ในเดือนมีนาคม เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่า อดีตเอกอัครราชทูตสหประชาชาติจอห์น โบลตัน (John Bolton) หรือ ผู้ที่เคยถูกเรียกโดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯว่า “บุคคลที่อันตรายที่สุด” ในคณะบริหารรัฐบาลจอร์จ ดับเบิลยู บุช จะเข้ามาทำหน้าที่แทน เอช. อาร์. แมคมาสเตอร์ (H. R. McMaster) ในฐานะที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ ส่งผลทำให้เขาเป็นผู้ดำเนินการรับผิดชอบหลักในการแนะนำวิธีจัดการปัญหาความมั่นคงของชาติแก่ประธานาธิบดี
การแต่งตั้งดังกล่าว มิใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด เมื่อข่าวหลายสำนักได้มีการรายงานเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวมาแล้วก่อนหน้านั้น โดยมีการรายงานว่า ตำแหน่งของ แมคมาสเตอร์ จะถูกแทนที่ ตามคำสั่งของมหาเศรษฐี ผู้บริจาคพรรครีพับลิกันและนายทุนไซออนิสต์ (อิสราเอล) รายใหญ่ “เชลดอน เอดินสัน” (Sheldon Adelson) เจ้าของคาสิโนที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยที่ โบลตัน เป็นคู่แข่งอันดับหนึ่งสำหรับตำแหน่งดังกล่าว อันเนื่องมาจากชื่อเสียงของโบลตันในฐานะ “มิตรแท้ผู้ซื่อสัตย์ของอิสราเอล” และบทบาทของเขาในการเรียกร้องให้มีการปฏิบัติการทางทหารต่ออิหร่านเป็นประจำ
การแต่งตั้งโบลตัน ยังมีบทบาทสำคัญในบริบทว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงล่าสุดของคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดีทรัมป์- เราได้กลิ่นอาย สงครามและการนองเลือด จากการเปลี่ยนแปลงนี้ เมื่อไมค์ ปอมเปย์ ผู้กระหายจะทำสงครามกับอิหร่าน เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้รับเลือกให้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ขณะที่ จีน่า ฮาสเปล (Gina Haspel) ซึ่งฉายานามของเธอ คือ “จีน่า ผู้กระหายเลือด” ได้บ่งชี้ถึงประวัติอันโชกโชนว่าด้วยการทรมานชีวิตผู้ต้องหา เช่นเดียวกัน มีกำหนดจะเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง CIA แทนปอมเปย์ กล่าวได้ว่า โบลตันจะเติมเต็มและนำความสำเร็จมาให้กองกำลังสามทหารเสือนี้เป็นอย่างมาก
ด้วยชื่อเสียงที่ฉาวโฉ่ โบลตันพร้อมที่จะทำสงคราม ไม่ใช่เพียงแค่กับหนึ่ง หรือ สองประเทศ แต่อีกมากมายหลายประเทศ โดยมีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่า โบลตัน คือ ทายาททางอุดมการณ์ของซบิกนิว บรรเซซินสกี, จอร์จ โซรอส, จอห์น แมคเคน และเฮนรี คิสซิงเจอร์ บรรดากุนซือชั้นแนวหน้าผู้กระหายสงครามของสหรัฐฯ
เรียกร้องสงครามกับอิหร่าน
