![นย](https://www.abnewstoday.com/wp-content/uploads/2020/12/นย.jpg)
คณะบริหารประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ในช่วงสุดท้ายก่อนพ้นตำแหน่ง กำลังพยายามกดดันหลายประเทศให้ปรับความสัมพันธ์กับอิสราเอลให้เป็นปกติ ในครั้งนี้ โดยใช้การลงทุนทางการเงิน เพื่อบีบบังคับให้อินโดนีเซียสร้างความสัมพันธ์กับระบอบอิสราเอล แม้จาการ์ตาจะไม่เต็มใจก็ตาม
บรรษัทเงินทุนเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (DFC) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลที่ลงทุนในต่างประเทศประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า อินโดนีเซียสามารถปลดล็อกเงินหลายพันล้านดอลลาร์ ในการจัดหาเงินทุนเพิ่มเติมของสหรัฐฯ หากเข้าร่วมกับทรัมป์ ในการผลักดันประเทศมุสลิมให้สร้างความสัมพันธ์กับเทลอาวีฟ
Adam Boehler ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ DFC กล่าวในการให้สัมภาษณ์ ณ โรงแรม King David Hotel ในอัลกุดส์ เยรูซาเล็ม ว่า หน่วยงานของเขาสามารถเพิ่มผลงานมูลค่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์ปัจจุบันได้มากเป็นสองเท่า หากอินโดนีเซียพัฒนาความสัมพันธ์กับอิสราเอล
“เรากำลังคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้” Boehler กล่าว “ถ้าพวกเขาพร้อม พวกเขาก็พร้อม และหากพวกเขาพร้อมแล้ว เราก็ยินดีที่จะสนับสนุนทางการเงินเพิ่มเติมจากที่เราทำ”
เจ้าหน้าที่ดังกล่าว ยังกล่าวอีกว่า เขาจะไม่แปลกใจเลย หากการระดมทุนของ DFC ไปยังอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากที่สุดในโลก จะถูกส่งเสริมด้วย (จำนวนเงิน) “หนึ่งหรือสองพันล้านดอลลาร์”
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วรัฐบาลอินโดนีเซียได้ตอบโต้ โดยปฏิเสธ ไปยังข้อกล่าวหาของสื่ออิสราเอล ที่ระบุว่า จาการ์ตากำลังพยายามสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับระบอบการปกครองเทลอาวีฟ
The Jerusalem Post หนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษของอิสราเอล โดยอ้างแหล่งข่าวทางการทูตที่ไม่เปิดเผยชื่อ ได้รายงานว่า โอมานและอินโดนีเซียอาจอยู่ในแนวเดียวกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
กลุ่มอิสลามของอินโดนีเซีย และองค์กรพัฒนาเอกชนที่สนับสนุนชาวปาเลสไตน์ ได้ประณามข้อตกลง ว่าด้วยการปรับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติกับอิสราเอล ซึ่งมีการดำเนินการโดยชาติอาหรับหลายแห่ง
ผู้นำอเมริกัน และอิสราเอลได้ผลักดันให้ประเทศต่างๆเข้าร่วมข้อตกลงการปรับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติกับอิสราเอลในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ณ ที่นี้ ประกอบด้วย ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน ซูดานและโมร็อกโก
ฝ่ายบริหารในวอชิงตันยังแสดงความคิดเห็นในแง่บวกอีกว่า โอมาน และซาอุดีอาระเบียจะเข้าร่วมข้อตกลงดังกล่าวด้วย
อิสราเอลและโมร็อกโกทำข้อตกลง ในวันที่ 10 ธันวาคม ในการปรับความสัมพันธ์ของพวกเขาให้เป็นปกติ ทำให้เป็นประเทศแอฟริกาเหนือ เป็นรัฐอาหรับลำดับที่สี่ นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม ที่เรียกร้องการทำข้อตกลง ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อปรับความสัมพันธ์กับอิสราเอลให้เป็นปกติ ประเทศอื่น ๆ ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บาห์เรน และซูดาน
เมื่อวันที่ 15 กันยายน ประธานาธิบดีสหรัฐฯเป็นเจ้าภาพจัดพิธีในทำเนียบขาว โดยนายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามินเนทันยาฮูได้ลงนามในข้อตกลงการปรับความสมพันธ์ให้เป็นปกติ กับ Sheikh Abdullah bin Zayed Al Nahyan รัฐมนตรีว่าการกระทวงต่างประเทศของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ Abdullatif al-Zayani รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของบาห์เรน
ภายหลัง ทรัมป์ได้ประกาศ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคมที่ทำเนียบขาวว่า ซูดานและอิสราเอลตกลงที่จะปรับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติ
ข้อตกลงการปรับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติดังกล่าว ได้รับการประณามอย่างกว้างขวางจากชาวปาเลสไตน์ที่แสวงหารัฐอิสระในเขตเวสต์แบงก์และฉนวนกาซาที่ถูกยึดครอง โดยมีเยรูซาเล็มตะวันออกเป็นเมืองหลวง พวกเขากล่าวว่าข้อตกลงดังกล่าวเพิกเฉยต่อสิทธิของพวกเขา และไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาปแก่ชาวปาเลสไตน์
ที่มา: