เพนตากอน/CIA ทุ่มเงินสร้างหนังและผลิตรายการทีวี 1800 เรื่อง หวังมอมเมาคนให้คลั่งสงคราม!

632

เวทมนตร์ของฮอลลีวู้ดที่สามารถทำให้จิตนาการแห่งมนุษย์เกิดขึ้นมาจริงบนหน้าจอโทรทัศน์หรือในโรงภาพยนตร์ ผ่านการแสดงสุดฝีมือของเหล่านักแสดงมากความสามารถ ไม่ได้หลั่งไหลออกมาจากพรสวรรค์ของบรรดาโปรดิวเซอร์หรือผู้กำกับระดับตำนานเพียงเท่านั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีที่โครงเรื่อง หรือ พล็อตของบทภาพยนตร์ หรือสคริปทีวีนั้นๆเกี่ยวข้องกับกิจการทางทหาร เพราะมันเป็นไปได้ว่า เวทมนตร์เหล่านั้น จะถูกเสกออกมาจากมันสมอง เครื่องมือ และการมีส่วนร่วมของเหล่าบรรดากุนซือ ณ กระทรวงกลาโหม…

จากภาพยนต์ชวนหัวเราะ อย่าง Meet the Parents  (เขยซ่าส์ พ่อตาแสบส์) และรายการยอดนิยมสำหรับการแสดงความสามารถของชาวอเมริกัน อย่างเช่น America’s Got Talent ไปจนถึง รายการเรียลลิตี้โทรทัศน์ยอดนิยม Cupcake Wars  (สงคราม คัพเค้ก) และภาพยนตร์รางวัลออสการ์ Zero Dark Thirty(ยุทธการถล่ม บิน ลาเดน) และแม้แต่ หนังยอดมนุษย์อย่าง Iron Man (มหาประลัย คนเกราะเหล็ก) – หากขั้นตอนการผลิตของมันเกี่ยวข้องกับเครื่องมือสงคราม หรือ การสอดแนมมวลชนของรัฐบาล ให้เรามั่นใจได้เลยว่า คณะบริหารและรัฐบาลของสหรัฐฯย่อมมีอิทธิพลต่อสื่อเหล่านี้ ก่อนมันจะถูกเผยแพร่ออกไปสู่สาธารชนในขั้นตอนสุดท้าย อย่างไม่ต้องสงสัย

อันที่จริง การตรวจพิจารณา หรือ การเซ็นเซอร์ ของรัฐบาลสหรัฐฯ มีอำนาจและอิทธิพลเหนือฮอลลีวู้ดมากกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ – เกือบกว่า 1,800 บทภาพยนตร์ และรายการทีวีได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดย เพนตากอน และ และ CIA

ตามเอกสารที่ได้รับมาจาก Tom Secker และ Matthew Alford สำหรับองค์กรอิสระ Insurge Intelligence (พลังมวลชนเฝ้าระวังการสื่อสารมวลชน) ระบุว่า ในความเป็นจริง กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ, CIA และที่บ่อยกว่า คือ หน่วย NSA ไม่ประนีประนอมให้กับการฉายภาพลักษณ์ที่เป็นลบของพวกเขา ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรถูกวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งครอบคลุมการโจมตีที่เปิดเผยโดยประชาชน ผ่านการแสวงหาความรู้ และการรู้เห็นของสาธารณชนในระยะยาวก็ตาม

ในหลายๆกรณี เป็นการดีกว่าสำหรับเราที่จะรับรู้ว่า เพนตากอนรวมหัวกับฮอลลีวูด  เพื่อสร้างภาพลักษณ์ และภาพพจน์ที่ถูกต้องสำหรับพวกเขา เกี่ยวกับคำสั่งทางการเมือง วัฒนธรรมทางการทหาร การใช้อุปกรณ์ต่างๆที่เหมาะสม และปัจจัยอื่น ๆที่ชัดเจน โดยที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯอาจมีส่วนร่วมมากถึงขั้น มีส่วนในการเขียนบทภาพยนตร์

ภาพยนตร์และซีรีส์ทางโทรทัศน์จะต้องมีการประทับตรายางโดยรัฐบาลเท่านั้น  โดยปราศจากการอนุมัติจากรัฐบาล ผลงานใดๆ ก็จะไม่ได้รับสิทธิ์กำเนิดขึ้นมาให้ประชาชนได้เชยชม หากไม่มีตราประทับ ก็ไม่มีขั้นตอนการผลิตใดๆทั้งสิ้น