การเลือก จอห์น โบลตัน เป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติครั้งนี้ ได้สร้างโอกาสในการทำสงครามกับอิหร่านที่เป็นจริงมากขึ้นสำหรับสหรัฐฯ โบลตันไม่ใช่สายเหยี่ยวผู้แข็งกราวที่ธรรมดา เขามีแนวคิดผลักดันสงครามกับสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านมาหลายปีแล้ว เขาเรียกร้องการโจมตีอิหร่าน ในการปรากฎตัวเป็นประจำของเขาในสำนักข่าว Fox News แม้การเรียกร้องของเขาจะปราศจากข้อบ่งชี้ใดๆที่สื่อว่า เขาเข้าใจถึงผลกระทบของนโยบายดังกล่าว
ไม่เพียงแต่ในทางวาทะกรรมเท่านั้น โบลตันยังมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในประเด็นนี้ ระหว่างที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้กำหนดนโยบายสหรัฐฯต่ออิหร่าน ในสมัยรัฐบาลบุช ตั้งแต่ปี 2002 จนถึงปี 2004 ในการกำหนดเงื่อนไขทางการเมืองที่จำเป็นสำหรับการบริหารการดำเนินการทางทหารกับอิหร่าน
โบลตันมีอิทธิพลต่อการฉีกข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านมากกว่าทุกคนที่อยู่ภายในหรือภายนอกรัฐบาลทรัมป์ เขามีเครือข่ายเชื่อมโยงกับนักการเงินหลัก ทั้งที่อยู่เบื้องหลัง เบนจามิน เนทันยาฮู และโดนัลด์ทรัมป์เอง – เช่น นายทุนไซออนิสต์ ที่แข็งกร้าว อย่าง เชลดอน เอดินสัน (Sheldon Adelson)
โบลตันเป็นคนที่ยั่วยุทรัมป์ให้น้อมตามภาษาที่เฉพาะเจาะจง ในคำมั่นจะถอนตัวออกจาก แผนปฏิบัติการเบ็ดเสร็จร่วม (JCPOA) หากว่าสภาคองเกรสและประเทศในทวีปยุโรปของไม่แสดงความเห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญซึ่งถูกคำนวณอย่างชัดเจนนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าข้อตกลงอิหร่านจะต้องล่มสลายลง
“ข้อตกลงทั้งหมดไม่เพียงแต่สะท้อนให้เห็นถึงการปลอบประโลม แต่การทูตของประธานาธิบดีโอบามายังทำให้เกิดภาษาที่อ่อนแอไม่ชัดเจน และสับสนในบทบัญญัติเฉพาะบางประการ” โบลตันเขียนไว้ใน The Wall Street Journal ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ปี 2017 “ความล้มเหลวในการจัดทำร่างเหล่านี้ได้สร้างช่องโหว่ขนาดใหญ่ และอิหร่านกำลังขับเคลื่อนขีปนาวุธและโครงการนิวเคลียร์โดยตรงผ่านสิ่งนี้”
สังเกตได้ว่า โบลตันเป็นตัวการหลักที่ชี้แนะให้ทรัมป์มีความพร้อมในการถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียอิหร่านภายในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ผู้พิทักษ์ลัทธิไซออนิสม์
โบลตันไม่เชื่อว่า “ทางแก้สองรัฐ (two-state solution)” คือตัวเลือกสำหรับการยุติความขัดแย้งปาเลสไตน์ – อิสราเอล
สหรัฐฯควร “สนับสนุนแนวทางแก้ปัญหาสามรัฐ ซึ่งจะรวมกาซ่ากับอียิปต์ และบางส่วนของเวสต์แบงก์กับจอร์แดน” โบลตันกล่าวเมื่อปีที่แล้ว ขณะเข้ารับรางวัล ผู้พิทักษ์ลัทธิไซออนิสม์ (Guardian of Zion Award)ประจำปี 2017 จากศูนย์เยรูซาเล็มศึกษา Ingeborg Rennert มหาวิทยาลัย Bar-Ilan มอบโดยนางอินเจอบ็อร์ก เรนเนิร์ต ภรรยาของอิรา เรนเนิร์ต (Ira Rennert) มหาเศรษฐีชาวยิวในสหรัฐอเมริกา
