วิเคราะห์ ความเชื่อเรื่องผู้ถูกสัญญาในศาสนาและประชาชาติต่างๆของโลก
ความเชื่อในเรื่อง อิมามมะฮดี(อ) เป็นความเชื่อที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงศาสนาอิสลามเท่านั้น ในศาสนา และประชาชาติทั่วโลกอย่างแพร่หลายมายาวนาน ในบทความนี้ เราจะนำเสนอเกี่ยวกับ เรื่องราวของบุรุษผู้ถูกสัญญา บุรุษผู้ซึ่งเป็นความหวังของมนุษยชาติ
ดังที่เราได้เกริ่นไว้ ความเชื่อเรื่องผู้ถูกสัญญา เป็นความเชื่อ ที่หลายศาสนา ต่างมีจุดร่วมเหมือนกัน แต่ การให้ความเข้มข้นในเรื่องความเชื่อนี้ เป็นจุดที่แต่ละศาสนะมีสถานะแตกต่างกัน กล่าวคือ ในมุมของอิสลาม โดยเฉพาะในมัซฮับ หรือ อิมามียะฮ์ จะมีความเข้มข้นมากกว่า ศาสนาหรือนิกายอื่นๆ ทว่าในที่นี้ เราจะนำเสนอความเชื่อเรื่อง ผู้ถูกสัญญา ในมุมมองของแต่ละศาสนา และแต่ละประชาชาติ
1. กษัตริย์ผู้พิชิต ในคัมภีร์ดี้ดของชาวฮินดู
คัมภีร์ ดี้ด ของชาวฮินดู ได้กล่าวไว้ว่า หลังจากที่โลกนี้ ได้เข้าสู่ยุคเสื่อมโทรมที่สุด กษัตริย์หนึ่งจะปรากฏขึ้นในยุคสุดท้าย เขาคือผู้นำแห่งศิลธรรม เขามีชื่อว่า มันศูร เขาจะพิชิตโลก และ ทำให้โลกทั้งหมดอยู่ภายใต้ศาสนาของเขา ทั้งผู้ศรัทธาและไม่ศรัทธาจะรู้จักเขา เขาประสงค์สิ่งใดจากพระเจ้าของเขาจะได้รับสิ่งนั้น [1]
2.บุรุษจากลูกหลานของฮาชิม ในคัมภีรี์ ญามาซบ์ ศาสนาโซโรเอสเตอร์
คัมภีร์ ญามาซบ์ ของชาวโซโรอัสเตอร์ ได้กล่าวไว้ว่า บุรุษหนึ่งจากลูกหลานของฮาชิม จะปรากฏขึ้นบนหน้าแผนดิน ผู้มีร่างกายกำยำและวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ยืนหยัดอยู่ในศาสนาของตาของเขา จะนำความเจริญมาสู่อิหร่าน และจะทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยระเบียบกฎเกณฑ์จนถึงขั้นที่หมาป่าจะกินน้ำเคียงข้างลูกแกะได้ [2]
3. ในคัมภีร์ซันด์ นิกายหนึ่งของโซโรเอสเตอร์ มีการกล่าวถึงชื่อ บ่าวของพระเจ้า
คัมภีร์ ซันด์ ซึ่งเป็นอีกนิกายหนึ่งของ โซโรอัสเตอร์ ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อชัยชนะของพระเจ้ามาถึง บรรดามารร้ายและสาวกของมัน จะถูกพันธนาการไว้กับแผนดิน และไม่มีทางเข้าสู่สรวงสวรรค์ และหลังชัยชนะอันนี้โลกจะเข้าสู่ความสำเร็จอย่างแท้จริง และลูกหลานของอาดัม จะนั่งอยู่บนบังลังก็แห่งความผาสุกตลอดไป[3]
4.ในพันธะสัญญา ฉบับใหม่ กล่าวถึง การเสด็จมาของบุตรมนุษย์
27 บุตรมนุษย์จะเสด็จกลับมาพร้อมด้วยสง่าราศี (มก 13:24-27; ลก 21:25-36)ด้วยว่าฟ้าแลบมาจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกฉันใด การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นฉันนั้น
30 เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า `มนุษย์ทุกตระกูลทั่วโลกจะไว้ทุกข์’ แล้วเขาจะเห็น `บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า’ พร้อมด้วยฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก [4]