บ่อยครั้งที่หัวหน้าผู้ประสานงานฮอลลีวูดประจำกระทรวงกลาโหม นาย Phil Strub จะมอบตราประทับสำหรับการผลิต หรือ บริษัทผู้ผลิตสื่อ ในกรณีที่คำชี้นำของกระทรวงกลาโหมได้รับการตอบสนองจากผู้ร้องขอดังกล่าวอย่างเป็นทางการ โดยอะไรก็ตามที่ไม่มีความเหมาะสมตามทัศนะของกระทรวงกลาโหม ย่อมจะต้องมีการปรับเปลี่ยน เพื่อรองรับผลประโยชน์สูงสุดของทางกองทัพ สำหรับกรณีที่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ นั่นอาจหมายถึงจุดจบของการผลิตสื่อนั้นๆ และมันก็เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว…

Secker และ Alford – ผู้ที่ได้รวมรวบเอกสารมากกว่า 4,000 ฉบับตามคำขอของ Freedom of Information Act (หน่วยงานอิสระ ในภารกิจเพื่อผดุงไว้ซึ่ง เสรีภาพทางการเข้าถึงข้อมูล) แม้ทั้งสองจะยอมรับว่า ไม่ได้รวมเอกสารดังกล่าว กว่า 4000 ฉบับในรายงานฉบับที่เรากำลังอ้างอิงถึง – ได้เขียนว่า:

หากมีตัวละคร, การกระทำ หรือบทสนทนาใดที่ กระทรวงกลาโหมไม่ยอมรับ หรือ เห็นด้วย ในภาพยนตร์หนึ่ง  ผู้กำกับภาพยนตร์จะต้องทำการเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้น เพื่อรองรับความต้องการทางทหาร ถ้าพวกเขาปฏิเสธเงื่อนไขนี้ เพนตากอน ก็จะเก็บของเล่นของตน แล้วกลับบ้าน  (ไม่เล่นด้วย) ดังนั้น เพื่อให้ได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลอย่างเต็มที่ ผู้ผลิตจำเป็นต้องเซ็นสัญญา – เป็นสัญญาการให้ความช่วยเหลือด้านการผลิต ซึ่งจะเป็นการวางขอบเขตให้บรรดาโปรดิวเซอร์และผู้กำกับจำเป็นต้องใช้สคริปต์ หรือ บทภาพยนตร์ จากเวอชั่นที่ได้รับการอนุมัติโดยกองกำลังทหารเท่านั้น

ประเด็นนี้อาจนำไปสู่การโต้เถียง และความขัดแย้งกับกระทรวงกลาโหม ในกรณีที่นักแสดงและผู้กำกับ ทำการแสดงสด หรือพูดนอกบทภาพยนตร์จากที่ได้รับอนุมัติ

ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้มีข้อสงสัยใด ๆ เราสามารถกล่าวได้ว่า ร่องรอยอิทธิพลที่สำคัญของกระทรวงกลาโหมในการสร้างภาพยนตร์ ขยายไปไกล แม้แต่ในรายละเอียดเล็กๆของภาพยนตร์ต่างๆ รายงานจาก Insurge Intelligence ได้อธิบายถึงหลาย ๆ กรณีที่บทพูดหนึ่งบทธรรมดาๆ รวมไปถึงการสนทนาที่ดำเนินไปอย่างฉลาดหลักแหลม ในภาพยนตร์นั้น บางครั้งเกิดขึ้นจากความขมขื่น เบื้องหลังการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างฝ่ายผู้สร้างกับฝ่ายประชาสัมพันธ์จากกองทัพสหรัฐฯ ที่ซึ่งผู้ชมภาพยนตร์โดยเฉลี่ยแทบจะไม่เคยคำนึงถึงจุดนี้เลยด้วยซ้ำ และในความขัดแย้งนั้น แน่นอนเราแทบไม่ต้องเดาว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้พิชิตชัยชนะตลอดกาล

