เมื่อพูดถึงการปรากฏตัวของกลุ่ม IS หลายๆฝ่ายก็เริ่มตระหนักแล้วว่า กลุ่มหัวรุนแรงอย่าง IS หรือ กลุ่มที่มีกลิ่นเหมือนกัน เริ่มจะขยับมาลงมือปฏิบัติการ ในกลุ่มประเทศ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนิเชีย มาเลเซีย และไทยเองก็เช่นกัน มีข่าวการลงมือปฏิบัติการในมาราวี การซุ่มสุมกำลังพล และการประกาศสนับสนุน กลุ่มตักฟีรีย์เหล่านี้ อย่างไม่ขาดสาย
ประเทศเพื่อนใกล้บ้าน อย่างมาเลเซีย อินโดนิเซีย เริ่มตื่นตัวกับเรื่องนี้กันก่อนหน้านี้แล้ว และเมื่อลงมือตรวจสอบอย่างจริงจัง ก็สามารถจับผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องกับ IS ได้หลายคน[1] พร้อมเตือนไทยให้ระวังคนกลุ่มนี้จะเข้าไปพื้นที่ภาคใต้ของไทย และเราจะเห็นข่าวแบบนี้ปรากฏขึ้นทุกๆเดือน และเริ่มถี่ขึ้นเป็นทุกๆสัปดาห์
เมื่อมองแบบภูมิศาสตร์จะเห็นได้ว่า กลุ่ม IS กำลังค่อยๆย้ายกองกำลังเข้ามาในอาเซี่ยน การขยับตัวมีลักษณะเหมือนการขยับตัวของปลาหมึกยักษ์ ที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามา และยึดจับเหยื่อด้วยหนวดของมัน การรวมกลุ่ม การเข้าสวามิภักดิ์ของกลุ่มเก่า หรือ การตั้งกลุ่มที่ขึ้นกับ IS มีให้เห็นและเริ่มจะมากขึ้น เมื่อ IS แพ้ ในตะวันออกกลางอย่างต่อเนื่อง จนเกือบจะสูญพันธ์[2] ดังนั้นในตอนนี้ การไม่ใส่ใจ ถือเป็นความประมาทและผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง คำถามคือ มันมาได้อย่างไร ?
หากคนในพื้นที่ ไม่ยอมรับ ไอซิซ ก็ไม่สามารถเจาะเข้าแต่ละพื้นที่ได้ การมาของพวกเขา จึงจำเป็นต้องอาศัยการยอมรับ ของผู้คนเสียก่อน อย่างเหตุการณ์มาราวี [3] หรือเหตุการณ์บุกอินโดนิเซีย[4]ถ้าไม่มีคนในพาเข้า กลุ่มแบบนี้ ก็ไม่มีทางเข้ามาได้เลย
ดังนั้น ภารกิจแรกของกลุ่มหัวรุนแรงแบบนี้ คือ การปูพื้นฐาน และปลุกฝังความคิดลงไปในจิตใจของมุสลิม การแทรกซึมในแต่ละพื้นที่ ใช้คนในพื้นที่ในการปูพื้นฐานแนวคิด แบบ ค่อยๆพูดทุกวัน “สร้างศัตรูให้พวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองมีศัตรู” เช่น สโลแกนชีอะฮ์ไม่ใช่อิสลาม ชีอะฮ์ด่าศอฮาบะฮ์ ฯลฯ แล้วมอบความภาคภูมิใจแบบปลอมๆให้ในฐานะผู้ปกป้องศาสนา ซึ่งบางครั้งพวกเขาไม่ได้พูดว่า ไอซิซถูก แต่พวกเขาจะพูดว่า ศัตรูกำลังทำลายศาสนา และในตอนนี้ทีกลุ่มเดียวที่ออกมายันกับเรื่องพวกนี้ คือ ไอซิซ คำถามเรื่องความถูกต้องขององค์กรก็จะถูกปัดให้ตกไป