โบลตันสนับสนุน ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ในการผลักดันกรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล และมองว่า ชาวปาเลสไตน์ผู้ลุกขึ้นต่อต้านระบอบอิสราเอล คือผู้ก่อการร้าย
“ผมไม่คิดว่าจะมีรัฐปาเลสไตน์ที่ก้าวหน้า ผมไม่คิดว่าจะมีสถาบันใด จากฝั่งของปาเลสไตน์ ที่สามารถปฏิบัติตามพันธกรณีตามสนธิสัญญากับอิสราเอลได้ ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้แก่อิสราเอลหรือสหรัฐฯหรือคนอื่นได้ว่า รัฐดังกล่าวสามารถให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของชาวปาเลสไตน์ หรือ สามารถต้านทานการครอบครองโดยองค์ประกอบจากผู้ก่อการร้าย”
กองเชียร์สงครามอิรัก
นอกจากนี้ โบลตัน ยังเคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ฝ่ายควบคุมอาวุธและกิจการความมั่นคงระหว่างประเทศในรัฐบาลบุช เขาเคยออกโรงสนับสนุนวอชิงตันอย่างเต็มที่ ในการส่งทหารบุกอิรักเมื่อปี 2003 เพื่อโค่นประธานาธิบดี ซัดดัม ฮุสเซน ซึ่งถูกกล่าวหาว่าซุกซ่อนอาวุธทำลายล้างสูงและพัวพันกลุ่มก่อการร้าย ก่อนที่ความจริงจะปรากฏในภายหลังว่า ข้อกล่าวหาที่สหรัฐฯ ใช้อ้างความชอบธรรมในการรุกรานแบกแดดนั้นเป็นแค่ข่าวกรองที่ถูกกุขึ้น
บทความใน The Atlantic อธิบายว่า โบลตันคือ “สายเหยี่ยว” ผู้นิยมแนวทางแข็งกร้าวทางทหารมากกว่าการเจรจาทางการทูต และระบุว่า เขาเป็นผู้สนับสนุนสงครามอิรัก ในปี 2003 แม้ในปัจจุบันจะมีเจ้าหน้าที่หลายราย ที่เคยให้การสนับสนุนสงครามอิรัก เชื่อว่ามันคือ หายนะ ทว่าโบลตันยังคงยืนกรานในความคิดนี้ และกล่าวว่า มันคือสิ่งที่ “ถูกต้อง”
“ผมยังคิดว่าการตัดสินใจที่จะโค่นล้มซัดดัมเป็นสิ่งถูกต้อง” เขากล่าวกับ Washington Examiner ในปี 2015 “คนที่พูดว่า โอ้สิ่งต่างๆน่าจะดีกว่านี้ ถ้าเราไม่ล้มล้างซัดดัม พวกเขาไม่เข้าใจประเด็นที่ว่า สถานการณ์ตะวันออกกลางในปัจจุบัน ไม่ได้ไหลไปในทิศทางที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ จากการตัดสินใจโค่นล้มซัดดัมเพียงผู้เดียว”
“ผมคิดว่าการตัดสินใจที่เกิดขึ้นหลังจากการตัดสินใจครั้งนั้นต่างหากที่ผิดพลาด แม้ว่าผมจะคิดเห็นว่า การตัดสินใจที่เลวร้ายที่สุดหลังจากนั้น คือ การตัดสินใจที่จะเพิกถอนกองกำลังสหรัฐฯและพรรคร่วมรัฐบาล” – โบลตันกล่าวในปี 2005
อาจารย์ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ ประจำมหาวิทยาลัยมหิดล เขียนระบุในเพจเฟสบุ๊ก ระบุถึงกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอาวุธเคมีประจำสหประชาชาติ (Organisation for the Prohibition of Chemical Weapons=OPCW) เป็นชาวบราซิล ชื่อว่า โจเซ่ บุสตานี (José Bustani) กำลังดำเนินการตรวจสอบอาวุธเคมีในอิรัค และพบว่า “ไม่มีอาวุธเคมี ดังที่กลุ่มทุนยิว หรือรัฐบาลเงา (Deep State) อ้าง กลุ่มทุนยิวหรือรัฐบาลเงาวางแผนถล่มตึกเวิร์ลเทรดเสร็จแล้วก็หาเรื่องบุกอิรัคต่อ โดยชี้นำว่าอิรัคมีอาวุธเคมี (Weaons of Mass