เจ้าหน้าที่อาวุโสของ สหประชาชาติได้กล่าวว่า การสร้างอาคารบ้านเรือนที่ผิดกฎหมายของอิสราเอล และ การเข้ามาตั้งถิ่นฐานโจมตีชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่เขตเวสต์แบงก์และตะวันออก ของกรุงเยรูซาเล็มที่ถูกยึดครอง เป็นเงื่อนไขหลักที่ทำลายสิทธิมนุษยชนของชาวปาเลสไตน์
นาง เนวิ พิลเลย์ ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ ได้แสดงความกังวล ในการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ ในเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ถึงสถานการณ์รุนแรงที่เพิ่มขึ้นบริเวณรอบๆ ฉนวนกาซาโดยกองกำลังอิสราเอล
นาง เนวิ พิลเลย์ ยังกล่าวอีกว่า “โครงการสร้างอาคารบ้านเรือนและความรุนแรงที่กระทำต่อชาวเมือง คือ การละเมิดสิทธิมนุษยชนครั้งยิ่งใหญ่ต่อประชาชนในเขตเวสต์แบงก์และตะวันออก ของกรุงเยรูซาเล็ม เช่นเดียวกัน มาตรการดังกล่าว มันรวมไปถึงการละเมิดสิทธิทางด้านสังคม, วัฒนธรรม, ประเพณี, อารยธรรมและการเมืองของชาวปาเลสไตน์เช่นกัน
เธอได้ชี้อีกว่า “ได้มีการร้องขอต่ออิสราเอลในหลายครั้ง ให้หยุดโครงการสร้างอาคารดังกล่าวซึ่งเป็นตัวนำความรุนแรงมาสู่พลเมือง และ ส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อชาวเมืองปาเลสไตน์ แต่พวกเขากลับยังคงดำเนินโครงการนี้ต่อไปอีก
นาง เนวิ พิลเลย์ ถือว่าเป็นอดีตผู้พิพากษาในศาลอาญาระหว่างประเทศในกรุงเฮก ผู้สังเกตุการณ์ของสหประชาชาติในเขตเวสต์แบงก์กล่าวว่า “ในบันทึกการเพิ่มขึ้นของการเกิดอุบัติเหตุ ความรุนแรง ในปี 2013 เป็นผลมาจากการใช้กำลังของกองกำลังรักษาความปลอดภัยของอิสราเอล”
การดำเนินการสร้างอาคารอย่างต่อเนื่อง ของอิสราเอลนั้นเป็นตัวอุปสรรคอย่างร้ายแรงต่อขบวนการสร้างสันติภาพและความ สงบสุขในตะวันออกกลาง.จากปี 1967 มากกว่าครึ่งล้านของประชากรอิสราเอลที่อาศัยอยู่ใน 120 เมือง ในเขตเวสต์แบงก์และทางตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม