก และสาวก มีการตีความอัลกุรอานที่ผิดๆ และไร้ตรรกเหตุผล และออกคำสั่งใช้กฎหมายชารีอะฮ์อย่างเผด็จการ พวกเขาคือ รัฐบาลเผด็จการสุดโต่ง ประเภทที่ออกคำสั่งลงโทษอันโหดร้าย ซึ่งสามารถจัดลำดับมาตั้งแต่ การเชือดคอหอย ไม่จนถึง ขวางหินจนตาย และรูปแบบการทำโทษที่โหดร้ายแบบอื่นๆอีก (แก่ผู้ที่ละเมิดกฎ หรือ ปฏิเสธอำนาจรัฐ)
ทว่า เบื้องหลังของพวกเขา คือ เครือข่ายค้ายา ผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบ และอาชญากร ส่วนมากของพวกเขามาจากประเทศที่ต้องการโค่นล้มรัฐบาล บาชาร และผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียอยู่กับการค้าน้ำมันเถื่อน จากบ่อน้ำมันในโซนที่มีผู้ถือครองอยู่แล้ว
มันมีรายละเอียดที่ผมไม่อยากละเลยที่จะกล่าวถึงเลย อันเกี่ยวข้องกับ วิธีการครอบงำมวลชน กระทำผ่านสื่อกระแสหลักจากตะวันตก ในกรณีของดินแดนที่ไอเอสได้ยึดครองไปในซีเรีย สื่อหลายๆ สำนัก ยืนกรานประกาศข้อความเท็จ ที่ว่า 50% ของดินแดนซีเรียวันนี้ ถูกยึดครองไปแล้ว ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงเลย ประชากรชาวซีเรียส่วนมาก อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ ภายใต้ความควบคุมของรัฐบาล ในภาคกลาง และภาคตะวันตกของประเทศ ตามแนวชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ขณะที่ พื้นที่ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้ก่อการร้ายส่วนมากแล้ว คือ พื้นที่ทะเลทราย ซึ่งมีความหนาแน่นของประชากรอาศัยอยู่ไม่มากนัก พวกเขาควบคุมอยู่เพียงในเขตเมือง Raqqa, บางส่วนของเมือง Idlib, และ น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของส่วนเมือง Aleppo ที่ที่พวกเขามีความแข็งแกร่งจริงๆ คือ ส่วนของเส้นถนนที่มุ่งไปยังตะวันออก ที่ซึ่งพวกเขาจัดกองกำลังเอาไว้ เพื่อขัดขวางกองกำลังทหาร ไม่ให้เดินทางเข้าสู่เขตสงคราม และเพื่อบ่อนทำลายเศรษฐกิจภายในของชาวซีเรียให้มีความอ่อนแอลง”
ถ้าซีเรียพังทลายลงมาจริงๆ สถานการณ์จะเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายใด?
“ผมจำได้ว่า เมื่อหลายปีก่อน มีใครบางคนบอกกับผมว่า สหรัฐฯ และมหาอำนาจอื่นๆ มีความหวังจะเปลี่ยน ตะวันออกกลายให้กลายเป็น ‘ทะเลสาบน้ำมันขนาดใหญ่’,
ตะวันตกไม่เคยมองเห็นตะวันออกกลางในฐานะภูมิภาคที่ควรค่าแก่การให้เกียรติ ร่องรอยที่ยังหลงเหลืออยู่ของยุคล่าอาณานิคม วัฒนธรรมไร้มนุษยธรรมที่สืบทอดต่อกันผ่านนโยบายการเมืองหน้าเลือด กดขี่ผู้อื่น ด้วยความโลภเพื่อครอบครองไว้ซึ่งทรัพยากรสำคัญ ณ ที่นี่ คือ พลังงานน้ำมัน ไว้เพียงผู้เดียว
ในกรณีของซีเรีย หลังจากที่ได้ปฏิเสธไม่ขอเป็นขี้ข้ารับใช้มหาอำนาจตะวันตก เคยถูก “ประณาม” ว่าเป็นผู้รุกราน กดขี่ประชาชนตนเอง ทว่าสิ่งที่พวกเขาไม่ได้กล่าวถึง คือ (ไม่มี) การต่อต้านของประชาชนซีเรีย ผู้ซึ่งมีความสามารถพอที่จะปกป้องตนเองมามากกว่า สี่ปี ก่อนการมาเยือนของขบวนการก่อการร้าย อีกหนึ่งกลวิธีที่พวกเขาได้พยายามนำมาใช้เพื่อทำลายความเป็นหนึ่งเดียวของชาตินี้ คือ ผ่านการส่งเสริมหลักคิดแบบ อัตตานิยมบริภาษ ( ตักฟีรี ) ซึ่งใช้วิธีการโจมตีชี้ขาดนิกายและลัทธิทางศาสนา หรือศาสนาที่แตกต่างไปจากตนอย่างรุนแรง ให้เกิดความแตกแยกกันระหว่าง ชาว ซุนนี่, ชีอะฮ์, อะละวียะฮ์ เคิร์ด อาเมนเนี่ยน ดรูซ ชาวคริสต์ และ ยาซิดิส กลุ่มคนที่ได้รวมกันอยู่อย่างสันติมาตั้งแต่อดีตกาล และไม่เคยมีใครมาแบ่งแยกพวกเขาออกจากกันได้ กลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า “ประชาชนชาวซีเรีย”
อุปสรรคประเภทใดที่คุณต้องพบเจอจากกสารทำหน้าที่เป็นผู้สื่อข่าวให้กับ Prensa Latina?
“สิ่งเดียวกันกับที่ประชาชนซีเรียต้องประสบ ผมอาศัยอยู่กับพวกเขา ผมเจอกับความทุกข์ยาก ประเภทเดียวกัน และแบ่งปันความหวังซึ่งกันและกัน ผมเคยได้ไปเยือนสมรภูมิรบ โรงเรียน บ้านเรือน แคมป์ผู้ลี้ภัย ถูกทำลายลงเสียหาย สุดท้ายแล้ว ผมก็ได้ลองสัมผัสกับมันทั้งหมด ผมเคยแม้แต่พูดคุยกับพวกทหารรับจ้างชาวต่างชาติ ที่อยู่ภายใต้การจับกุมของกองทัพ และผมได้ยินจากปากของพวกเขาเองเลย พวกเขาเล่าให้ฟังถึงความมุ่งมั่นของกองกำลังภายนอกของพวกเขาในศึกสงครามนี้ ผมยังได้เคยคุยกับคณะรัฐมนตรีไปจนถึงคนสามัญชนธรรมดา ใครก็ตามที่สามารถบอกเล่ามุมมองของพวกเขาเกี่ยวกับสงคราม และเปิดโอกาสให้ผมได้มีข้อโต้แย้งใหม่ๆเพื่อใช้อธิบายในงานเขียน และนี่คือ อาเจนด้า (วาระซ่อนเร้น) ของงานสื่อที่ผมจะสอดแทรกเอาไว้เสมอ”
วิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรม
สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในซีเรียเป็นอย่างไร?
“ตามรายงานของ UN ซีเรียนับเป็นชาติที่ต้องทุกข์ทนกับวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่สุด ตลอดในระยะเวลา 70 ปี ที่ผ่านมา สงครามนี้ได้ส่งผลกระทบทำให้ ชาวซีเรียกว่า 4 ล้านคนต้องดิ้นรนลี้ภัยออกไปยังประเทศอื่นๆ และประเทศเจ้าภาพหลักๆ ได้แก่ เลบานอน ตุรกี จอร์แดน อิรัก และ อียิปต์ นอกจากนี้ยังมีประชาชนอีกกว่า 11 ล้านที่พลัดถิ่นอยู่ในดินแดนของตนเอง ทั้งนี้ตัวเลขของยอดผู้เสียชีวิตก็มากมายจนน่าตกใจ กระทั่งปัจจุบัน มีจำนวนมากกว่า 2 แสน 4 หมื่นคน ในจำนวนนี้ 5 หมื่นคน มาจากกองทัพ อย่างไรก็ดี มีรายงานกล่าวว่า ตัวเลขนี้คือ ตัวเลขที่สงวนไว้ ในบางพื้นที่ ประชาชนประสบปัญหาความอดอยาก ขาดแคลนแม้แต่น้ำ และกระแสไฟฟ้า อันเป็นปัจจัยยังชีพเบื้องต้น แน่นอน มันคือ สถานการณ์ที่ยากแค้นและลำเข็ญเป็นอย่างมาก”
รัฐบาลเผชิญหน้ากับกับสงครามต่อต้านการก่อการร้ายอย่างไร?
ซีเรียได้รับการคุ้มภัยจากสงครามรุกรานระหว่างประเทศ กองทัพซีเรีย และกองทัพยอดนิยมอื่นๆ ต้องแบกรับน้ำหนักของสงครามครั้งนี้ ด้วยกับความเสียหายมากมายมหาศาล ทั้งทรัพย์สิน เงินทอง ชีวิตผู้คน และบ้านเมือง
ในพันธมิตรระหว่างประเทศ นำทีมโดยสหรัฐฯ พวกเขาเข้ามา “ระเบิด” พื้นที่ต้องสงสัยจะมีผู้ก่อการร้าย นานข้ามปี ทว่าความจริงก็คือ พวกเขาทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อเสริมเขี้ยวเล็บให้กับพวกผู้ก่อการร้าย มีหลักฐานพิสูจน์ว่า มีเครื่องบินลาดลง ผ่าน เพื่อทำการส่งมอบอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับกลุ่มก่อการร้ายสุดโต่ง ในบางพื้นที่ทางตะวันออกของซีเรีย และอิรัก
สำหรับ พลพรรคอย่าง กองทัพ ซีเรียน-เคอร์ดิช รู้จักกันในนาม YPG ประสบความสำเร็จในปฏิบัติการปกป้องดินแดนของตน ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของซีเรีย โดยเฉพาะในพื้นที่ทางเหนือของ Aleppo และในทางตะวันออกของจังหวัด Hasaka พวกเขายังประสบความสำเร็จในการขับไล่ผู้ก่อการร้ายออกจากดินแดนของพวกเขาด้วย”
From Cubainformación, translated by Joshua Tartakovsky
Originally Published by revista Punto Final (Punto Final magazine), No. 839. Edition: 23 October – 5 November 2015.