36 จงเฝ้ารอการเสด็จกลับมาอย่างไม่คาดหมายของพระคริสต์ (มก 13:32-37; ลก 21:34-36)แต่วันนั้น โมงนั้น ไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์ในสวรรค์ก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาของเราองค์เดียว
42 เหตุฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านจะเสด็จมาเวลาใด
44 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้เช่นกัน เพราะในโมงที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้นบุตรมนุษย์จะเสด็จมา
14 ข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรนี้จะประกาศไปทั่วโลกให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง
ในมาระโก – Mark บท 13
26 เมื่อนั้นเขาจะเห็น `บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆ’ ทรงฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก
27 เมื่อนั้นพระองค์จะทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้วจากลมทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกจนถึงที่สุดขอบฟ้า
32 แต่วันนั้นโมงนั้นไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์ในสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้ รู้แต่พระบิดาองค์เดียว
33 จงเฝ้าระวังและอธิษฐานอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่าเวลาวันนั้นจะมาถึงเมื่อไร
35 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะมาเมื่อไร จะมาเวลาค่ำ หรือเที่ยงคืน หรือเวลาไก่ขัน หรือรุ่งเช้า
36 กลัวว่าจะมาฉับพลันและจะพบท่านนอนหลับอยู่
37 ซึ่งเราบอกพวกท่าน เราก็บอกคนทั้งปวงด้วยว่า จงเฝ้าระวังอยู่เถิด” [5]
ในลูกา – Luke บท 12
35 เพราะว่าวันนั้นจะมาดุจบ่วงแร้วถึงคนทั้งปวงที่อยู่ทั่วพื้นแผ่นดินโลก
36 เหตุฉะนั้นจงเฝ้าระวังและอธิษฐานอยู่ทุกเวลา เพื่อท่านทั้งหลายสมควรที่จะพ้นเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งจะบังเกิดมานั้น และจะยืนอยู่ต่อหน้าบุตรมนุษย์ได้” [6]
ในลูกา – Luke บท 21
11 ทั้งจะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในที่ต่างๆ และจะเกิดกันดารอาหารและโรคระบาดอย่างร้ายแรง และจะมีความวิบัติอันน่ากลัว และหมายสำคัญใหญ่ๆจากฟ้าสวรรค์
24 เขาจะล้มลงด้วยคมดาบ และต้องถูกกวาดเอาไปเป็นเชลยทั่วทุกประชาชาติ และคนต่างชาติจะเหยียบย่ำกรุงเยรูซาเล็ม จนกว่าเวลากำหนดของคนต่างชาตินั้นจะครบถ้วน
25 การเสด็จกลับมาด้วยสง่าราศีของพระคริสต์ (มธ 24:29-31; มก 13:24-27)จะมีหมายสำคัญที่ดวงอาทิตย์ ที่ดวงจันทร์ และที่ดวงดาวทั้งปวง และบนแผ่นดินก็จะมีความทุกข์ร้อนตามชาติต่างๆ ซึ่งมีความฉงนสนเท่ห์เพราะเสียงกึกก้องของทะเลและคลื่น
26 จิตใจมนุษย์ก็จะสลบไสลไปเพราะความกลัว และเพราะสังหรณ์ถึงเหตุการณ์ซึ่งจะบังเกิดในโลก ด้วยว่า `บรรดาสิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้านไป’
27 เมื่อนั้นเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ทรงฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก [7]
