จาก 241 ปีของการมีอยู่ของพวกเขา สหรัฐฯได้กระทำสงครามต่อประชากรโลกมาตลอด 220 ปี
อเมริกาดำรงอยู่มากว่า 241 ปีแล้ว ทว่าจำนวนปีที่ผ่านมานี้ได้ให้ความหมายอันใดสำหรับประเทศอื่นฤา? คำตอบคือ ความตาย โรคระบาด สภาพเร่ร่อนไร้ที่อยู่อาศัย สถานะของผู้ลี้ภัย ความอดอยาก ความขาดแคลนปัจจัยยังชีพพื้นฐาน – การดูแลทางแพทย์- โอกาสทางการศึกษา และหายนะอื่นๆ
อเมริกาได้แนะนำตนเอง ในฐานะประเทศ ผู้เป็นต้นกำเนิดแห่งเสรีภาพ และผู้สนับสนุนหลักสิทธิมนุษยชน และผู้ปกป้องสิทธิของผู้ถูกกดขี่ในโลก แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อมองจากสิ่งที่อเมริกากระทำต่อผู้คนจากประเทศชาติอื่นนอกพรมแดนของตน สิ่งที่พวกเขากล่าวอ้างกลับกลายเป็นเพียงนิทานปรัมปราเท่านั้น การก่ออาชญากรรมที่โหดร้ายของอเมริกาในช่วง 241 ปีที่ผ่านมา –นับจากที่วันแห่งการประกาศอิสรภาพ จนถึงวันนี้ – พวกเขาได้ก่อสงครามทุกรูปแบบไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสงครามโดยตรง หรือสงครามพร็อกซี่(สงครามตัวแทน)ก็ตาม
ในรายงานใหม่ ล่าสุด จากนิตยสาร American Herald Tribune ซึ่งเขียนโดย Robert Fontina เขียนไว้ว่า:
อเมริกาได้แนะนำตนว่า เป็นต้นกำเนิดของเสรีภาพและผู้สนับสนุนหลักสิทธิมนุษยชนและสิทธิของผู้ถูกกดขี่ในโลก มีไม่น้อยที่นักการเมืองอเมริกันต้องเอาหินมาตีอก หนึ่งในนั้นคือ วุฒิสมาชิก “มาร์โก รูบิโอ” อดีตคู่แข่งคนสำคัญของทรัมป์ และในปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการรัฐฟลอริด้า ซึ่งได้กล่าวว่า “ถ้าโลกต้องการที่จะเข้าใจความหมายของประชาธิปไตย มันเป็นการดีกว่าที่จะต้องมองไปที่อเมริกา” แต่ความจริงก็คือว่า สิ่งนี้เป็นเพียงแค่ตำนาน (ไร้ความน่าเชื่อถือ) เมื่อเราออกนอกพรมแดนของอเมริกาแล้ว สิ่งที่พวกเขากล่าวอ้าง กลับเป็นสิ่งที่ไม่อาจจับต้องได้และไม่น่าเชื่่อถือ อีกทั้งในอเมริกาเองก็เกิดกระแสความไม่ไว้วางใจที่มากขึ้นเรื่อย ๆ
อเมริกาตอลด 220 ปีของประวัติศาสตร์ 241 ปีแห่งการดำรงอยู่นั้น ได้รับบทบาทเป็นผู้ก่อสงครามเรื่อยมาจนกระทั่งในปัจจุบัน ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานนี้ เต็มไปด้วยความไม่แยแส และการดูถูกไปยังสิทธิมนุษยชนอย่างเห็นได้ชัด การไม่แยแสต่อพลเมืองในประเทศต่างๆ ของอเมริกา การทำให้ผู้คนตกเป็นเหยื่อของสงคราม ในการทำสงครามทั้งทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งตัวอย่างของมันก็มีปรากฎอยู่ร่วมสมัย อีกทั้งยังมีแนวโน้มจะดำเนินต่อไปข้างหน้าอย่างไม่มีที่ท่าจะสิ้นสุดลง นับวันความโลภ และความโหดร้ายของประเทศนี้ก็ยิ่งถูกสำแดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น
สงคราม 7 ปีใน เวียดนาม และตามคำกล่าวอ้างจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้เผยว่า มีจำนวนชาวเวียดนามอย่างน้อย 2 ล้านคน รวมทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กถูกฆ่าตายในการโจมตีทำลายล้าง ขณะทำสงคราม ยังมีคำสั่งไปยังทหารสหรัฐฯ ให้ทำการสังหารชาวเวียดนามทุกเพศทุกวัยที่พบเห็น เหตุเพราะ “พวกเขาคือศัตรูและจำต้องฆ่า เผาและทำลาย”
ทหารของอเมริกาเหล่านี้เอง เมื่อบรรดาเด็ก ๆ กำพร้าชาวเวียดนามผู้ที่ไร้ที่อยู่อาศัย ได้เข้ามาใกล้พวกเขา พวกเขาก็ได้ให้ขนมที่ใส่สารพิษให้เด็กๆกิน การเข่นฆ่า My Lai massacre เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 1968 โดยกองพันที่สามของอเมริกา ทำให้พลเมืองเวียดนาม จำนวน 347- 500 คนถูกฆ่าตาย เหยื่อส่วนใหญ่เป็นพลเรือนผู้หญิงและเด็ก ก่อนที่จะมีการฆาตกรรม เหยื่อเหล่านี้ถูกทรมานและถูกตัดอวัยวะบางส่วน เหล่านี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของการก่ออาชาญกรรมของอเมริกา
แม้ทหารอเมริกันจะเดินทางกลับมาจากสงคราม แต่ทว่า พวกเขากลับประสบกับปัญหาทางจิตและทางกายภาพ “อาวุธปืนครก” ที่อเมริกาใช้เป็นเครื่องมือสังหารประชานผู้บริสุทธิ์ในสงครามเวียดนาม ได้ย้อนกลับสู่ทหารและลูกๆของพวกเขา โดยที่ลูกๆของพวกเขาที่กำเนิดมาส่วนใหญ่จะมีอาการพิการ สงครามรุ่นต่อมา คือการก่อสงครามในอ่าวเปอร์เซีย
ในศตวรรษที่ 21: อเมริกาบุกอิรักและทำให้พื้นที่ต้องตกอยู่ภายใต้การโจมตี และระเบิด ครึ่งหนึ่งของประชากรอายุต่ำกว่า 15 ปี ตกเป็นเหยื่อของสงครามครั้งนี้ อเมริกาได้กำหนดเป้าโจมตีที่สำคัญ ไปยังชีวิตที่เกี่ยวข้องกับท่อน้ำมัน และได้ทำลายชีวิตของผู้คนนับล้านด้วยการยึดทรัพยากรของพวกเขา
ในเยเมน อากาศยานไร้พลขับของสหรัฐฯได้โจมตีประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยหกพันคน โดยที่อากาศยานไร้พลขับลำแรก บินโจมตีด้วยคำสั่งจากโอบามา ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ชาวเยเมนถูกฆ่าตาย 34 คน โดยอ้างว่าในจำนวนดังกล่าว มีผู้ต้องสงสัยเชื่อมโยงการก่อการร้ายแค่ 2 คน นั่นหมายความว่า อเมริกาเพียงแค่สงสัยผู้ต้องสงสัยสองคน ทว่ากลับลงมือปฏิบัติการอย่างอุกฉกรร โดยการนี้ได้คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปมากถึง 32 คน รวมทั้งผู้หญิง และเด็ก และเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้ก็ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจวบจนถึงวันนี้
ในซีเรียเช่นกัน ปรากฎว่า อเมริกาได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อกลุ่มก่อการร้ายในซีเรีย ทั้งนี้ได้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับประชาชนผู้บริสุทธิ์ของประเทศนี้นับไม่ถ้วน อย่างน้อย หนึ่งในสามของประชากรซีเรียจำต้องหลี้ภัยออกจากบ้านของพวกเขาและต้องเผชิญกับสภาพเร่ร่อน เมื่อเร็ว ๆ นี้ ด้วยความพยายามของทหารซีเรียและพันธมิตรบางส่วน ทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่ง สามารถย้ายกลับสู่บ้านเกิดของพวกเขา การสูญเสียที่เกิดจากการแทรกแทรงของอเมริกาในซีเรียนั้น มีจำนวนมากถึง 5 แสนคน
เมื่อประเทศใดต้องการที่จะปกป้องตัวเองจากน้ำมืออันสกปรกของอเมริกา อเมริกาก็หาทุกช่องทางเพื่อกำราบการลุกขึ้นมาต่อสู้ของพวกเขา อเมริกาได้ให้การสนับสนุนไปยังอิสราเอล เพื่อทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลวไตน์ พวกเขาได้ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อเสรีภาพอันชอบธรรมของพวกเขา ด้วยการขว้างปาก้อนหินใส่ทหารอิสราเอล แต่กลับถูกอเมริกากล่าวประณามว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว กองทัพอิสราเอล ด้วยกับการยึดครองดินแดนของชาวปาเลสไตน์ ต่างหากที่สมควรจะถูกจัดให้เป็นผู้ก่อการร้าย ผู้ที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศในเขตเวสต์แบงก์
ตรงกันข้ามกับการโฆษณาชวนเชื่อ และการเรียกร้องสู่สิทธิมนุษยชนของพวกเขา แท้ที่จริงแล้ว สหรัฐอเมริกา คือ ชาติมหาอำนาจทีได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนอันชอบธรรมจากประชาชนทั่วโลกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สหรัฐฯเป็นประเทศที่ก่อสงครามต่อประชาคมโลกอย่างต่อเนื่องมานับจากปี 1776 จนถึงในปัจจุบัน..
นี่คือสหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งมีเพียงตัวเขาเองที่กล่าวว่า “พวกเขาคือแหล่งกำเนิดของความสงบและความยุติธรรม” ทว่าผ่านการแสดงออกในเวทีระหว่างประเทศ ทิศทางการเมือง และด้วยภาพลักษณ์ของอหังการโลก ที่นับวัน พวกเขาได้สำแดงความโลภ และความชั่วร้ายให้ได้ประจักษ์แก่สายตาชาวโลกมากยิ่งขึ้น ทำให้ประชาคมโลกตาสว่าง และตื่นตัวกับหายนะที่มาจากพวกเขา
ในหลาย ๆ ประเทศกำลังพยายามที่จะสร้างสันติภาพ แต่ทว่ากลุ่มผู้มีผลประโยชน์ร่วมกับอเมริกาได้ออกมาสกัดกั้นและกีดขวาง ทว่าไม่ว่าจะอยู่ในกรณีใด ๆ ปริมาณของการกดขี่และการนองเลือดกับประเทศอื่น ๆ ก็มิอาจดำเนินต่อไปเช่นนี้ได้ตลอดกาล แน่นอนว่า สักวันหนึ่งประชาชนจะรวมตัวกันถามหาความยุติธรรม และเมื่อความอยุติธรรมของอเมริกาและพันธมิตรจักรวรรดินิยมได้สิ้นสุดลง ความผาสุก และความสงบที่แท้จริงก็จะบังเกิดขึ้นในโลกแห่งนี้
Source: mashreghnews.ir