Prof. Boyle เผยข้อกฎหมายระหว่างประเทศที่สหรัฐฯล่วงละเมิดอย่างต่อเนื่อง – หวั่นมหาอำนาจดัน “สันติภาพโลก” สู่ขอบเหวแห่งกาลอวสาน

โดย: Professor Francis Boyle ศาสตราจารย์ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศแห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์

459

“มันคือนักจักรวรรดินิยมกระหายอำนาจอย่างไร้ขีดจำกัด บนเส้นขนานคู่กับแนวทางของอเล็กซานเด, โรม, นโปเลียนและฮิตเลอร์ ผู้ซึ่ง ณ ตอนนี้กำลังควบคุมการดำเนินนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา …”

ในเชิงประวัติศาสตร์ การปะทุครั้งล่าสุดของลัทธิทหารอเมริกันในช่วงเริ่มต้นของศตวรรษที่ 21 มีความสอดคล้องกับการเปิดตัวทางการเมืองของอเมริกาในศตวรรษที่ 20 โดยอาศัยการปลุกปั่นให้เกิดสงครามอเมริกัน – สเปน (Spanish-American War)ในปี 1898  จากนั้นคณะบริหารพรรครีพับลีกัน นำโดย ประธานาธิบดี วิลเลียม แม็คคินลีย์ ได้ขโมยจักรวรรดิอาณานิคมของพวกเขาจากสเปนในคิวบา เปอร์โตริโก กวม และฟิลิปปินส์; ก่อให้เกิดสงครามที่ใกล้เคียงกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อประชาชนชาวฟิลิปปินส์ ในขณะเดียวกัน อเมริกาก็ได้ผนวกอาณาจักรฮาวายเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย และบังคับให้ชาวฮาวายพื้นเมือง (ที่เรียกตัวเองว่า Kanaka Maoli) เข้าสู่สภาวะการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

นอกจากนี้ การขยายตัวทางทหารและเชิงอาณานิคมของประธานาธิบดีแม็คคินลีย์ ไปยังมหาสมุทรแปซิฟิก ยังได้ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนเชิงเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ต่อนโยบายเปิดกว้าง “open door” ของประเทศจีน ซึ่งเจริญรอยตามกฎประเพณีที่มีความสละสวย ทว่าในอีก 4 ทศวรรษข้างหน้า การดำรงอยู่, นโยบาย และปฏิบัติการด้วยความก้าวร้าวของสหรัฐฯ ในจุดยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า “มหาสมุทรแปซิฟิก” กลับเป็นการปูทางไปสู่เหตุโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1941 อย่างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อันเป็นเหตุเร่งรัด ที่ผลักดันให้อเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองซึ่งกำลังก่อตัวขึ้น ในขณะนั้น

อีกหนึ่งศตวรรษต่อมา ในวันนี้ การรุกรานเชิงจักรวรรดินิยมได้ถูกเปิดตัว ดำเนินการ และคุกคามโดย นวอนุรักษ์นิยม  (neoconservative) จากคณะบริหารรีพับลีกัน บุช จูเนียร์ ตามมาด้วยคณะบริหารของเสรีนิยมประชาธิปไตย บารัก โอบามา และปัจจุบันคือ คณะบริหารของทรัมป์  ผู้ซึ่งขู่ว่าจะเปิดฉากสงครามโลกครั้งที่สาม

ด้วยการใช้ประโยชน์จากโศกนาฏกรรมจัดฉากอย่างไร้อย่างอาย ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 รัฐบาลบุช ผู้ลูก ได้ตั้งเป้าหมาย เพื่อขโมยจักรวรรดิไฮโดรคาร์บอน จากประเทศมุสลิม และชาวผิวสี ซึ่งอาศัยอยู่ในเอเชียกลาง ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ภายใต้ข้ออ้างจอมปลอมเพื่อ…:

1:  กระทำสงครามต่อต้าน “ลัทธิก่อการร้ายระหว่างประเทศ” หรือ “ขบวนการรากฐานนิยมอิสลาม”, และ/หรือ

2:  กำจัดอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูง, และ/หรือ

3:  ส่งเสริมการปกครองแบบประชาธิปไตย, และ/หรือ

4:  กระทำการแทรกแซงด้านมนุษยธรรมในสไตล์ตนเอง และในร่างอวตารของมัน คือ หลักการ R2P – “รัฐต้องรับผิดชอบในการปกป้องประชาชน”

