ฝ่ายวิจัยของ Eurasia Group ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ได้ทำการพิจารณาวิจัยประเด็นภัยคุกคามทางการเมืองระดับโลก โดยได้เปิดเผยรายงานฉบับใหม่ล่าสุด เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งได้คาดการณ์ว่ามีภัยคุกคามทางการเมืองหลัก ๆ 10 ข้อที่จะคุกคามโลกในปี 2018
ตามรายงานระบุ แม้ว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกคาดว่าจะขยายตัวและฟื้นตัวในปี 2018 นี้ ทว่าแนวโน้มดังกล่าวก็ไม่สามารถคาดการณ์สถานการณ์ทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นได้
รายงานชี้ว่า ตามที่ได้ปรากฏเห็นเมื่อปีที่แล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา โลกดูเหมือนจะใกล้ชิดกับภาวะซึมเศร้าทางการเมือง (geopolitical depression) มากกว่าที่เห็นอยู่ในอดีต
ความท้าทายที่เกิดจากน้ำมือของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในระดับนานาชาติ ทำให้ประเทศพันธมิตรและคู่แข่งของอเมริกาต้องเผชิญกับความสับสนมากยิ่งขึ้น
อิทธิพลและความน่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริกาในโลกกำลังลดลง ที่ซึ่งอำนาจทางเศรษฐกิจและเสรีนิยมทางการเมืองของประเทศนี้ กำลังเผชิญกับวิกฤตความไม่แน่นอน ขณะที่ตอนนี้ โลกรู้สึกและสัมผัสว่า กำลังขาด ‘ผู้นำ’มากขึ้นกว่าเดิม
ทั้งนี้ ประการต่อไปคือ การคาดคะเนและวิเคราะห์ถึง 10 อันตราย “ทางการเมือง” ที่จะคุกคามโลกในปี 2018 ตามที่กล่าวในตอนเริ่มต้น:
1. จีนฉวยโอกาสในภาวะสุญญากาศของมหาอำนาจโลก
จีนไม่เคยพูดถึงความเป็นผู้นำระดับโลก จนกระทั่งในปีที่ผ่านมา ณ ตอนนี้ จีนกลับมีท่าทีที่แตกต่าง ปักกิ่งกำลังสร้างมาตรฐานสากลเพื่อเติมช่องว่างของอเมริกา และเมื่อใดก็ตามที่ชี้ไปยังประเทศอื่น ๆ ก็จะมีความต้านทานจากประเทศนั้นๆน้อยลง
ในสถานการณ์ ที่ซึ่งความไร้เหตุผล และไม่มีประสิทธิภาพของกรุงวอชิงตันได้กลายเป็นที่ชัดเจนสำหรับทุกคน รัฐบาลจีนกำลังดำเนินการและพัฒนากลยุทธ์การค้าและการลงทุนทั่วโลกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ดังนี้สภาพแวดล้อมทางธุรกิจระหว่างประเทศ จึงค่อยๆเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการรองรับกฎหมายมาตรฐานและแนวทางปฏิบัติของกรุงปักกิ่ง ด้วยวิธีนี้ดูเหมือนว่าการถกเถียงกันระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกของการค้าในปี 2018 จะมากขึ้นกว่าเดิม
2. เหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดการณ์ได้เพิ่มขึ้น
เป็นไปไม่ได้ที่จะละเลยอันตรายจากวิกฤติการณ์อันยิ่งใหญ่ที่โลกกำลังเผชิญในวันนี้ ขณะนี้มีความเคลื่อนไหวที่มีข้อผิดพลาด หรือการตัดสินผิดพลาดมากมาย ที่สามารถสร้างความขัดแย้งระหว่างประเทศได้อย่างจริงจัง
หากเหลียวมองภาพรวมการพัฒนาระหว่างประเทศในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่การโจมตีในวันที่ 11 กันยายนในสหรัฐอเมริกา ไม่มีวิกฤตทางภูมิศาสตร์การเมืองใหญ่ในโลกเกิดขึ้นเลย และตั้งแต่วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาก็ไม่มีการสร้างวิกฤตการณ์ที่สำคัญขึ้นโดยรัฐบาลแต่อย่างใด แต่ตอนนี้มีวิกฤตมากมายในโลกที่แม้แต่การดำเนินการที่ไม่ถูกต้องต่อประเด็นของพวกเขาก็สามารถก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศได้ การปะทะกันในไซเบอร์สเปซ วิกฤติเกาหลี ความขัดแย้งภายในประเทศซีเรียความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับรัสเซีย และการสลายตัวของนักรบ ISIL ในซีเรียและอิรักและประเทศอื่น ๆ ทั้งหมดล้วนเป็นชนวน ที่อาจนำไปสู่สงครามระหว่างประเทศได้
3. สงครามเย็น – เทคโนโลยีในโลก
วันนี้ทำให้เราประจักษ์กับคลื่นลูกใหม่ล่าสุดของนวัตกรรมที่มีความก้าวหน้ามากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ความตึงเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและอวกาศก็ทวีความรุนแรงขึ้นเช่นกัน ซึ่งความตึงเครียดเหล่านี้ แน่นอนมีบทบาทสำคัญ สำหรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆในปี 2018