กลวิธีนี้ เป็นกลวิธี ที่เรียกว่า”ทีละเล็กทีละน้อย” กล่าวคือ ถ้าพูดว่า จงตอบรับไอซิซ โดยไม่มีการปูพื้นจิตใต้สำนึกของประชาชนไว้ก่อน แนวโน้มที่คนจะตอบรับ ก็จะน้อยกว่า แต่ถ้าพูดว่า “ชีอะฮ์ไม่ใช่อิสลาม ชีอะฮ์ด่าศอฮาบะ” การขอในเรื่องที่ยากกว่า ใหญ่กว่า ก็จะมีแนวโน้มที่จะถูกตอบรับมากขึ้นในภายหลัง
ในซีเรีย วิธีดึงนักรบอาสาสมัคร ให้ทำการสู้รบกับรัฐบาล ก็ใช้วิธีเดียวกัน มีการปล่อยคลิป ทหารทรมานประชาชน พร้อมสั่งให้ประชาชนในคลิป พูดว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจาก บะชัร [5] “ทำให้คนเกลียดรัฐบาลแบบสุดโต่งไปเลย แล้วหลังจากนั้น พวกเขาจะมารบให้เอง”
ทีนี้เมื่อดูในไทย จะพบว่า มีการปลูกฝังแนวคิดแบบนี้ลงในสมองของมุสลิม ให้เกลียดคนต่างนิกาย หรือ ก็มุสลิมด้วยกันเอง แล้วจึงไปหาเหตุให้เกลียดต่างศาสนิกในภายหลัง เริ่มจากพูดว่า กลุ่มนั้นบิดเบือน กลุ่มนี้กำลังสร้างภาคี กลุ่มนี้ไม่ใช่อิสลาม เริ่มมีการวางมาตรฐานความถูกต้องของศาสนาที่ตัวกู ใครไม่เหมือนกู คือ ผิด อันเป็นเสมือนชุดโปรแกรมเดียวกันที่ถูกติดตั้งในซีเรีย ก่อนสงครามมีการเริ่มต้นแบบนี้ เมื่อถูกกรอกหูทุกวันว่า กลุ่มนี้ไม่ใช่อิสลาม กลุ่มนั้นไม่ใช่แนวทางที่เที่ยงตรง มันก็จะเหมือนกับ โฆษณาทุก 20 วินาที ที่เปลี่ยนความทรงจำระยะสั้น ให้เป็นระยะยาว และผู้คนก็จะค่อยๆ เกลียดคนที่พวกเขาอยากให้เกลียด ไปโดยอัตโนมัติ ในท้ายที่สุด ก็เกิด การตักฟีร หรือ การตัดสินให้ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในนิกายเดียวกันเป็นกาเฟร ทำแบบนี้แล้วได้อะไร คำตอบก็คือ เมื่อใครถูกตัดสินว่าเป็นกาเฟร หรือ ตกศาสนา การฆ่าพวกเขาจึงเป็นสิ่งที่อนุมัติให้กระทำ (แน่นอนว่า การกล่าวหากันในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ตัดสินเร็ว และง่ายเกินไป และไม่ใช่วิธีการที่อัลกุรอ่าน และศาสนาอิสลามสอนเลย )
กล่าวโดยสังเขปคือ ไอเอส เข้าไทย ไม่ได้ ถ้าไม่ปูพื้นจิตใต้สำนึก และปูพื้นฐานทางความคิดก่อน และหนึ่งในการปูพื้นฐานความคิดในประเทศไทย คือ การบริภาษกลุ่มนิกายอื่นๆให้เป็นกาเฟร การตอบรับการก่อการร้าย ก็จะเริ่มต้น
นอกจากนี้ อาจารย์ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ นักวิชาการทางบูรพคดีศึกษา สังกัดมหาวิทยาลัยมหิดล ก็ยังได้แสดงทัศนะบนหน้าเฟสบุ๊กอย่างเป็นทางการในประเด็นที่คล้ายคลึงกันอีกด้วย ภายใต้หัวข้อกระทู้ว่า “ไอสิส อยู่ไหนในเมืองไทย?” อาจารย์ได้โพสต์ข้อความในวันที่ 10 มิถุนายน 2560 [6] ที่ผ่านมาว่า:
