รัฐบาลอิรักเพิ่งเรียกร้องให้สหประชาชาติออกมติเพื่อช่วยเหลืออิรักในการรวบรวมหลักฐานการก่ออาชญากรรมของกลุ่มก่อการร้ายไอซิส
ในจดหมายของอิบราฮิม ญะอ์ฟารี ถึงสหประชาชาติกล่าวว่า “อาชญากรรมของกลุ่มก่อการร้ายไอซิสต่อพลเรือนการทำลายโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงแหล่งโบราณสถานของอิรักถือเป็นอาชญากรรมต่อมนุษย์ และตัวแทนของพวกเขาจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายไอซิสจำต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอิรัก” ทั้งนี้เพื่อให้ภาพรวมโดยสรุปเกี่ยวกับ อาชญากรรมของไอซิสต่อปัจจัยทั้งสามระดับของมนุษย์ เศรษฐกิจและการเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันตกและแอฟริกาเหนือ ในความต้องการให้บรรลุเป้าหมายหลักของบันทึกนี้
อาชญากรรมไอซิสในภูมิภาค
อาจอ้างได้ว่า ไอซิสเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่ซึ่งส่วนใหญ่ของความสำเร็จที่ผิดกฎหมาย คือ การเข่นฆ่ามนุษยชาติอย่างโหดเหี้ยมและสยดสยอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนในเอเชียตะวันตกและแอฟริกาเหนือ แม้ว่าการสังหารมนุษย์ก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นในภูมิภาคดังกล่าวแล้ว (ตัวอย่างเช่น อาชญากรรมของกลุ่ม Takfiri ใน Jundallah ทางภาคตะวันออกของอิหร่าน) ทว่าไอซิส เป็นกลุ่มเดียวที่ทำการตัดคอมนุษย์ และยังเป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางว่า เป็นบ่อเกิดของปฏิบัติการก่อการร้ายที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งเกิดขึ้นอยู่ทั่วภูมิภาค
การขายผู้หญิงเป็นทาส การปล้นสะดมทรัพย์สินพลเรือน การเผา การถ่วงน้ำ การจุดไฟไหม้ และวิธีการอื่นๆเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการก่ออาชญากรรมของไอซิสที่มีต่อมนุษยชาติเท่านั้น นอกจากนี้ การทำลายพื้นที่ที่อยู่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมและสิ่งก่อสร้างได้ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงให้กับบางประเทศในภูมิภาค เช่น ซีเรีย อิรัก และ เยเมน เป็นต้น
อาชญากรรมไอซิสไม่ได้จบเพียงเท่านี้ พวกเขายังได้ต่อสู้กับรัฐบาลที่ชอบธรรมตามกฎหมายอีก ทั้งมีความพยายามที่จะโค่นล้มพวกเขา ทำให้ประเทศในภูมิภาคนี้ออกจากเส้นทางของการพัฒนาทางการเมือง และทำให้เกิดความเสียหายต่อการเมืองและสังคมที่ไม่อาจชดเชยได้ (ความขัดแย้งทางเชื้อชาติและนิกายอย่างรุนแรง)
คำถามในที่นี้คือ การแพร่ขยายอย่างกว้างขวางของการก่ออาชญากรรมของไอซิส ทางองค์การสหประชาชาติในฐานะองค์กรที่มีเป้าหมายหลัก เพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคงของโลก ได้ออกมาตอบโต้การก่ออาชญากรรมของกลุ่มไอซิสตักฟีรีย์อย่างไรบ้าง ?
ปฏิกิริยาของสหประชาชาติ ต่อการก่ออาชญากรรมของไอซิส
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ในฐานะเป็นผู้บริหารของสหประชาชาติในมติ เช่น มติ 2170 ได้ทำการประณามการเข้าร่วมของนักรบชาวต่างชาติกับกลุ่มก่อการร้ายไอซิสและอันนุศราฟรอน์ด และเรียกกลุ่มนี้ว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่จะต้องสลายตัว นอกจากนั้นในมติที่ 2199 ของสหประชาชาติ ยังถือว่าการขายน้ำมัน การลักลอบขายมรดกทางวัฒนธรรม และความช่วยเหลือจากต่างประเทศเป็นรายได้ที่ผิดกฎหมายของไอซิส แต่แทนที่สหประชาชาติจะแสดงความกังวลในการประชุมหารือเพื่อปราบปรามการก่ออาชญากรรมของไอซิส แต่กลับบรรจุวาระการต่อสู้กับรัฐบาลซีเรียด้วยข้ออ้าง ในการละเมิดประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน มากกว่าความกังวลเกี่ยวกับอาชญากรรมของไอซิส