ใน ยอห์น – John บทที่ 14
16 พระสัญญาแห่งพระผู้ปลอบประโลมใจเราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะทรงประทานผู้ปลอบประโลมใจอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อพระองค์จะได้อยู่กับท่านตลอดไป
17 คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นพระองค์และไม่รู้จักพระองค์ แต่ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่านและจะประทับอยู่ในท่าน [8]
ในยอห์น – John บทที่ 15
26 พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงเป็นพยานแต่เมื่อพระองค์ผู้ปลอบประโลมใจที่เราจะใช้มาจากพระบิดามาหาท่านทั้งหลาย คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ทรงมาจากพระบิดานั้นได้เสด็จมาแล้ว พระองค์นั้นจะทรงเป็นพยานถึงเรา
27 และท่านทั้งหลายก็จะเป็นพยานด้วย เพราะว่าท่านได้อยู่กับเราตั้งแต่แรกแล้ว” [9]
ในยอห์น – John บทที่ 16
7 พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเตือนให้โลกรู้สำนึกอย่างไรก็ตาม เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป พระองค์ผู้ปลอบประโลมใจก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน
8 เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้สึกถึงความผิดบาป และถึงความชอบธรรม และถึงการพิพากษา
9 ถึงความผิดบาปนั้น คือเพราะเขาไม่เชื่อในเรา
10 ถึงความชอบธรรมนั้น คือเพราะเราไปหาพระบิดาของเรา และท่านทั้งหลายจะไม่เห็นเราอีก
11 ถึงการพิพากษานั้น คือเพราะผู้ครองโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว
12 พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงนำทางคริสเตียนเรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกท่านทั้งหลาย แต่เดี๋ยวนี้ท่านยังรับไว้ไม่ได้
13 เมื่อพระองค์ พระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น
14 พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย
15 ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นเป็นของเรา เหตุฉะนั้นเราจึงกล่าวว่า พระวิญญาณทรงเอาสิ่งซึ่งเป็นของเรานั้นมาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย [10]
-ความเชื่อของชาวคริสต์ ผู้ที่จะกลับมาคือ พระเยซู หรือ ศาสดา อีซา อย่างไรก็ตาม จุดร่วมระหว่างความเชื่อ คือ การปรากฎของผู้ถูกสัญญา ซึ่งการถกเถียงเรื่อง บุตรของมนุษย์คือ ใคร จะต้องเสนอแยกประเด็นออกไปต่างหาก
5. ในเตารอต ของชาวยิว กล่าวถึง การมาของผู้นำคนที่สิบสองจากลูกหลานของอิสมาอีล
ในคัมภีร์ เตารอต บทที่ 20 : 17 ได้กล่าวถึงผู้นำคนที่สิบสองจากลูกหลานของอิสมาอีลจะปรากฏขึ้น
6.ในศาสนาพุทธกล่าวถึง พระศรีอาริยเมตไตร หรือ เมตตาริยะ