Destruction=WMD) ในครอบครอง แต่นายโจโซ่บอกว่าอิรัคไม่มี ในการนี้ เป็นเหตุทำให้ “นายโบลตันโทรศัพท์ไปขู่นายโจโซ่โดยบอกว่า We know where your kids live. You have two sons in New York (พวกเรารู้ว่าลูกๆ ของคุณอยู่ที่ไหน? คุณมีลูกสองคนอาศัยอยู่ในนิวยอร์ค) เพื่อข่มขู่มิให้นายโจเซ่เปิดเผยว่าอิรัคไม่มีอาวุธเคมี เพราะขณะนั้น รัฐบาลเงากำลังออกข่าวว่าอิรัคมีอาวุธเคมี เพื่อจะส่งทหารไปโค่นซัดดัม ฮุสเซนแล้วปล้นทองคำ”
สายเหยี่ยวล่มแผนประชุมสุดยอดสหรัฐ-เกาหลีเหนือ
จอห์น โบลตัน มีแนวคิดดำเนินนโยบายไม่เป็นมิตรกับรัสเซีย เกาหลีเหนือและจีน มีการวิเคราะห์ว่า สาเหตุที่แผนสันติภาพที่คาบสมุทรเกาหลีระหว่างอเมริกากับเกาหลีเหนือเมื่อเดือนมิถุนายน เป็นอันต้องล้มเหลว ก็เนื่องมาจากความแข็งกร้าวของจอห์น โบลตัน ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีของเกาหลีเหนือออกแถลงการณ์ในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์และจอห์น โบลตัน โดยกล่าวหาว่า บุคคลเหล่านี้พยายามจะบีบให้เกาหลีเหนือขจัดโครงการนิวเคลียร์โดยสิ้นเชิงแต่ฝ่ายเดียว
เขายังเคยยุให้อเมริการีบเปิดฉากโจมตีเกาหลีเหนือโดยด่วน (preemptive strike) โดยระบุว่า อเมริกาไม่ควรรอจนถึงนาทีสุดท้ายในการโจมตีเปียงยาง เพราะหากเกาหลีเหนือสามารถพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้ก่อน จะทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้น นอกจากนี้ เขายังสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบผู้นำของเกาหลีเหนือและอิหร่าน เพื่อกำจัดภัยคุกคามด้านนิวเคลียร์จากทั้งสองประเทศนั้นด้วย
รุกรานละตินอเมริกา
โบลตันยังมีท่าทีนำอเมริกาประกาศศึกในภูมิภาคต่างๆ เพื่อแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ อาทิ ความพยายามโค่นรัฐบาลคิวบา เวเนซุเอล่า และนิคารากัว เพื่อจะเข้าไปกอบโกยพลังงาน
แม้ว่าเขาจะเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในการส่งเสริมการรุกรานอิรัก ในการกล่าวอ้างเท็จว่าอิรักครอบครอง “อาวุธที่มีการทำลายล้างสูง” โบลตันยังได้กล่าวอ้างเท็จต่อคิวบาด้วยเช่นกัน โดยระบุว่าประเทศเกาะนี้มี “โครงการพัฒนาอาวุธสงครามทางชีวภาพที่ไม่เหมาะสม” ในความต้องการรวมคิวบาเอาไว้ในกลุ่ม “แกนแห่งความชั่วร้าย” (Axis of Evil) ไม่เพียงเท่านั้น โบลตันยังได้กล่าวอ้างเท็จต่อเวเนซุเอลา ในกรณีปกป้อง “ผู้ลักลอบการค้า” ชาวอิหร่าน ในความพยายามกำหนดเป้าหมายไปยังรัฐบาลปัจจุบันของเวเนซุเอลา เมื่อไม่นานมานี้ โบลตันได้เรียกร้อง “การมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ” ในภูมิภาคละตินอเมริกาที่ “สำคัญ”
ประวัติของโบลตัน พ่วงกับแถลงการณ์ล่าสุดของเขา ทำให้ชาวลาตินอเมริกันหลายๆคน รู้สึกไม่สบายใจ ตามที่อดีตสมาชิกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ในช่วงการบริหารของโอบามากล่าวกับ Miami Herald ว่า
