หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ รายงานเมื่อวันศุกร์ (19 มิถุนายน) ว่า ดาวิดอิกเธียส คอลัมนิสต์ อ้างว่าเจ้าชายบินซัลมานแห่งซาอุฯ จะขึ้นครองราชย์แทนบิดาของเขาในปีนี้ แต่อีกด้านหนึ่งกระแสข่าวและการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า บินซัลมาน จะไม่ได้นั่งบนบัลลังก์นี้ ด้วยกับเหตุผลสามประการดังนี้
1) ฝ่ายตรงข้ามภายใน: ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดสำหรับบินซัลมาน คือกลุ่มฝ่ายต่อต้านภายใน เขาได้นั่งในตำแหน่งมกุฎราชกุมารในขณะที่ขัดกับสภาแห่งความจงรักภักดี(สภาชูรอบัยอะห์) เขาได้ขับไล่ เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บินนาเยฟและได้ก่อรัฐประหารทางทหารและความมั่นคงอย่างมีประสิทธิภาพเหนือสภาแห่งความจงรักภักดี ก่อนหน้านี้เขาได้ก่อตั้งสภาผู้สืบทอดอำนาจรัชทายาทอย่างไม่เป็นทางการ เพื่อรักษาอำนาจของบิดาที่ป่วยของเขาให้อยู่ภายใต้การควบคุมและเพื่อให้ได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจเร็วขึ้น
นับตั้งแต่ปี 2017 มีกระแสรายงานทุกปีว่า บินซัลมานจะได้เป็นกษัตริย์และกษัตริย์ที่มีอายุ 85 ปีจะก้าวลงจากตำแหน่งและมีอำนาจในการควบคุมคาบแผ่นดินฮิญาซอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามฝ่ายตรงข้ามของบิน ซัลมาน ได้ดำเนินการรัฐประหารครั้งใหญ่สองครั้ง โดยล่าสุดได้สังหารทหารองครักษ์ที่รักของบินซัลมานเสียชีวิตหนึ่งคนและมีรายงานและกระแสหนาหูเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดการปฏิวัติทางทหารในซาอุดิอาระเบียมากขึ้น และเพื่อบรรเทาความกังวลเกี่ยวกับปัญหาภายใน วอชิงตันพยายามควบคุมสถานการณ์โดยแต่งตั้งนายพลระดับสี่ดาวเป็นเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำซาอุดีอาระเบียเพื่อลดความกดดันจากต่างประเทศและในประเทศต่อบินซัลมานในระดับ
อาบี เซด ( Abi Zayd ) (เอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำซาอุดีอาระเบีย)มีประวัติในการเข้าร่วมสงครามในกรานาดา อ่าวเปอร์เซีย บอสเนีย โคโซโว อัฟกานิสถานและอิรักและมีการตีพิมพ์รายงานต่าง ๆ เกี่ยวกับตำแหน่งของอาบี เซด รวมทั้งผู้บัญชาการกองกำลังภาคพื้นดินของสหรัฐอเมริกา เจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับและนายทหารในสำนักงานสหรัฐในยุโรปและนักวิจัยในสาขายุทธศาสตร์ ที่สามารถกล่าวถึงได้
อย่างไรก็ตามฝ่ายตรงข้ามของบินซัลมาน สามารถแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม
กลุ่มแรก : มาจากเหล่าเชื้อพระราชวงศ์และพวกเขาเชื่อว่าบิน ซัลมาน ไม่มีศักยภาพและไม่บารมีและอำนาจพอในการเป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย โดยที่พวกเขาอ้างอิงจากผลลัพธ์ของสงครามซาอุดิอาระเบียในเยเมน ปัญหาระดับภูมิภาคและความท้าทายกับอิหร่านและความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งอิรัก เลบานอนและมาเลเซีย ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความไร้ประสิทธิภาพของริยาดภายใต้การนำของบินซัลมาน ในทางตรงกันข้ามมันขัดกับสภาความจงรักภักดี ที่ทายาทระหว่างลูกชายของอับดุลอาซิซต้องดำเนินการต่อในการสืบทอดอำนาจตามหลักราชาธิปไตย แต่สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้น….