หลักฐานจากพระไตรปิฎกเล่มที่ 11 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 3 ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค จักกวัตติสูตรซึ่งเป็นพระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท โดยถือกันว่ารักษาเนื้อหาได้สมบูรณ์ที่สุดในบรรดาทุกนิกาย ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในเมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่าเมตไตรย์ จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม เหมือนตถาคตอุบัติขึ้นแล้วในโลกในบัดนี้ เป็นอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ไปดีแล้ว รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม เหมือนตถาคตในบัดนี้ ทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตถาคตเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามอยู่ พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้นจักทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงเหมือนตถาคตในบัดนี้ แสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง พระผู้มีพระภาคพระนามว่าเมตไตรย์พระองค์นั้น จักทรงบริหารภิกษุสงฆ์หลายพัน เหมือนตถาคตบริหารภิกษุสงฆ์หลายร้อย ในบัดนี้ฉะนั้นฯ [11]
7. ในศาสนา อีก้วนเต้าของจีน (ใช้ชื่อ อนุตตรธรรม ในภาษาไทย)
มีความเชื่อว่าภาคหนึ่งของพระศรีอาริยเมตไตร คือ พระธรรมจารย์ลู่ จงอี [12]
นอกจากความเชื่อจากมุมมองของศาสนาแล้ว ในเรื่องเล่า หรือ ตำนานเกี่ยวกับ อิมามมะฮดี(อ) ผู้ปลดปล่อย ก็มีกล่าวไว้ในแต่ละชนชาติเช่นกัน กล่าวคือ ความเชื่อดังกล่าว ปรากฎให้เห็นในเผ่าพันธ์มนุษย์ทางซีกโลกตะวันออก และเผ่าพันธ์ทางซีกโลกตะวันตก ซึ่งนับได้ว่า ความเชื่อในเรื่องนี้ เป็นความเชื่อโดยที่ของมนุษย์ทั้งตะวันออก และตะวันตก เรื่องราวนี้ มีรากทางความคิดที่ฝังอยู่ในแต่ละเชื่อชาติ และเผ่าพันธ์
1 ผู้ถูกสัญญา ในมุมมองของโลกตะวันตก
ดังที่นำเสนอไปแล้ว ในฝากตะวันตก ชาวคริสต์ ต่างมีความเชื่อในเรื่อง การกลับมาของพระเยซู ผู้มาปลดปล่อย ผู้ช่วยเหลือมนุษย์ พวกเขาต่างกำลังรอคอยบุคคลผู้นี้
นักวิชาการและนักปรัชญาตะวันตกบางกลุ่ม เผยว่า โลกต่างรอคอยการปรากฎของนักปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่จะมาครอบครองโลกไปนี้ และทำให้มนุษย์เป็นหนึ่งเดียว ภายใต้ธงชัย และสโลแกนของเขา
เผ่าต่างๆของชาวตะวันตกในอดีตที่มีความเชื่อเกี่ยวกับอิมามมะฮดี(อ)มีดังนี้
– ชนสลาฟ(Slavic peoples)
ชนเผ่าสลาฟมีความเชื่อว่า จากมีบุคคลหนึ่ง มาจากแผ่นดินตะวันออก เขาจะยืนหยัดและทำให้เผ่าต่างๆของเอสลา เป็นหนึ่งเดียว และพวกเขาจะได้ครอบครองโลก
– ชาวเยอรมัน (Germanic peoples)
ชาวเยอรมันมีความเชื่อว่า จะมีผู้พิชิตคนหนึ่งจากเผ่าของพวกเขา ทำการปฏิวัติ และ จัรมัน จะได้เป็นผู้ปกครองโลก
– ชาวเซิร์บ (Serbs)
ชาวเซิร์บ มีความเชื่อว่า Marco karliowich จะปรากฎ และพวกเขากำลังรอคอยบุคคลผู้นี้
– เผ่าแสกนดิเนเวีย
ชนเผ่าแสกนดิเนเวีย มีความเชื่อว่า จะมีภัยพิบัตลงมาสำหรับมนุษย์ ,สงครามโลกจะทำลายเผ่าพันธ์ต่างๆ เมื่อนั้น โอดีน จะปรากฎด้วยพลังอำนาจขของพระเจ้า และจะพิชิตต่อทุกๆสิ่ง