ภาพยนตร์สายลับที่มีชื่อเสียง อย่าง James Bond 007 – Tomorrow Never Dies (พยัคฆ์ร้ายไม่มีวันตาย 007) เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจน ซึ่งพูดถึงความพิถีพิถันของกระทรวงกลาโหม ในขณะทำหน้าที่ “เจ้าแห่งหน้าจอเงิน” แต่ยิ่งไปกว่านั้น คือในความปรารถนาของรัฐ เพื่อมุ่งมั่นรักษาอิทธิพลแอบแฝงที่มีต่อความคิดของสาธารณะชน

ขณะที่สายลับ James Bond กำลังจะกระโดดออกจากเครื่องบินขนส่งทหารด้วยการกระโดดร่มแบบดิ่งพสุธา (HALO jump) พวกเขาตระหนักว่า ตัวละครกำลังจะลงจอดในน่านน้ำเวียดนาม โดยในต้นฉบับของ Bond เพื่อนร่วมงาน CIA ของ Bond จะกล่าวติดตลกว่า คุณรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น? มันจะเป็นสงครามและบางทีเวลานี้เราจะชนะ

ทว่าประโยคนี้ ถูกตัดออกจากบทภาพยนตร์ ตามคำร้องขอโดย กระทรวงกลาโหม!

น่าประหลาดใจ เมื่อ Phil Strub ยืนกรานปฏิเสธว่า ไม่ได้ให้การสนับสนุนใดๆไปยังภาพยนตร์ดังกล่าว ในขณะที่ Lawrence Suid นักวิชาการที่มีชื่อเสียงในด้านนี้ ได้บันทึกความเกี่ยวข้องของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯภายใต้ รายการ ‘Unacknowledged Cooperation’ (‘ความร่วมมือที่ไม่ได้รับการยอมรับ’) ของเขา อย่างไรก็ดีกระทรวงกลาโหมก็ได้รับเกียรติ เป็นชื่อที่ติดโผเครดิตในตอนท้ายของภาพยนตร์ดังกล่าว นอกจากนี้ เรายังได้รับสำเนา สัญญาการผลิตระหว่างผู้ผลิตและกระทรวงกลาโหมจากประเด็นนี้อีกด้วย

แน่นอนว่า ความจู้จี้ของกองกำลังทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ แม้แต่ชื่อปฏิบัติการที่ถูกเขียนขึ้นโดยสมมุติของ ปฏิบัติการเพื่อจับ Hulk ในภาพยนตร์เมื่อปี 2003 ยังต้องถูกปรับเปลี่ยนชื่อเป็น “Angry Man” หมายถึงชายผู้โกรธเกรี้ยว แทนที่ชื่อเดิมคือ “Ranch Hand” เนื่องจากว่า ชื่อดังกล่าวเป็น ชื่อเรียกปฏิบัติการทางทหารที่เกิดขึ้นจริง ครั้งกองทัพอากาศสหรัฐฯ ใช้ฝนเหลืองเป็นสัดส่วนถึงประมาณหลายสิบล้านลิตร  ภายใต้แผนปฏิบัติการ  “Operation Ranch Hand” ทำการโจมตีเขตพื้นที่ชนบทของประเทศเวียดนาม ในสงครามเวียดนาม

โดยจากปริมาณฝนเหลืองดังกล่าวทำให้มีการประมาณการว่า  มีสาร “ไดออกซิน”  ปนอยู่ในสภาพแวดล้อมทางภาคใต้ของเวียดนามระหว่างในช่วงสงครามเป็นจำนวนมาก ขณะที่ผลกระทบในแง่ลบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศ  สภาพแวดล้อมและสุขภาพของคนจากปฏิบัติการดังกล่าว ยังคงปรากฏชัดเจนกระทั่งทุกวันนี้  แม้เหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว 20 ปีเศษ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบที่เกิดกับสุขภาพมนุษย์ยังคงมีให้เห็นในรุ่นลูกรุ่นหลานของชาวเวียดนามที่ได้รับหรือสัมผัสฝนเหลืองในช่วงสงคราม

“พวกเขาได้ถอดบทสนทนาที่อ้างถึง บรรดาเด็กผู้ชาย หนูตะเภาที่เสียชีวิตจากรังสี และสงครามชีวภาพ‘ ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงการทดลองทางทหารอย่างลับๆ กับมนุษย์”