“เขา (โบลตัน) เป็นผู้กระหายสงครามชาวอเมริกัน และชาวละตินอเมริกันต่างรู้สึกกังวล เมื่อประธานาธิบดีอเมริกันมีแนวโน้มจะมุ่งไปยังการแก้ปัญหาด้านการทหาร แทนการใช้ทางออกด้านการทูต”
ข่มขู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ
ประเด็นอื่นๆ ที่สำคัญ คือ กรณีป่วนซีเรีย แน่นอนว่า จอห์น โบลตัน เป็นหนึ่งในตัวการหลักในการแทรกแซงซีเรีย ให้เกิดความอ่อนแอ ในความต้องการช่วยเหลืออิสราเอลให้ได้ที่ราบสูงโกลันอย่างถาวร
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลอเมริกา กำลังถูกเปิดโปงว่าเป็นผู้สนับสนุน และอำนวยความสะดวกในการสร้างกลุ่มก่อการร้ายหลายกลุ่มในซีเรีย รวมทั้งกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ที่ถล่มตึกเวิร์ลเทรด มีรายงานว่า กลุ่มเหล่านี้ กำลังทำงานให้สหรัฐฯ และพันธมิตร และพากันตั้งรกรากที่เมืองอิดลิบ ซีเรีย ทั้งๆที่ค่ายทหารอเมริกาก็อยู่ไม่ห่างจากที่พักอาศัยของกลุ่มก่อการร้ายดังกล่าว แต่อเมริกาก็ไม่ได้ปราบปรามอะไร สถานการณ์ที่ว่านี้ เป็นเครื่องบ่งชี้ว่า การป่าวประกาศโดยสหรัฐฯว่า การตั้งฐานทัพของตนในซีเรีย เป็นไปเพื่อจัดการกับผู้ก่อการร้ายนั้น อันที่จริงแล้ว เป็นเพียงการสร้างภาพ และคำโกหกเพียงเท่านั้น
นอกจากนั้น อเมริกายังฉาวโฉ่ในสงครามอัฟกานิสถานในอีกหลายประเด็น ขณะเดียวกันอิสราเอลก็กำลังถูกเปิดโปงว่า ให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายในซีเรียและบุกยึดดินแดนของปาเลสไตน์อย่างป่าเถื่อน และรัฐบาลซาอุฯ ก็ได้อเมริกาและอังกฤษช่วย บุกถล่มประชาชนชาวเยเมนจนทำให้มีคนตายจำนวนมาก ทั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย ได้พยายามชี้นำให้ศาลอาญาระหว่างประเทศดำเนินการเอาผิดกับรัฐบาลอเมริกาและประเทศพันธมิตรในข้อหาอาชญากรสงคราม
ประเด็นดังกล่าว นำพาให้ จอห์น โบลตัน สายเหยี่ยว ผู้แข็งกร้าว จำเป็นต้องออกมาข่มขู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC)โดยในเดือนกันยายนที่ผ่านมา โบลตันได้ บอกกับ Federalist Society ว่า เขาจะพิจารณาการคว่ำบาตร หากศาลอาญาระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก จะดำเนินการฟ้องร้องทหารอเมริกันที่ทำหน้าที่ “ปฏิบัติการ” ในอัฟกานิสถาน ในข้อหาเป็น “อาชญากรสงคราม”
“หากศาลอาญาระหว่างประเทศ ฟ้องร้องเรา อิสราเอล หรือพันธมิตรอื่น ๆ ของสหรัฐ เราจะไม่มีทางนั่งนิ่งอย่างเงียบเฉย” โบลตันกล่าวข่มขู่ เขากล่าวว่า สหรัฐฯพร้อมที่จะกำหนดมาตรการคว่ำบาตรทางการเงิน และไปไกลถึงการจับกุมสมาชิกศาล
“เราจะออกคำสั่งห้าม (แบน) ผู้พิพากษาและอัยการ จากการเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา เราจะคว่ำบาตรเงินของพวกเขาในระบบการเงินสหรัฐฯ และเราจะฟ้องร้องพวกเขาในระบบการเอาผิดทางอาญาของสหรัฐฯ” – เขากล่าว