– ชนเผ่ายุโรปกลาง
ชาวยุโรปชนเผ่ากลางมีความเชื่อว่า โบเคส (Bokhes)จะปรากฎขึ้นมาในยุคหนึ่ง
– ชาวยูนาน หรือชาวกรีก
ในอดีตชาวกรีกมีความเชื่อว่า คาล Kal คือผู้ช่วยเหลือมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ เขาจะปรากฎขึ้นตัวในอนาคต และจะช่วยเหลือโลกให้รอดพ้น [13]
2 ผู้ถูกสัญญา ในมุมมองของ อเมริกา เอเซีย และแอฟริกา
จากงานเขียน และบทวิเคราะห์ เกี่ยวกับ ความเชื่อเรื่องการปรากฎของ ผู้ช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้น ที่ถูกสัญญาไว้ มีปรากฎอย่างแพร่หลายอยู่ในตำราของชาวจีน ชาวอิยิปต์ และในชาติ และอารยธรรมอื่นๆ
-เผ่าอินเดียแดง มีความเชื่อว่า วันหนึ่ง คาร์ด ปรากฎตัว เขาจะนำพาชาวผิวแดงไปสู่สวรรค์บนดิน
-ชาวเปอร์เซียโบราณ มีความเชื่อว่า คารซาร์ (Garzas) คือ ผู้พิชิตในประวัติศาสตร์ของพวกเขา เขาคือ ผู้มีชีวิต และกำลังหลับไหล่อยู่ ในอุโมงแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งมีมวลเทวฑูตกว่า พันองค์ เฝ้าพิทักษ์เขาไว้ จนเมื่อวันที่เขาตื่นขึ้นมา เขาจะทำการปฏิวัติ และเปลี่ยนแปลงโลก
-ชาวจีนโบราณ มีความเชื่อว่า การิซนา(Keresna) จะปรากฎตัว และจะมาปลดปล่อยโลกให้รอดพ้น[14]
-ชาวอิยิปต์โบราณ (ประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในเมือง เมมฟิส )มีความเชื่อว่า จะมีกษัตริย์องค์หนึ่งปรากฎตัวในยุคสุดท้าย พร้อมด้วยอำนาจอันเร้นลับ เขาจะครอบครองโลก และจะทำลายความขัดแย้งของแต่ละเผ่าพันธ์ให้หมดสิ้น และจะนำมนุษย์ไปสู่ความสงบสุข
-ชาวอิยิปต์โบราณอีกกลุ่มหนึ่ง มีความเชื่อว่า ผู้ที่พระเจ้าส่งมา จะปรากฎตัว ณ บ้านของพระเจ้า เขาจะทำการควบคุมโลก
-ในเผ่าพันธ์ต่างๆของอินเดีย ก็มีความเชื่อเกี่ยวกับการรอคอย ผู้ปฏิวัติโลก เขาจะจัดตั้งเอกรัฐบาลสำหรับโลกขึ้นมาในอนาคต
-ชาวพราหม มีความเชื่อว่า ในยุคสมัยสุดท้าย พระวิษณุ จะปรากฎตัว เขาจะขี่อาชาสีขาว และถือดาบอัคคีไว้ในมือ เขาจะปราบปรามเหล่าศัตรู และจะทำให้โลกทั้งใบไปสู่ความผาสุข [15]
สรุปแล้ว เมื่อเราศึกษาถึง การปรากฎของ ผู้ถูกสัญญา จะเห็นได้ว่า แต่ละพื้นที่ของโลกต่างมีเรื่องราวเกี่ยวกับ การปรากฎของ บุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งจะมาทำเปลี่่ยนแปลงโลกไปนี้ และนำมนุษย์ไปสู่ความผาสุข
อ้างอิง
[1] อิมามมะฮดี (อ) ความหวังใหม่ของโลก ,ซัยยิดสุไลมาน ฮูซัยนี
[2] อ้างแล้ว
[3] อ้างแล้ว
[4] คัมภีร์ไบเบิล พันธะสัญญาฉบับใหม่ มัทธิว – Matthew บท 24
[5] มาระโก – Mark บท 13
[6] ลูกา – Luke บท 12
[7] ลูกา – Luke บท 21
[8] ยอห์น – John บทที่ 14
[9] ยอห์น – John บทที่ 15
[10] ยอห์น – John บทที่ 16
[11] พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
[12] http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=143
[13] http://www.roshd.org/eng/beliefs/?bel_code=89
[14] อ้างแล้ว
[15] http://www.siamganesh.com/lordvishnu.html