การล่วงละเมิดในอดีต ยังคงเป็นสิ่งที่เพนตากอนยอมรับไม่ได้ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ถูกเปิดโปงสู่สาธารณะแล้วก็ตาม การอ้างอิงถึงกรณีอื้อฉาวอิหร่าน-คอนทรา: Iran-Contra scandal – ในท้ายที่สุดได้ส่งเสียงมรณะ และเป็นจุดจบของภาพยนตร์ที่ชื่อ Countermeasures ตามที่ Strub ระบุในเอกสาร พวกเขาอ้างว่า กรณีนี้เป็นไปเพราะ…

มันไม่มีความจำเป็นใดๆสำหรับเรา เพื่อเตือนใจสาธารณชนเกี่ยวกับ กรณีอื้อฉาวอิหร่าน-คอนทรา: Iran-Contra scandal

ในการนี้ แทนที่จะเสี่ยงเรียกร้องความเห็นใจ ผ่านวิธีการที่มิชอบกับรัฐบาลที่ไม่ใยดี กลุ่มผู้ผลิตภาพยนตร์ Countermeasures  เลือกจะถอยทัพและยุติการผลิตภาพยนตร์ดังกล่าว

Secker และ Alford เขียนว่า เอกสารส่วนใหญ่ที่เราได้รับ คือรายงานในลักษณะของบันทึกประจำวัน จากสำนักงานประสานงานด้านกิจการความบันเทิง ซึ่งไม่ค่อยมีการอ้างถึงการเปลี่ยนแปลงของบทสคริป และไม่ได้ให้ความชัดเจนในรายละเอียด”  พลางเสริมว่า ยังมีเอกสารอีกเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ถูกเปิดโปง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะประเมินขอบเขตของการเซ็นเซอร์โดยกองทัพสหรัฐฯในฮอลลีวู้ด “อย่างไรก็ตาม เอกสารที่เรามี ก็แสดงให้เห็นว่า กระทรวงกลาโหม ได้มีการร้องขอตัวอย่างการเผยแพร่โปรเจกต์ภาพยนตร์ใดๆก็ตามที่พวกเขาให้การสนับสนุนก่อนการเผยแพร่จริง และบางครั้งก็มีคำสั่งให้เปลี่ยนแปลงเนื้อหามัน แม้ภายหลังจากขั้นตอนการผลิตได้เสร็จสิ้นลงเรียบร้อยแล้ว”

ในกรณีที่กระทรวงกลาโหม ได้ออกข้อตกลงอย่างเป็นทางการกับทีมงานผู้ผลิตภาพยนตร์แล้ว –  CIA ก็จะสำแดงอิทธิพลในรูปแบบที่คาดไม่ถึงอย่างเป็นทางการ ผ่านทางเจ้าหน้าที่ประสานงานด้านกิจการความบันเทิง Chase Brandon ผู้ซึ่งบางครั้ง มีส่วนร่วมมากกว่า การให้คำปรึกษา เพราะเขาทำ แม้แต่การลงแรงตัวเองในขั้นตอนการเขียนบทขั้นพื้นฐานของ กระบวนการสร้างสรรค์สื่อภาพยนตร์ – Insurge Intelligence รายงานต่อจากประเด็นดังกล่าว

Brandon  ทำสิ่งนี้อย่างเด่นชัดที่สุดในภาพยนตร์สยองขวัญ The Recruit ที่ซึ่ง สายลับคนใหม่ ถูกมอบหมายให้ได้รับการฝึกอบรมจาก CIA ที่ The Farm – ภาพยนตร์นี่เป็นดั่งพาหนะ ซึ่งใช้สำหรับการขับเคลื่อน และจูงใจผู้ชมเข้าไปยังโลกของสายลับ CIA และให้พวกเขาสามารถมองเห็นกิจการภายหลังม่านได้บ้าง การรักษาเรื่องราวต้นฉบับ และบทคัดย่อในขั้นต้นของสคริปต์จากภาพยนตร์ดังกล่าว ถูกเขียนขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ Brandon เอง แม้ว่าเขาจะได้รับเครดิตในภาพยนตร์เรื่องนี้ในฐานะ ผู้ให้คำปรึกษาด้านเทคนิคเพียงเท่านั้น ทั้งนี้เป็นไปเพื่อปิดบังอิทธิพลและบทบาทที่แท้จริงของเขาในเนื้อหาของภาพยนตร์ดังกล่าว