ในขณะที่สหประชาชาติยังไม่เคยดำเนินการในลักษณะดังกล่าวต่อระบอบการปกครองของประเทศบาห์เรนแม้จะมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางในประเทศก็ตาม ด้วยการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา คณะมนตรีความมั่นคงได้ออกมติข้อแนะนำเกี่ยวกับซีเรียไปแล้ว21 ฉบับ แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ (คำแนะนำหรือข้อบังคับที่จำเป็น) ต่อการปราบปรามของอัลคาลิฟาเลยแม้แต่ครั้งเดียว สหรัฐฯได้ใช้นักการทูตที่มีความเคลื่อนไหวเพื่อที่จะผ่านมติที่มีผลผูกพันรวมถึงการออกมติเร่งด่วน มาตรการคว่ำบาตรและบทบัญญัติของการแทรกแซงทางทหารและได้ร่างมติ 8 ประการในเรื่องนี้ ซึ่งทั้งหมดได้รับการคัดค้านโดยรัสเซียและจีน
เป้าหมายในการยกตัวอย่างการทำงานของคณะมนตรีความมั่นคง ในกรณีของบาห์เรนและซีเรีย ให้ความหมายว่า จากมุมมองของสหประชาชาตินี้ (ยกเว้นรัสเซียและจีน) เผด็จการในประเทศบาห์เรนเป็นประชาธิปไตย เช่นเดียวกับเผด็จการในพม่า ที่ได้ฆ่าล้างเผ่าพันธ์มุสลิมในประเทศอย่างไรความปราณี อาจเป็นเพราะ ประชาชนเหล่านี้ มิใช่ชาวตะวันตก จึงไม่ได้รับความชอบธรรมจากสหประชาชาติ ทั้งๆที่เผด็จการเหล่านั้น สมควรที่จะถูกตีตราให้เป็นอาชญากร และเป็นผู้นำซึ่งม่มีบรรทัดฐานแห่งหลักมนุษย์ธรรมใดๆทั้งสิ้น
คำแถลงนี้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในจุดยืนของสหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคงเกี่ยวกับไอซิส ในที่นี้ความท้าทายตรงนี้ คือสิ่งที่อาจรวมอยู่ในความล้มเหลวของสหประชาชาติ ในการต่อสู้กับอาชญากรรมของกลุ่มผู้ก่อการร้ายไอซิสในอิรักและซีเรียกับสมาชิก (ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนหลักของสหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคงหรือไม่?) ผลประโยชน์เหล่านี้จะกลายเป็นปัญหาด้านความปลอดภัยสำหรับพวกเขาหรือไม่ (การโจมตีของผู้ก่อการร้ายในยุโรปและสหรัฐอเมริกา)?
อาชญากรรมไอซิส สอดคล้องกับผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์ของมหาอำนาจ
การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องของกลุ่มก่อการร้ายในภูมิภาคนี้แสดงให้เห็นว่า สหรัฐอเมริกาและหน่วยสืบราชการลับของตะวันตก มีบทบาทสำคัญในการสร้างและเสริมความเข้มแข็งให้กับกลุ่มตักฟีรีย์ เช่น อัลกออิดะห์และตอลิบัน เหตุผลหลักในการสนับสนุนนี้ ก็คือ ความล้มเหลวของเศรษฐกิจในระบบทุนนิยม ซึ่งมีความต้องการทรัพยากรที่จำเป็นต่อมนุษยชาติ เช่น น้ำมัน และในการนั้น จำเป็นต้องสกัดกั้นไม่ให้ศักยภาพที่แท้จริงของศาสนาอิสลามบังเกิดขึ้นเพื่อรับมือกับปัญหาทางเศรษฐกิจ เนื่องจาก อิสลามคือ ศาสนาที่มีระบบเศรษฐกิจกำหนดไว้อย่างเป็นอิสระ ไม่จำเป็นต้องพึ่งไปยังระบบเศรษฐกิจอื่นๆ หากมุสลิมได้รับความเข้าใจที่ถูกต้อง
ศูนย์ความคิดและอำนาจในฝั่งตะวันตกเข้าใจได้อย่างถูกต้องว่า การกระทำและการดำเนินการของกลุ่มตักฟีรีย์นอกเหนือจาก ที่ให้ภาพลักษณ์ที่ผิดๆของศาสนาอิสลามแล้ว ยังเป็นการหยุดกระแสการเติบโตของอิสลามนิยมในตะวันตก ดังนั้นเมื่อสมาชิกของกลุ่มก่อการร้ายไอซิสทำการตัดคอ ด้วยการเอ่ยประโยคอันศักดิ์สิทธิ์ (พระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่) ทำให้แนวโน้มของตะวันตกที่กำลังศึกษาอิสลามมองว่าไอซิสเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาอิสลาม
ในทางตรงกันข้าม ถ้าหากการก่ออาชญากรรมเช่นเดียวกันนี้เกิดขึ้นในดินแดนตะวันตก ความรู้สึกนี้ก็จะรุนแรงมากขึ้น นอกเหนือจากการใช้ประโยชน์จากอาชญากรรมของไอซิสแล้ว มันเป็นการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ Islamophobic ซึ่งการก่ออาชญากรรมของกลุ่มนี้จะเป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันที่มีประสิทธิภาพในการขัดขวางอิสลามทางการเมืองกับอิสลามสุดโต่งไอซิสและอัลกออิดะห์ ประเด็นนี้จะเพิ่มให้มหาอำนาจใช้ประโยชน์ในการนำเสนอทางเลือกรัฐบาลอิสลามฉบับใหม่กับอิสลามทางการเมืองที่บริสุทธิ์ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรืออย่างน้อยก็สามารถจำกัดการต่อสู้กับกลุ่มหัวรุนแรงมุสลิมสุดโต่งในดินแดนของพวกเขา
Source: alwaght.com