ซาอุดิอาระเบียขายปาเลสไตน์ให้อิสราเอล
อันดับแรกที่ผู้อ่านจะต้องทำความเข้าใจคือ ซาอุดิอาระเบีย และราชวงศ์ผู้ปกครอง ได้รับการสถาปนาโดยจักรวรรดิอังกฤษ พันธมิตร และกลุ่มชนชั้นสูงที่อยู่เบื้องหลัง หรือ กลุ่มอิลลูมินาติ ในความต้องการก่อตั้งรัฐอิสราเอล ในแผ่นดินปาเลสไตน์ และช่วงชิงอำนาจเหนือภูมิภาคตะวันออกกลาง เพื่อให้อิสราเอลเป็น ‘รัฐ’ หัวเมืองใหญ่ หรือ ฐานที่มั่นสำหรับใช้บัญชาการปกครองโลกต่อไป ภายใต้แผนการสร้างระเบียบโลกใหม่ (New World Order) ตามความเชื่อของพวกเขา
แน่นอนว่า การรุกรานชาติที่มีผู้อยู่อาศัยไม่ใช่เรื่องง่าย และสำหรับการกระทำดังกล่าว ย่อมต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง บรรดามหาอำนาจตระหนักถึงประเด็นข้อนี้เป็นอย่างดี พวกเขาจึงจำเป็นต้องวางกลยุทธ์ในการเข้ายึดครองพื้นที่ดังกล่าว ผลสรุปก็คือ การมีอิทธิพลเหนือประชาชาติมุสลิม คือ กลยุทธ์หลักของแผนการนี้ สาเหตุหนึ่งที่สำคัญเป็นเพราะ มุสลิมถือความเชื่อเรื่อง “มุสลิมคือพี่น้องกัน” และอิสลาม คือ ศาสนาที่ตามหลักคำสอนแล้ว ไม่แยก “อาณาจักร” หรือ “การเมือง” ออกจาก “ศาสนา” ตัวอย่างเช่น ในกรณีของเศรษฐกิจ ซึ่งอิสลามปฏิเสธระบบ ริบา – หมายถึงรูปแบบของการให้กู้ยืมใดๆด้วยผลประโยชน์จากการเก็บดอกเบี้ย –ปัจจัยนี้ ยังเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้อิสลามเป็นปฏิปักษ์กับอิสราเอล หรือระบอบไซออนิสต์อีกด้วย เพราะพวกเขาเป็นยักษ์ใหญ่ที่ควบคุมระบบการคลังโลก
ฉะนี้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องยึดครอง “ฮารอมัยน์” หรือ อัลกะบะฮ์ และมัสยิดุนนบี ที่ตั้งอยู่ในประเทศซาอุฯ เพื่อลดทอนศักยภาพของชาวมุสลิมในการฟื้นฟูอิสลาม เพราะทั้งสองถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวมุสลิม เป็นแผนดินแห่งประวัติศาสตร์ และมีความสำคัญสำหรับการประกอบพิธีฮัจย์ หนึ่งในหลักปฏิบัติข้อบังคับทางศาสนา และโอกาสทองในการหล่อหลอมภราดรภาพของประชาชาติมุสลิมทุกๆคน
อย่างไรก็ตาม การยึดครองฮะรอมัยน์อย่างเปิดเผย เป็นเรื่องที่มิอาจเกิดขึ้นได้แล้วแต่ใจปรารถนา แน่นอนจะต้องมีเสียงประท้วงจากชาวมุสลิมจากทั่วภาคส่วนของโลก นอกเสียจากว่า พวกเขาจะอาศัยความช่วยเหลือ จาก “หนอนบ่อนไส้” และในการนี้ ราชวงศ์ซาอุฯ ก็คือ กลุ่มผู้ทรยศต่อประชาชาติมุสลิม ซึ่งได้ขายฮารอมัยน์ และปาเลสไตน์ มาตั้งแต่สงครามโลกให้แก่มหาอำนาจ แลกกับการขึ้นครองราชย์ และอำนาจเหนือภูมิภาค (ดู: เปิดประวัติ รัฐอิสราเอล กับการสร้าง ‘ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย’)
นอกจากความพ่ายแพ้ที่น่าอับอายของชาติอาหรับ 6 ชาติต่อการรุกรานของอิสราเอลในปาเลสไตน์ในสงคราม 6 วัน เมื่อปี 1967 ประเด็นที่น่าสงสัย อันเป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่การจัดตั้งรัฐอิสราเอลในภูมิภาค และขับไล่ชาวปาเลสไตน์ออกจากพื้นที่อย่างสมบูรณ์ เรายังพบเครื่องบ่งชี้อีกหลายอย่าง ที่บอกว่า ซาอุฯ จงใจเพิกเฉย หรือ แม้แต่ยินยอมยก ปาเลสไตน์ให้กับอิสราเอล
กรณีหนึ่งที่ชัดเจนคือ ซาอุฯสนับสนุนการรัฐประหารในอียิปต์ตามคำสั่งของอิสราเอล โดยได้ให้เงินหลายพันล้านดอลลาร์แก่รัฐบาลของพลเอก เอล ซีซี (el-Sisi) ขณะที่การรัฐประหาร เป็นเรื่องหายนะสำหรับชาวปาเลสไตน์ เพราะพลเอกเอลซีซี ปิดกั้นพรมแดนอียิปต์ / กาซ่า ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่ชาวปาเลสไตน์ส่วนใหญ่ใช้ทำการขนส่ง
ยิ่งไปกว่านั่น เรายังพบเห็นความสัมพันธ์ที่เปิดเผยของซาอุฯกับชาติมหาอำนาจผู้สนับสนุนรัฐอิสราเอลอย่างเต็มกำลังจากหลายกรณีบนเวทีโลก ตัวอย่างเช่น การเยือนซาอุดิอาระเบียของประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งซาอุฯก็ได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ถึงขนาดมีการจัดคอนเสริตต้อนรับ ทั้งๆที่โดยปกติแล้ว อุดมการณ์ของซาอุฯจะมีความสุดโต่งกับการจัดกิจกรรมบันเทิงในกรณีเช่นว่า (ดู: “ศรัทธาตามใจฉัน”? เผยเหตุซาอุฯจัดคอนเสิร์ตต้อนรับทรัมป์)
อีกตัวอย่างหนึ่ง เห็นได้จาก คำกล่าวของ เจ้าชายโมฮัมเม็ด บิน ซัลมาน (Mohammed Bin Salman) เอง ซึ่งออกมาพูดว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ‘เป็นมิตรที่แท้จริงของมุสลิม’ (ดู: Saudi Arabia’s deputy crown prince has hailed Donald Trump as a “true friend of Muslims)
อย่างไรก็ดี เกลียวที่ผูกสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองของซาอุดิอาระเบียและอิสราเอลอันดับใหญ่ๆ คือ ความเกลียดชังที่มีร่วมกัน ต่อสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ทั้งสอง มองเห็นอิหร่าน ในฐานะภัยคุกคามที่เป็นรูปธรรม ซึ่งดำรงอยู่จริง และเกรงกลัวอิทธิพลที่กำลังเติบโตขึ้นของอิหร่านในภูมิภาค (ดู: ทำไมสหรัฐฯ จึงสนับสนุนซาอุฯ? – บทสัมภาษณ์ผู้ร่วมก่อตั้ง Code Pink องค์กรเพื่อยุติสงคราม)
ซาอุดิอาระเบีย คือ ผู้สนับสนุนผู้ก่อการร้ายโลก
ตามแผนการของกลุ่มอิลลูมินาติ เป้าหมายสูงสุดของพวกเขาคือ การครอบครองทรัพยากรโลกแต่เพียงผู้เดียว และทำให้ประชากรโลกที่เหลืออยู่ตกอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของพวกเขาประดุจทาส ด้วยแผนการจัดตั้งระเบียบโลกใหม่ (New World Order) ที่มาพร้อมกับชุดรัฐบาลหนึ่งเดียว จึงเป็นที่รับรู้กันว่า พวกเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังหลายๆเหตุการณ์นองเลือด และการกดขี่ที่รุนแรงบนโลกนี้ อาทิเช่น เหตุการณ์นองเลือดในยุคล่าอาณานิคม สงครามโลกทั้งสองครั้ง สงครามกลางเมืองของแต่ละประเทศในอดีต ตราบจนปัจจุบัน ไปจนถึงสงครามยาเสพติด และการขูดรีดประชาชนด้วยอุดมการณ์การเมืองและระบบเศรษฐกิจที่ล้มเหลว ฯลฯ เป็นต้น (ดู: รายงานพิเศษ)
อย่างไรก็ดี การไปสู่เป้าหมายสูงสุดของพวกเขา ย่อมต้องมีกำหนดการ และกลยุทธ์ต่างๆ ในประเด็นนี้ มีทฤษฎีสมคบคิดมากมาย ได้เชื่อมโยง อาชญากรรมสงครามโลก เข้ากับการเดินเกมของพวกเขา โดยชี้ว่า สงครามโลกครั้งที่ 1 นำไปสู่การจัดตั้ง League of Nations (องค์การสันนิบาตชาติ) และสงครามโลกครั้งที่สอง นำไปสู่การจัดตั้ง United Nations (องค์การสหประชาชาติ) ขณะที่ทั้งสองก็คือ ปฐมบทของการจัดตั้งรัฐบาลหนึ่งเดียว ตามความต้องการของกลุ่มอิลลามูนาตินั่นเอง ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ New World Order จะถูกก่อตั้งขึ้น หลังการนองเลือดของประชากรโลก ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 3 คำถามคือ พวกเขาจะสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไร? ในส่วนนี้ มีรายงานเผยว่า อิลลูมินาติจะใช้ “อิสลาม” เป็นตัวจุดชนวนก่อสงครามโลกครั้งที่ 3 (ดู:อิลลูมินาติ Albert Pike: “เราจะใช้อิสลาม จุดชนวนสงครามโลกครั้งที่ 3” )
สถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แสดงให้เราเห็นถึงการปะทะกันระหว่าง ประชาชาติอิสลาม และมหาอำนาจตะวันตกใต้อิทธิพลของไซออนิสต์ (ดู: David Steele ตอนที่ 2: อดีต CIA แฉอิทธิพลอิสราเอลต่อสหรัฐฯ)
ขณะที่ความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้นจาก ปัญหาการก่อการร้าย ที่ซึ่งพวกเขาอ้างว่า “อิสลาม” คือ บ่อเกิดของมัน และใช้ข้ออ้างนี้ กระทำสงครามต่อต้านอิสลาม ภายใต้ชื่อสวยหรู สงครามต่อต้านการก่อการร้าย
ในการนี้ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ป่าเถื่อนให้แก่อิสลาม และใช้มันสร้างความชอบธรรมให้แก่ฝ่ายตน ในการก่ออาชญากรรมต่อฝ่ายตรงข้าม และเพื่อบ่อนทำลายความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชากรโลก ในกลยุทธ์ “แบ่งแยก แล้วปกครอง” ระบอบอิสราเอลและชาติพันธมิตรได้ร่วมมือกันสร้าง “ลัทธิวะฮาบีย์” หรือ “ลัทธิการก่อการร้าย” ภายใต้นามของอิสลามขึ้นมา โดยมี ซาอุฯ เป็นศูนย์บัญชาการหลักสำหรับผลิต แพร่ขยาย และสนับสนุนแนวคิดดังกล่าว (ดู: ขุดโคตร “ลัทธิแห่งการหลั่งเลือด” วะฮาบีจี้ปล้นศรัทธามุสลิม! และ คุณไม่อาจเข้าใจ “ไอซิส” ถ้าคุณไม่รู้ประวัติ “ลัทธิวะฮาบี” ในซาอุดิอาระเบีย!!)
นอกจากนี้ ยังมีหลักฐานอีกหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่า ซาอุฯ คือ ผู้สนับสนุนรายใหญ่ของผู้ก่อการร้าย ตัวอย่างเช่น
กรณีที่ 1: รอน พอล ออกมาแฉว่าซาอุฯ คือชาติ ผู้สนับสนุนผู้ก่อการร้ายขึ้นมาป่วนตะวันออกกลาง ด้วยหวังจะเป็นชาติผู้ทรงอิทธิพลเหนือภูมิภาคแทนอิหร่าน เพราะอิหร่านไม่เคยรุกรานชาติไหนๆ เลย ยกเว้นจะส่งนักรบฮิซบุลลอฮ์ไปช่วยปราบผู้ก่อการร้าย เช่น ในซีเรีย อิรักและเยเมน เป็นต้น (ดู: ronpaulinstitute )
กรณีที่ 2: วิกิลีก ออกมาแฉว่าว่า ซาอุฯให้ทุนสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายไอสิส ซึ่งพัฒนามาจากกลุ่มอัลกออิดะห์ ทั้งนี้ เพื่อให้กลุ่มดังกล่าว เป็นตัวแทนของอเมริกาและอิสราเอล ในการสร้างความแตกแยก และสงครามระหว่างประชาชาติ ในความต้องการสกัดกั้น การตื่นตัวของโลกอิสลาม (ดู: huffingtonpost และ independent.co.uk)
กรณีที่ 3: ตามบทความตีพิมพ์โดยสื่อมาเลเซีย FMT จากรายงานล่าสุดของกลุ่มนักคิดระดับคลังสมองของอังกฤษ (British think-tank) ได้เชื่อมโยง “สันนิบาตมุสลิมโลก” (Muslim World League – MWL) กับอุดมการณ์หัวรุนแรงที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มอัลกออิดะห์ ตอลิบาน และไอซิส ขณะที่ “สันนิบาตมุสลิมโลก” เป็นองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินอย่างหนักจากรัฐบาลซาอุดีอาระเบียเพื่ออัดฉีดอุดมการณ์อิสลามของราชอาณาจักรซาอุฯ และทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงของริยาดผ่านการตีพิมพ์เอกสารเกี่ยวกับอิสลาม และจัดหาเงินทุนให้แก่มัสยิดและศูนย์อิสลามต่างๆ จากเอเชียไปจรดยุโรป
นอกจากนี้ ในประเด็นเดียวกัน นางตุลสี กาบบาร์ด สส.อเมริกาพรรคเดโมแครต ยังได้ออกมาแฉ นโยบายสร้างมัสยิดและโรงเรียนมัดราซะห์ในต่างประเทศของซาอุฯ เพื่อปูทางให้เกิดไอสิส และกลุ่มก่อการร้ายทั่วโลก และโดยเฉพาะในตะวันออกกลางในเวลาต่อมา (ดู: gabbard.house.gov)
_________
โปรดติดตามต่อนต่อไป