มีเพียงครั้งนี้ ที่เดิมพันเชิงภูมิศาสตร์การเมืองเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เคยมีมาเมื่อหลายศตวรรษก่อนหน้า คือ การได้ควบคุมและยึดครองทรัพยากรไฮโดรคาร์บอนของโลก ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจโลก นั่นก็คือ น้ำมันและก๊าซ คณะบริหารงานของบุช จูเนียร์ และโอบามา มุ่งเป้าไปที่ปริมาณสำรองของไฮโดรคาร์บอนที่ยังเหลืออยู่ในทวีปแอฟริกาละตินอเมริกา (เช่น การเปิดการดำเนินการของกองทัพเรือสหรัฐฯที่ 4 ในปี 2008) และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อทำการกอบโกยและยึดครองทรัพยากรในภูมิภาคนั้นๆต่อไป รวมถึงจุดยุทธศาสตร์ choke-points ทางทะเลและบนบก ซึ่งจำเป็นสำหรับการขนส่งของพวกเขา (เช่นซีเรีย, เยเมน, โซมาเลีย, จิบูตี) วันนี้ กองทัพเรือที่สี่ของสหรัฐฯ กำลังคุกคามประเทศเวเนซุเอลา และเอกวาดอร์ และแน่นอน คิวบา ที่ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรน้ำมัน

เพื่อบรรลุเป้าหมายแรกในปี 2007 คณะบริหารของ นวอนุรักษ์นิยม  บุช จูเนียร์ ประกาศจัดตั้งกองบัญชาการทหารของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯภาคพื้นแอฟริกา (AFRICOM) ในจุดมุ่งหมายเพื่อ ควบคุม ครอบครอง ขโมย และใช้สอย ทั้งทรัพยากรธรรมชาติ และผู้คนที่หลากหลายของทวีปแอฟริกา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแหล่งกำเนิดของสายพันธุ์มนุษย์เรา

ในปี 2011 ประเทศลิเบีย และ ชาวลิเบีย ได้พิสูจน์ว่าเป็นเหยื่อรายแรกที่ยอมจำนนต่อ AFRICOM ภายใต้คณะบริหารของเสรีนิยม โอบามา นี่ยังไม่ได้คำนึงถึงเหตุการณ์พิชิต กำจัด และฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวอินเดียนแดงออกจากขอบเขตของทวีปอเมริกาเหนือ นับตั้งแต่การปลุกปั่นของสหรัฐฯ ไปสู่สงคราม อเมริกัน-สเปน ในปี 1898  การตัดสินใจด้านนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ก็อยู่ภายใต้การดูแลโดยจักรวรรดินิยมฝ่ายขวาจัด จักรวรรดินิยมนิยมแบบอนุรักษ์นิยม และจักรวรรดินิยมแบบเสรีนิยม ในช่วง 119 ปีที่ผ่านมา

ทรัมป์ เป็นเพียงอีกหนึ่งกำปั้นเหล็ก ซึ่งเป็นชาวตะวันตกผิวขาวผู้เหยียดเชื้อชาติ ของจักรวรรดิทุนนิยม จูเดโอ-คริสเตียน แห่งสหรัฐฯ ที่คอยทุบทำลายความมั่นคงไปทั่วโลก ทรัมป์ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา และภาคภูมิใจว่า สหรัฐฯตั้งมั่นอยู่ในตะวันออกกลาง ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อขโมยน้ำมันของพวกเขา อย่างน้อยทรัมป์ก็ซื่อสัตย์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งแตกต่างจากประธานาธิบดีก่อนหน้า ที่โกหกอย่างหน้าไม่อายเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว การกระทำที่ฉ้อฉลยังย้อนไปจนถึงยุคของประธานาธิบดีจอร์จ บุช ผู้พ่อ กับสงครามสำหรับน้ำมันอ่าวเปอร์เซียต่อต้านอิรัก ในปี 1991 อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็ขู่ว่าจะแทรกแซงทางทหารอย่างผิดกฎหมายต่อเวเนซุเอลา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อุดมไปด้วยน้ำมัน

ตั้งแต่เหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน 2001 เป็นต้นมา บุคคลซึ่งถือครองอำนาจควบคุมนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ล้วนแล้วแต่คือ นักจักรวรรดินิยมผู้กระหายอำนาจ ที่ไม่มีขีดจำกัด และไม่มีวันพอ แบบเดียวกันกับผู้มีอำนาจในแนวทางของอเล็กซานเด, โรม, นโปเลียนและฮิตเลอร์ สถานการณ์จริงต่างๆที่ล้อมรอบการปะทุขึ้นของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และสงครามโลกครั้งที่สอง ขณะนี้กำลังบินฉวัดเฉวียนต่างดาบคู่ของ Damocles เหนือศีรษะของมนุษยชาติทั้งหมด

หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยา ผู้คนทั่วโลกต่างเป็นพยานให้กับการกระทำของคณะรัฐบาลหลายสมัยของสหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งไม่แสดงความเคารพต่อข้อพิจารณาขั้นพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ สิทธิมนุษยชน และรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาเองอย่างต่อเนื่อง โลกได้เฝ้าดูการโจมตีที่ครอบคลุม และเป็นภัยอันตรายอย่างยิ่งยวดต่อความมั่นคงของบัญญัติต่างๆ ตามข้อกฎหมายระหว่างประเทศ และในประเทศ ออกโดยกลุ่มบุรุษและสตรีที่มีความรอบคอบ บนความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในการดำเนินการ ทั้งด้านกิจการต่างประเทศ และนโยบายในประเทศสหรัฐฯเอง

และที่น่ากังวลยิ่งไปกว่านั้น คือ ในหลายๆกรณี องค์ประกอบเฉพาะของนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ กลับทำหน้าที่ก่อสร้างอาชญากรรมต่อมนุษย์อย่างต่อเนื่อง พิจารณราภายใต้หลักการที่เป็นที่ยอมรับกันดีของกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายภายในของประเทศสหรัฐอเมริกา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธรรมนูญนูเรมเบิร์ก (1945), การพิจารณาคดีนูเรมเบิร์ก (1946) และหลักการของนูเรมเบิร์ก (1950) รวมทั้งคู่มือภาคสนามกองทัพสหรัฐฯ ฉบับที่ 27-10 ว่าด้วยกฎหมายสงครามภาคพื้นดิน ซึ่งใช้บังคับกับประธานาธิบดี ในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพสหรัฐฯ ภายใต้ Article II, Section 2 ของรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา

กองทัพสหรัฐฯในซีเรีย (Source: Inside Syria Media Center)

โดยขึ้นอยู่กับประเด็นสำคัญๆที่สหรัฐฯส่วนร่วม อาชญากรรมระหว่างประเทศและในประเทศนี้ มักประกอบไปด้วย แต่ไม่ จำกัด เฉพาะเพียงแค่การกระทำผิดทางการเมืองต่อกฎต่างๆของนูเรมเบิร์ก ว่าด้วยประเด็น “อาชญากรรมต่อสันติภาพ” – ตัวอย่างเช่น ในลิเบีย อัฟกานิสถาน อิรัก โซมาเลีย เยเมน ปากีสถาน ซีเรีย และสงครามคุกคามยาวนานอย่างแข็งกร้าวกับอิหร่าน

ความผิดทางอาญาของพวกเขา ยังเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และอาชญากรรมสงคราม เช่นเดียวกับการละเมิดอย่างร้ายแรงของอนุสัญญาเจนีวาสี่ฉบับ ปี 1949 และข้อกฎหมายกรุงเฮก ว่าด้วยการทำสงครามภาคพื้นดินฉบับปี 1907 (ความผิดอัน)ได้แก่: การทรมาน การบังคับให้บุคคลสูญหาย การลอบสังหาร การฆาตกรรม การลักพาตัว โครงการพิเศษเพื่อการส่งมอบตัว” , ยุทธการ “shock and awe” เพื่อสร้างความตื่นตระหนกและตกใจกลัว”   การใช้ยูเรเนียมด้อยสมรรถนะ (DU), ฟอสฟอรัสขาว, ระเบิดดาวกระจาย (cluster bomb), และการโจมตีพลเรือนด้วยโดรน และ ฯลฯ

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังได้ก่ออาชญากรรมขั้นต้นมากมายหลายอย่าง ซึ่งสอดคล้องกับการกระทำความผิดที่สำคัญ ภายใต้ธรรมนูญนูเรมเบิร์ก (1945), การพิจารณาคดีนูเรมเบิร์ก (1946) และหลักการของนูเรมเบิร์ก (1950) รวมทั้งคู่มือสนามกองทัพสหรัฐของกองทัพสหรัฐฯฉบับที่ 27-10 เป็นคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ: การวางแผน และการเตรียมการ การชักชวน การยั่วยุ การสมรู้ร่วมคิด ความพยายามช่วยเหลือและสนับสนุน ฯลฯ แน่นอน ตลกร้ายที่ขำไม่ออกในสถานการณ์ปัจจุบัน คือ เมื่อเจ็ดสิบปีก่อนที่นูเรมเบิร์ก รัฐบาลสหรัฐมีส่วนร่วมในการฟ้องร้อง การลงโทษ และการบังคับคดีต่อเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลนาซี ในการก่ออาชญากรรมระหว่างประเทศบางประเภท ซึ่งเป็นแบบเดียวกันกับที่เจ้าหน้าที่เหล่านี้ของรัฐบาลสหรัฐฯกำลังกระทำอยู่ต่อผู้คนจากหลากหลายเผ่าพันธุ์ของโลกในบริบทของยุคปัจจุบัน