กลุ่มที่สอง: คือกลุ่มที่คัดค้านและต่อต้านพฤติกรรมที่ก้าวร้าวของบินซัลมาน พวกเขาเชื่อว่าบิน ซัลมาน ได้เบี่ยงเบนและออกนอกลู่จากแนวคิดของลัทธิวะฮาบีและมันไม่สอดคล้องกับนโยบายของซาอุดิอาระเบีย และก้าวสู่การดำเนินการการปฏิรูป เหมือนกับ บินซาเยด (เอมิเรสต์) ซึ่งมันไม่สอดคล้องกับนโยบายของซาอุดิอาระเบียและเสี่ยงต่อการล่มสลายต่อฐานหลักของซาอุดิอาระเบียจากภายใน
กลุ่มที่สาม: คือบรรดาผู้คัดค้านและต่อต้านการปราบปรามและแรงกดดันของความพยายามสูงสุดของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสถาบันกษัตริย์จนถึงทุกวันนี้ ควบคู่กับการประท้วงของพลเมืองและประชาชนทั่วไปที่เพิ่มขึ้นทุกวันโดยเฉพาะประชาชนต้องสูญเสียพื้นที่แห่งการดำเนินชีวิต จากการดำเนินโครงการเมืองใหม่ของบินซัลมาน โดยที่อาคารบ้านเรือนกว่า 4,000 หลังถูกทำลายในโครงการนี้ภายในเวลาไม่กี่วันเพื่อทำให้ฝันของบินซัลมานเป็นจริง ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาที่จะนำไปสู่การบ่อนทำลายและการล่มสลายของรัฐบาลและอาณาจักรของซาอุดิอาระเบียเนื่องจากไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม
2) ฝ่ายตรงข้ามในต่างประเทศ: ฝ่ายตรงข้ามบินซัลมานจากต่างประเทศ(นอกประเทศ)มีหลากหลายกลุ่ม อิหร่านและแกนของขบวนการต่อสู้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบรรดาต่อต้านกลุ่มต่อต้านเท่านั้น ความผิดพลาดที่ชัดเจนและน่าเกลียดอย่างยิ่งและบทบาทหลักของบินซัลมานในกรณีของการสังหาร จามาล คาร์ช็อกกี้ และการสังหารคู่ต่อสู้(ฝ่ายค้าน)ของเขาโดยมีคำสั่งโดยตรงและชัดเจนจากสำนักงานของมกุฎราชกุมารทำให้บินซัลมาน เสียหน้าเป็นอย่างมาก และเขาถูกจับตาและเพ่งมองจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนมากขึ้น บินซัลมานถูกโดดเดียวในเวทีระหว่างประเทศและได้รับคำวิจารณ์มากมาย โดยที่เยอรมนีและฝรั่งเศสถูกบังคับให้ระงับการขายอาวุธบางส่วนให้กับบินซัลมาน นอกจากนี้นโยบายกดดันเหล่านี้ในลอนดอนนำไปสู่ความเสียหายของคณะรัฐมนตรีอังกฤษและมีความเป็นไปได้ว่าเจ้าหน้าที่ของอังกฤษจะลดจำนวนการขายอาวุธให้ริยาด
ความร่วมมือกับระบอบไซออนิสต์เป็นการเพียงพอสำหรับการทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีที่เหลืออยู่ของริยาด และปัญหาดีลแห่งศตวรรษได้กลายเป็นความรังเกียจทางสังคมสำหรับชาวมุสลิมโดยเฉพาะชาวปาเลสไตน์ ภาพลักษณ์ที่ริยาดได้สร้างขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งศตวรรษในฐานะผู้รับใช้ฮะรัมอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองถูกทำลายลงหมดสิ้นโดยการเข้าสู่การเจรจา “ดีลแห่งศตวรรษ” และเป็นการเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของบินซัลมาน และราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย
สงครามเยเมนและความพ่ายแพ้อันน่าอับอายต่อกองกำลังเยเมนเป็นอีกประเด็นที่ทำให้มือของริยาดว่างเปล่ามากขึ้นนอกจากนี้กองทัพซาอุดิอาระเบียได้แสดงให้เห็นว่าด้วยการซื้ออาวุธและอุปกรณ์ทั้งหมดไม่เพียง แต่ริยาดยังขาดกองทัพที่แข็งแกร่งและทรงอำนาจประจำภูมิภาค และในความเป็นจริงสำหรับการลงทุนของสหรัฐในริยาดในฐานะ “ผู้พิทักษ์ระดับภูมิภาค” บินซัลมาน แทบจะไม่มีอำนาจขับเคลื่อนทางการเมืองและการทหารใดๆเลย และวอชิงตันต้องเข้าแทรกแซงโดยตรง
สิ่งนี้ได้ลดการสนับสนุนต่อริยาดและเพิ่มความกังวลมากขึ้น การโจมตีของบินซัลมานในเยเมนและการยึดครองบาห์เรนอย่างไม่เป็นทางการและแม้แต่การบุกโจมตีทางการเมืองและความมั่นคงต่อกาตาร์ ก็ยิ่งสร้างปัญหาอื่นเพิ่มขึ้นให้กับบินซัลมาน บินซัลมานได้ส่งข้อความไปยังประเทศใกล้เคียง(เพื่อนบ้าน)ว่าในกรณีที่มีการต่อต้านสงครามหรือการรุกรานทางทหารพวกเขาไม่มีทางเลือกใดๆ สิ่งนี้ได้ลดการสนับสนุนของรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้านในการชุมนุมที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการต่อบินซัลมาน และมันสามารถกลายเป็นจุดอ่อนของเขาที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด
3) บุคลิกภาพของบินซัลมาน: จริง ๆ แล้วการวิเคราะห์บุคลิกภาพของบินซัลมานเริ่มตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นไป แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่หิวกระหายอำนาจและไร้ประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกันทางการเมืองและสังคม เขาได้โฆษณาชวนเชื่อจำนวนมากและได้เสนอตัวเองในฐานะเป็นผู้กอบกู้ซาอุดิอาระเบียและผู้สร้างประเทศแห่งยุคใหม่ ในขณะที่เขาไม่เพียงแต่ไม่ทำตามส่วนหนึ่งของข้อเสนอของเขาเท่านั้น แต่เขายังทำให้ริยาดต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
เมื่อปีที่แล้วริยาดถูกคาดการณ์ว่าต้องเผชิญกับการขาดดุลงบประมาณ 50 พันล้านดอลลาร์ ด้วยการหลงตัวเองที่เกินจริงของบินซัลมานในเรื่องบุคลิกลักษณะและอำนาจนิยมทำให้เขากลายเป็นบุคคลที่ไม่มั่นคง ผู้คนรอบ ๆ กษัตริย์และสมาชิกราชวงศ์ก่อนหน้านี้ก็รู้ดีว่าการพูดความจริงและการวิพากษ์วิจารณ์เขานั่นหมายถึงการจะถูกถอดถอนออกจากอำนาจ และการรักษายอดจำนวนผู้ที่ประจบสอพลอและไร้ประสิทธิจำนวนมากภาพสำหรับริยาดแล้วไม่เพียงแต่จะเพิ่มขึ้นจำนวนมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้กระทั่งการวิพากษ์วิจารณ์เพียงเล็กน้อยก็สามารถกำจัดบุคคลสำคัญทางการเมืองของซาอุดิอาระเบียออกจากอำนาจและฉากการเมืองของประเทศได้อย่างถาวร
ดังนั้นบนพื้นฐานอันนี้บินซัลมานจึงลำพองตัวเองโดยที่ไม่แคร์และให้ความสนใจคนอื่นเลย กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความผิดพลาดของบินซัลมานนั้นยิ่งใหญ่มาก โดยที่ผู้นำอิหร่านถือว่าเขาเป็น”ชายหนุ่มที่อ่อนประสบการณ์”นั้นเป็นคำจำกัดความที่ถูกต้องที่สุดในการอธิบายคุณลักษณะและบุคลิกของบินซัลมาน ในทางตรงกันข้ามความลุ่มหลงในอำนาจของบินซัลมานทั้งในช่วงที่เป็นผู้ว่าการเมืองซาอุดิอาระเบียและในสมัยเป็นมกุฎราชกุมาร โดยรวมแล้วบรรดานักการเมืองหลายคนทั่วโลกได้กล่าวถึงจุดๆหนึ่งที่บางครั้งเขาคิดว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศในโครงสร้างทางการเมืองของโลกพร้อมกับคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ทั้งหมดของบินซัลมานที่จะไม่พึ่งพาอำนาจ และเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่พิเศษที่จะทำให้บินซัลมานห่างไกลจากการเป็นกษัตริย์
ทั้งนี้ไม่มีใครสามารถไว้วางใจบินซัลมานได้อีกต่อไป ในความเป็นจริงบินซัลมานมีพฤติกรรมที่ไม่สมเหตุสมผล โดยที่เขาโยนความรับผิดชอบทั้งหมดสำหรับการกระทำของเขาไปยังบรรดาบุคคลที่ได้รับมอบหมายเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาใด ๆ การปลด อาหมัด อัลอุซัยรีย์ อัลตาบัยกี โมฮัมเหม็ดอัลฮาสาวีและอีกหลายคนออกจากตำแหน่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการลอบสังหารจามาล คาช็อกกี้ การจับกุม บัดร์ อัล – อาซาเกรหัวหน้าสำนักงานของเขาที่ไม่ได้ระบุข้อหาและการกระทำอีกมากมายของเขา เหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามสร้างความมั่นใจของบินซัลมาน ที่ทำให้บุคลิกของเขาตกอยู่ในสภาพคลุมเครือ
ด้วยบุคลิกเช่นนี้ดูเหมือนว่าบินซัลมานจะไม่อาจอยู่ในตำแหน่งของมกุฎราชกุมารไม่ได้นาน แล้วนับประสาอะไรกับการที่จะขึ้นมาเป็นกษัตริย์ซาอุดิอาระเบียและเป็นศูนย์กลางของแรงดึงดูดเอกภาพของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ในภาวการณ์ระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศที่ยากลำบากที่สุดวันนี้
source: iuvmpress