“*ไอสิส* อยู่ไหนในเมืองไทย? อีกคำถามหนึ่งที่คนไทยถามอย่างหน่อมแน้มก็คือ ‘ไอสิสอยู่ไหนในเมืองไทย?’ แล้วก็สรุปว่า ‘ไอสิสไม่มีในเมืองไทย’ ฯลฯ นี่ก็บ้องตื้นไปหน่อยละครับ ไอสิสและอัลกออิดะห์มาจากวะฮาบีและวะฮาบีแทรกซึมอยู่กับกลุ่มมุสลิมนิกายซุนนี่ห์ที่ค่อนข้างหัวรุนแรง ซึ่งจะมีอยู่ ๒ สาย สายหนึ่งแทรกซึมอยู่ภายในประเทศแล้ว และอีกสายหนึ่ง เป็นพวกเหลือขอรับจ้างป่วนชาวต่างประเทศซึ่งจู่ๆ กระโดดลงมาจากฟ้าแล้วปรากฎตัวเลย
อย่าไปสนใจว่าคนเหล่านี้จะใช้ชื่ออะไรโดยเด็ดขาด แค่ออกตัวในแนวรุนแรง พยายามสอนผู้คนไม่ให้กลมกลืนกับวัฒนธรรมหลัก ไม่ให้สนใจศึกษาศาสนาอื่นแต่พยายามบีบให้คนท้องถิ่นศึกษาศาสนาของตัวท่าเดียว พยายามกีดกันคนนับถือศาสนาอื่นจากชุมชนของตัวเพราะยอมรับหลักพหุสังคมนิยมสมัยใหม่ไม่ได้ ฯลฯ ก็แสดงว่าเริ่มมีเค้าพฤติกรรมสร้างความแตกแยกภายในประเทศแล้ว
ในตะวันออกกลาง เช่น ซีเรีย คนเหล่านี้จะใช้หลายชื่อครับ เช่น Ahrar al-Sham,Jaysh al-Islam,Jabhat Ansar al-Islam, aish al-Izzah,Aknaf Bait al-Maqdis, Hamas,Tahrir al-Sham, Ajnad al-Sham เป็นต้น ข้อสำคัญก็คือชื่อไหนใช้ไปแล้ว ผู้คนเบื่อหน่ายและเกิดฉาวโฉ่ขึ้นมาก็จะพยายามเปลี่ยนชื่อไปเรื่อย ขอยกตัวอย่างให้ทราบ มีอยู่กลุ่มหนึ่งใช้ว่า’กองทหารอิสระซีเรีย’ (Free Syrian Army=FSA) ซึ่งเป็นลูกน้องของมะกันและมะกันเองก็บอกว่าเป็นนักรบเพื่อเสรีภาพ (Freedom fighters) แต่พอพฤติกรรมฉาว เลวพอๆ กับกลุ่มอื่น เลยต้องเปลี่ยนชื่อตัวเองมาเป็น New Syrian Army แต่พอรัฐบาลซีเรียรู้ทันเช่นกันว่าชั่วพอๆ กัน ตอนนี้หันไปใช้ชื่อใหม่อีกแล้วว่า ‘กองทหารคอมมานโดปฏิวัติ’ (Revolutionary Commando Army) แต่ที่คนไทยรู้จักกันแพร่หลายคืออัลกออิดะห์และไอสิส ที่เหลือไม่ค่อยรู้ คำถามคือ ‘ท่านจะพากันจดจำชื่อกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ไปทำสากกระเบืออะไร?’
อย่าไปติดใจว่าชื่อ *ไอสิส* ยังไม่มีในเมืองไทย ให้ดูพฤติกรรมคนที่บ่มเพาะกันขึ้นมาเป็นเกณฑ์ ชื่อเหล่านี้ถูกเปลี่ยนเพื่อให้เจ้าของประเทศตายใจหลังจากรู้พฤติกรรมแล้วเท่านั้น เมื่อความพร้อมมีเมื่อไหร่ ไอสิสก็จะโผล่ออกมาทันทีเหมือนที่กำลังเกิดในฟิลิปปินส์ตอนนี้ แล้วที่เมืองไทยยังดมอะไรไม่ได้ละจ๊ะแม่จำเนียร ต้องระวังให้ดี อย่าบ้องตื้น!”
Sources:
[1] http://www.posttoday.com/world/news/496841
http://www.bbc.com/thai/international-39791425
https://news.mthai.com/world-news/567067.html
[2] http://www.abnewstoday.com/10691
[3] http://news.voicetv.co.th/world/492709.html
[4] http://www.thansettakij.com/content/26901
[6] https://www.facebook.com/bodhinand007/