ตามหลักการขั้นพื้นฐานของกฎหมายอาญาระหว่างประเทศที่กำหนดไว้ในวรรคที่ 501 ของ คู่มือภาคสนามกองทัพสหรัฐฉบับที่ 27-10 เจ้าหน้าที่พลเรือนระดับสูง และเจ้าหน้าที่ทหารในรัฐบาลสหรัฐฯทั้งหมด ที่ทราบ หรือ ควรทราบว่า ทหารหรือพลเรือนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตน (เช่น เจ้าหน้าที่ซีไอเอ) ซึ่งกระทำความผิด หรือ กำลังจะก่ออาชญากรรมระหว่างประเทศ และล้มเหลวที่จะใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อหยุดยั้งพวกเขา หรือเพื่อลงโทษพวกเขา หรือทั้งสองอย่างนั้น ต่างต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการก่ออาชญากรรมระหว่างประเทศนั้นๆด้วยเช่นกัน

ประเภทของข้าราชการ ที่รับทราบ หรือควรทราบ ถึงภาระรับผิดชอบของการก่ออาชญากรรมระหว่างประเทศ ภายใต้เขตอำนาจศาลของตนเหล่านี้ และล้มเหลวที่จะจัดการกับพวกเขาดังกล่าว ประกอบด้วย บุคคลจากข้างบนสุดของสายการบังคับบัญชาของอาชญากรในอเมริกา ได้แก่ ประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี เลขาธิการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เลขาธิการแห่งรัฐ ผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ ผู้อำนวยการซีไอเอ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ และหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ร่วมของกระทรวงกลาโหม พร้อมกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกองบัญชาการกลางของสหรัฐฯ (CENTCOM) และ ณ ตอนนี้ กองบัญชาการแอฟริกาของสหรัฐฯ (AFRICOM)

จำเลยนูเรมเบิร์ก (Source: news.dm)

เจ้าหน้าที่รัฐของสหรัฐฯ และผู้ใต้บังคับบัญชาโดยทันที จะเป็นผู้รับผิดชอบต่อการก่ออาชญากรรมต่อสันติภาพ อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และอาชญากรรมสงคราม ตามที่ระบุไว้ในธรรมนูญนูเรมเบิร์ก (1945), การพิจารณาคดีนูเรมเบิร์ก (1946) และหลักการของนูเรมเบิร์ก (1950) รวมทั้งคู่มือสนามกองทัพสหรัฐฉบับที่ 27-10 แห่งปี 1956

วันนี้ในแง่ของกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐบาลสหรัฐฯเองควรถูกมองว่า เป็นผู้ก่อและสมรู้ร่วมคิด ในคดีอาญาภายใต้กฎหมายอาญาระหว่างประเทศ โดยเป็นการละเมิดธรรมนูญนูเรมเบิร์ก (1945), การพิจารณาคดีนูเรมเบิร์ก (1946) และหลักการของนูเรมเบิร์ก (1950) เนื่องจากว่า การวางเกณฑ์ และการกระทำสงครามรุกราน อาชญากรรมต่อสันติภาพอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และอาชญากรรมสงคราม ที่พวกเขาได้กระทำ มีความคล้ายคลึงกับผู้ที่กระทำความผิดจากระบอบนาซีเยอรมนีในอดีต…

จากผลของมัน ระบุให้เราทราบว่า พลเมืองอเมริกัน มีสิทธิขั้นพื้นฐานภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในของสหรัฐอเมริกา รวมไปด้วย รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมกันกดดันให้รัฐบาลเปลี่ยนแปลงสถานภาพทางการเมืองที่เป็นอยู่ ด้วย “อารยะขัดขืน” ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกัน ขัดขวาง หรือยุติการดำเนินกิจกรรมทางอาญาที่กระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯอย่างต่อเนื่อง จากการดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศ และการปฏิบัติการทางทหารที่เกี่ยวข้องกับ “การป้องกัน” และ “การต่อต้านการก่อการร้าย”

คณะบริหารสหรัฐฯ คือ ผู้ก่อการร้าย พวกเขาก่อการร้ายต่อโลกทั้งผอง!”

Source: 21stcenturywire