สหรัฐอเมริกาและจีนมีการแข่งขันในด้านปัญญาประดิษฐ์และซูเปอร์คอมพิวเตอร์เช่นเดียวกับการครอบงำตลาดทั่วโลก ในสถานการณ์เช่นนี้สามารถเห็นถึงความไม่ลงรอยกันในความร่วมมือด้านเทคโนโลยี ซึ่งมันจะสร้างความเสี่ยงต่อตลาดและความมั่นคงโลกมากขึ้นกว่าเดิม
4. เม็กซิโก
ปีนี้จะเป็นปีแห่งการตัดสินใจครั้งสำคัญของเม็กซิโก ผลของการเจรจา NAFTA รวมทั้งผลของการเลือกตั้งประธานาธิบดีของประเทศนี้ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 1 กรกฎาคมจะส่งผลต่อแนวโน้มในระยะยาวของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเศรษฐกิจ
5. ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่าน – สหรัฐฯ
หากข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างประเทศอิหร่านและชาติมหาอำนาจหกประเทศของโลกล้มเหลว โลกจะเผชิญกับอันตรายครั้งใหม่ โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงปกป้องนโยบายของซาอุดีอาระเบีย และพยายามที่จะกีดกันอิหร่านไม่ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในซีเรีย อิรัก เลบานอนและเยเมน ดังนั้นวอชิงตันอาจคว่ำบาตรอิหร่านมากขึ้นในปีนี้ ในข้อหาการทดสอบขีปนาวุธ การสนับสนุนการก่อการร้ายและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
6. การล่มสลายของสถาบันต่างๆ
ทั่วโลก ในประเทศที่มีการพัฒนาแล้ว ความไว้วางใจของประชาชนต่อสถาบันรัฐ/ข้าราชการและสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญต่างๆ ได้ลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งในบางกรณีเป็นผลมาจากการแทรกแซงทางการเมืองโดยตรงในการทำงานของสถาบันเหล่านี้
ความยุติธรรมของสถาบันเหล่านี้ เช่น กลุ่มพรรคการเมือง ศาล สื่อ และสถาบันการเงินที่สนับสนุนสังคม ลดลงอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากความวุ่นวายทางการเมืองและความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นและไม่สามารถคาดเดาได้
7. มาตรการอนุรักษ์นิยมที่เพิ่มมากขึ้น-
กลุ่มเคลื่อนไหว (Antiestablishment movements) ได้ผลักดันให้นักการเมืองเปลี่ยนไปใช้แนวทางการค้าขายที่แข็งกร้าวมากขึ้นในการแข่งขันทั่วโลก และเปลี่ยนทิศทางไปสู่ mercantilist approach ซึ่งวิธีการนี้จะสร้างกำแพงขึ้นอีกครั้ง และสร้างอุปสรรคมากขึ้น นอกเหนือไปจากภาคเกษตรกรรมและโรงงานแล้วอุปสรรคเหล่านี้ยังเห็นได้ชัดเจนในอุตสาหกรรมด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ควรสังเกตว่าอุปสรรคใหม่ ๆสามารถมองไม่เห็นได้ง่าย และแทนที่จะใช้มาตรการภาษีศุลกากรและการนำเข้ามากขึ้น พวกเขากลับแสดงตัวเองในรูปแบบอื่น ๆ เช่นแผนการช่วยชีวิตและเงินอุดหนุน
8. วิกฤติอังกฤษ-
ปัญหาของอังกฤษซึ่งเกิดจากความวุ่นวายเนื่องจากการเจรจาเรื่องระบบราชการและปัญหาการเมืองภายใน ทำให้เกิดอันตรายใหม่ๆอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
ในเรื่องของ เบร็กซิท หลักการคือ “ตราบใดที่ทั้งหมดไม่เห็นด้วย ก็จะไม่มีการตกลงใดๆเกิดขึ้น” หลักการนี้จะนำไปสู่การทะเลาะวิวาทไม่มีที่สิ้นสุดระหว่างทั้งสองฝ่าย
ในเรื่องของนโยบายภายในประเทศ การบริหารจัดการแบบเบร็กซิท อาจทำให้การเป็นนายกรัฐมนตรีของ เทเรซา เมย์ ต้อง สิ้นสุดลง
9. ลักษณะของนโยบายในเอเชียใต้-
ลักษณะของนโยบายในเอเชียใต้ ยังคงเป็นภัยคุกคามในอนาคตของพื้นที่เหล่านี้ และสร้างความท้าทายที่ไม่คาดคิดได้สำหรับนักวางแผนด้านเศรษฐกิจและนักลงทุนต่างชาติ
ชาติพันธุ์นิยมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมาเลเซียและอินโดนีเซีย ถือเป็นรูปแบบท้องถิ่นที่สนับสนุนหลักการประชานิยมและความรุนแรงในกลุ่มชาติพันธุ์ ในประเทศจีนก็จะมีผลกระทบอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในอินเดียกรณีที่นายกรัฐมนตรี Narendra Moody จะให้การสนับสนุนต่อชาวฮินดูนิยมความคลั่งไคล้มากขึ้น เพื่อให้ตนสามารถชนะในการเลือกตั้งในปี 2019
10. ความมั่นคงของแอฟริกา
ความไม่แน่นอนในประเทศแอฟริกา จะทำให้ความพยายามทุกวิถีทางในทวีปนี้ไม่ประสบกับความสำเร็จ อันตรายของกลุ่มต่างๆเช่น al-Shabaab และ al-Qaeda ที่อยู่ในทวีปนี้ไม่ใช่เป็นประเด็นใหม่ แต่พันธมิตรต่างประเทศที่ช่วยรักษาเสถียรภาพรัฐยากจนในทวีปนี้ต้องพบกับความผิดหวังในเวลานี้