The Recruit  ได้รวมบทพูดต่างๆที่เกี่ยวกับภัยคุกคามใหม่ของโลกหลังการล่มสลายของโซเวียต (รวมถึงเหตุผลที่ชั่วร้ายอย่างยิ่ง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่การผลาญงบประมาณป้องกันจำนวนกว่า600,000 ล้านเหรียญในเปรู) พร้อมกับการปฏิเสธแนวความคิดที่ว่า CIA ล้มเหลวในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ 11 กันยา และกล่าวซ้ำถึงคติพจน์ที่ว่า “ความล้มเหลวของ CIA เป็นที่รู้จักกันดี แต่ความสำเร็จกลับไม่เป็นที่รับรู้” ทั้งหมดนี้ช่วยในการเผยแพร่ความคิดที่ว่าหน่วยงานดังกล่าวเป็นนักแสดงที่มีน้ำใจ และมีเหตุมีผล ในโลกที่วุ่นวายและอันตราย

ทำไมเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ถึงมีความสำคัญกับการเซนเซอร์และการโฆษณาชวนเชื่อ – ผู้ที่เกี่ยวข้องล้วนเป็นหน่วยงานรัฐบาลชั้นนำที่มีสิทธิเข้าถึงฮอลลีวูด – ทั้งนี้ เป็นเพราะผลของมันคือ การเพิ่มแรงสนับสนุนของประชาชนไปยังการก่อสงคราม และเพิ่มจำนวนความเชื่อมั่นที่ประชาชนจะมีต่อวีรบุรุษสงคราม ทำให้การกระทำผิดทางอาญา การละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือ ข้อกฎหมายระหว่างประเทศใดๆก็ตามที่สหรัฐฯเคยก่อขึ้นกับชาติอื่นๆ และกำลังดำเนินอยู่ไม่ถูกต่อต้าน วาระของมัน คือ การทำให้ผู้คนมองเห็นว่า สหรัฐฯคือผู้กอบกู้โลกที่ไม่มีวันทำความผิด

ฮอลลีวู้ดมอมเมา ผู้ที่เบื่อหน่ายชีวิตธรรมดา ด้วยภาพยนตร์เหล่านี้  และทำให้พวกเขาลืมปัญหาต่างๆ เช่น การตกเป็นทาสเงินเดือน ภาวะหนี้สิน, ปัญหาจากกประเด็นเสรีภาพในการลอบสังหาร – ความทุกข์ทั้งหลายมลายหายไปด้วยตั๋วหนังราคาแพง ท้ายที่สุดแล้วบรรดาผู้ชมภาพยนตร์ดั่งทาสที่ถูกต้องขังก็จะไม่ตระหนัก หรือ น้อยนักที่จะสนใจถึงกรณีการมีส่วนร่วมของเพนทากอน หรือ CIA ในกิจการด้านความบันเทิง และหากมันจะทำให้เกิดความสมจริงมากขึ้นในภาพยนตร์ พวกเขาก็ยอมถูกมอมเมาโดยดุษฎี

ภาพการแสดงความขัดแย้ง สงครามและการลักลอบแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบอย่างลับๆ ในลักษณะของการแสดงออกว่า กล้าหาญ ไม่เพียง แต่เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงที่ยุ่งเหยิงเท่านั้น แต่ยังได้ลบเลือน เส้นขั้น ที่กองทัพสหรัฐฯมักล่วงเกินประเทศชาติอื่นๆ การบิดเบือนข้อเท็จจริงกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน อาชญากรรมสงคราม การทุจริต การเยาะเย้ยและความประมาทอื่น ๆ โดยกองทัพสหรัฐฯ ล้วนถูกสร้างสรรค์ผ่านความมหัศจรรย์ของหน้าจอเงิน

คณะที่ปรึกษาเพนตากอน และ CIA เลือกที่จะตบตาผู้คนเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ประเสิรฐให้แก่องค์กร ผ่านการโยนความผิดไปที่ เจ้าพนักงานที่ทำการฉ้อฉลสักคนหนึ่งในบทภาพยนตร์ พวกเขาเลือกทิ้งแอปเปิ้ลเน่าสักผลสองผล แทนที่การกล่าวประณามไปยังองค์กรทั้งหมด โดยไม่เสี่ยงเอาความอยู่รอดของพวกเขามาวางไว้กับวิธีการแก้วิกฤตด้าน PR ในเชิงการเมืองให้เหม็นเน่าไปทั้งเข่ง แม้ประเด็นเหล่านั้นจะฉาวโฉ่มากเพียงใดก็ตาม

“แนวความคิดนี้ ในการใช้ภาพยนตร์ เพื่อปักมุดข้อกล่าวหาไปยังปัจเจกจากสายลับที่ฉ้อฉล หรือ พวกแอปเปิ้ลเน่า  เพื่อหลีกเลี่ยงแนวความคิดที่จะบีบให้องค์กรต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างเป็นระบบ ในเชิงสถาบัน และในแง่ของความผิดทางอาญา – เป็นแนวความคิดที่ผุดออกมาจากแผนการเล่นเกมการเมืองของ CIA และกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ โดยตรง” Secker และAlford ระบุ

ถึงแม้กองทัพสหรัฐฯ และ CIA ภายใต้ศักยภาพอย่างเป็นทางการในฐานะ “ผู้ตรวจพิจารณาสื่อ” จะไม่เข้มงวด ก็ไม่ได้หมายความว่า เหล่าบรรดาผู้ผลิตภาพยนตร์และสื่อโทรทัศน์จะเป็นอิสระจากการมีส่วนร่วมของคณะผู้บริหารประเทศนี้ เพราะการที่ผู้คนจำนวนมากกระตือรือร้นที่จะยอมรับการดัดแปลงและการบิดเบือนข้อเท็จจริงของรัฐบาล ในการรับชมผลผลิตที่เสร็จสมบูรณ์ ย่อมบ่งชี้ถึงอำนาจที่ไม่ติดขัดของรัฐบาล ซึ่งส่งผลเป็นอย่างมากต่อวงการฮอลลีวู้ด

การสรรเสริญสงครามจำต้องประสบความสำเร็จ ผ่านการแสดงภาพการทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่อง ในสื่อต่างๆ รวมถึงสื่อโฆษณาและข่าว เพื่อให้การสรรหาบุคลากรหน้าใหม่เข้าร่วมกองทัพเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล และให้ปฏิบัติการทางทหารเป็นไปได้และเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับประชาชน มิฉะนั้น เพนตากอนก็จำต้องยอมพ่ายแพ้ให้กับบรรดานักคิดอิสระ ซึ่งรู้เท่าทันเกมการเมือง และความกระหายสงครามของรัฐบาล อย่างเช่นพวกเรา

เพราะในความเป็นจริง สงครามมิใช่ความรุ่งโรจน์ มันไม่ได้มีเสน่ห์ สงครามไม่ใช่ซีรีย์ของการต่อสู้ เป็นมหากาพย์ระหว่างทหารที่มีเกียรติ ผู้ทำเพื่อประโยชน์สุขของผู้คน กับคนร้ายใจโฉด ผู้เป็นเบี้ยล่างของอำนาจเผด็จการ

สงครามเป็นสิ่งอัปยศ – มันซุกซ่อนด้วยเล่ห์เหลี่ยม สยดสยอง ซ้ำซาก ป่าเถื่อน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ศตวรรษ ไม่ว่าจากมุมใดของมัน แม้แต่ในบรรยากาศปลอดโปร่งของห้องควบคุมการยิงระเบิด ไปจนถึงสนามแห่งความตายของผู้บริสุทธิ์ ซึ่งถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่ทหารจากทุกฝ่าย ล้วนกำลังต่อสู้กันอยู่ในบริบทของสงครามระหว่างนักการเมืองและชนชั้นผู้ปกครองทั้งสิ้น..สงครามคือสิ่งน่ารังเกียจ..

เกมสงครามและเกมสอดแนม อาจดูมีชีวิตชีวาบนหน้าจอขนาดใหญ่และเล็ก มันอาจแสดงให้เห็นถึงการผจญภัย การวางแผน และความลุ้นระทึกที่น่าติดตาม -ไม่ว่าเพนตากอนจะยืนกรานเพื่อบิดเบือนรายละเอียดต่างๆของสงครามอย่างไร ทว่าภาพของสงครามทั้งหมดที่คุณรับชม มันไม่ใช่ชีวิตจริง ที่มีคนตายจริงๆ

______

แปลและเรียบเรียงจาก บทความโดย

Caire Bernish   เริ่มงานเขียน จากการเป็นนักข่าวอิสระ และเป็นนักข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน ในปี 2015 โดยมีผลงานตีพิมพ์และตีพิมพ์ซ้ำทั่วโลก

Source: activistpost

This article first appeared at The Free Thought Project