J. Michael Springmann อดีตเจ้าหน้าที่ทางการทูตสหรัฐอเมริกาประจำซาอุดิอาราเบีย เปิดเผยข้อมูลซึ่งระบุว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และอิสราเอลที่ครอบงำอยู่เบื้องหลัง มีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะทำลายล้างสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านด้วยทุกหนทางที่สามารถทำได้
นับตั้งแต่ไวรัสมรณะแพร่ระบาดอย่างหนักในประเทศอิหร่านเมื่อเดือนที่ผ่านมา คณะทำงานของปธน.ทรัมป์ ได้ออกมาตรการแซงชันที่ผิดกฎหมายต่ออิหร่านเพิ่มมากขึ้น สวนทางกับเสียงคัดค้านของประชาคมระหว่างประเทศ ที่ระบุมาตรการดังกล่าวจะเป็นตัวขัดขวางสาธารณรัฐอิสลามในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคร้าย
ต่อประเด็นดังกล่าว J. Michael Springmann อดีตทูตสหรัฐประจำซาอุให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว PressTV เมื่อวันพฤหัสบดีว่า “การที่สมาชิกสภาคองเกรสวิพากษ์วิจารณ์ท่าทีของทรัมป์ ที่ได้เพิ่มมาตรการแซงชันต่ออิหร่านทั้งที่โลกอยู่ในภาวะแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า สิ่งนี้เหมือนเป็นการพูดให้คนหูหนวกฟัง”
Springmann กล่าวว่า “ทรัมป์และกลุ่มอิสราเอลผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง มีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะทำลายล้างสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านด้วยทุกหนทางที่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะด้วยการคว่ำบาตรการค้าน้ำมันของอิหร่าน คว่ำบาตรการส่งออกเหล็ก หรือขัดขวางการเข้าถึงระบบธนาคารระหว่างประเทศ พวกเขาพร้อมจะทำทั้งหมด”
“และหากพวกเขาสามารถกีดกันไม่ให้อิหร่านเข้าถึงเครื่องมือทางการแพทย์ที่จำเป็นในการต่อสู้กับไวรัสโคโรน่าได้ นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะจะสามารถสร้างความเสียหายและคร่าชีวิตชาวอิหร่านได้อย่างมากมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาคาดว่าจะสร้างความไม่มั่นคงให้เกิดแก่รัฐบาลอิหร่านได้” Springmann กล่าว
เขายังเสริมว่า “ไม่ว่าปธน.ทรัมป์และคณะทำงานจะถูกวิพากษ์วิจารณ์เท่าใด พวกเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ เหมือนที่เขาไม่ได้ใส่ใจที่ประชาคมโลกตำหนิกรณีให้การสนับสนุนซาอุทำสงครามกับกับเยเมน เหตุเพราะซาอุสั่งซื้ออาวุธจากสหรัฐจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลดีต่อทรัมป์ ดังนั้นผมจึงคิดว่าคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ เรื่องการแซงชันจะไม่มีประโยชน์ใดๆ เพราะปธน.ทรัมป์เลือกที่จะไม่ใส่ใจอยู่แล้ว เพราะเขาเล็งเห็นว่าการทำลายล้างอิหร่านจะสร้างประโยชน์ให้แก่เขามากกว่าสิ่งอื่นใด”
source: presstv.