นักกฎหมายชาวแคนาดา เผย การปฏิวัติอิหร่าน คือ แบบอย่างสำหรับชาวโลก และความพ่ายแพ้ของสหรัฐฯ

326
การปฏิวัติต่อต้านชาห์ที่ประสบความสำเร็จในปี 1979 เป็นแบบอย่างการปฏิวัติที่แสดงถึงความกล้าหาญ สำหรับผู้คนทั่วโลกและเป็นความปราชัยของสหรัฐอเมริกา ชาวอิหร่านได้โค่นล้มผู้มีอำนาจที่ฝักใฝ่ตะวันตกในปี 1979 และเริ่มดำเนินการสร้างประเทศอธิปไตย ซึ่งเป็นประเทศที่ไม่ข่มเหงรังแกใครและไม่ยอมให้ผู้ใดมาข่มเขงรังแกตน อิหร่านไม่เคยมีอาณานิคม หรืออาณานิคมแนวใหม่ (neo-colonies) และไม่เคยกำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อประเทศอื่น
– โดย John Philpot *
วันครบรอบการปฏิวัติ ปีที่ 40 (2 ปีที่แล้ว) ของอิหร่าน ใกล้จะมาเยือนเรา จากมุมมองของกฎบัตรสหประชาชาติปี 1946 เราสามารถพิจารณารากฐานทางกฎหมายของประเทศที่เกิดใหม่ในปี 1979 นี้ ภายหลังจากที่มันต้องทนทุกข์ทรมานเป็นเวลายี่สิบห้าปีหลังจากการปฏิวัติต่อต้านในปี 1953
กฎบัตรสหประชาชาติ 1946 ได้กำหนดกฎเกณฑ์ใหม่ บนพื้นฐานของหลักการความเท่าเทียมกันทางอธิปไตยของชาติต่างๆ และการไม่แทรกแซงในกิจการภายในของประเทศหนึ่ง ทั้งนี้ มาตรา 2 ของกฎบัตรกำหนดให้ประเทศต่างๆเคารพหลักการของความเท่าเทียมกันทางอธิปไตยของสมาชิกทั้งหมด และสมาชิกทั้งหมดจะต้องละเว้น ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของตน จากการคุกคามหรือการใช้กำลังต่อต้านบูรณภาพแห่งดินแดน หรือความเป็นอิสระทางการเมืองของรัฐใด ๆ หรือในลักษณะอื่นใดๆ ที่ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของสหประชาชาติ
กล่าวอย่างง่าย คือ ประเทศที่มีอำนาจไม่สามารถแทรกแซงโดยตรง หรือโดยอ้อม ผ่านผู้รับมอบฉันทะ /ตัวแทน (proxies) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายในประเทศที่อ่อนแอกว่า เนื่องจากการกระทำดังกล่าว ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของสหประชาชาติ แม้การวางกรอบนี้ อาจไม่ได้ผลอย่างแน่ชัด แต่ก็ถือว่า โชคดีที่มันยังคงเป็นพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ
หลังจากปี 1946 โลกจักรวรรดิเก่า ยังคงดำเนินต่อไปเช่นเดิม และหลายคนในโลก ก็ได้รับความเดือดร้อนจากการแทรกแซงโดยจักรวรรดิ ชาวอิหร่านมีข้อมูลโดยตรง เกี่ยวกับการรัฐประหารกองทัพ ที่ถูกจัดขึ้นโดย Kermit Roosevelt และ CIA เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 1953 เพื่อต่อต้านรัฐบาลอันชอบธรรม (ที่มาจากการเลือกตั้ง) ของ Mossadegh เป็นการยุติการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และอธิปไตยของชาติ อันยาวนานของอิหร่าน [1]
ความพ่ายแพ้หลายแห่ง การดำเนินการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองและสงครามทั้งหลาย ที่ดำเนินการโดยสหรัฐอเมริกา และพันธมิตร อาทิ ในเวียดนาม อินโดนีเซีย ชิลี เกาหลี อ่าวหมูในคิวบา เฮติ และสาธารณรัฐโดมินิกัน ในทางกลับกัน หลายคนได้รับแรงบันดาลใจจากหลักการของสหประชาชาติ ช่วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่สองถูกกำหนดโดยการแยกอาณานิคมของแอฟริกาอินเดีย และส่วนใหญ่ของโลก หลักการของกฎหมายระหว่างประเทศนั้นถูกต้อง แต่จะได้รับการเคารพก็ต่อเมื่อประชาชนต่อสู้เพื่อสิทธิของตน
สถานการณ์กลับกัน (reverse) ที่เลวร้ายในอิหร่านไม่ได้ยุติการแสวงหาเสรีภาพของชาวอิหร่าน และแล้ว การปฏิวัติต่อต้านชาห์ที่ประสบความสำเร็จในปี 1979 เป็นแบบอย่างการปฏิวัติที่แสดงถึงความกล้าหาญ สำหรับผู้คนทั่วโลก และเป็นความปราชัยของสหรัฐอเมริกา ชาวอิหร่านได้โค่นล้มผู้มีอำนาจที่ฝักใฝ่ตะวันตกในปี 1979 และเริ่มดำเนินการสร้างประเทศอธิปไตย ซึ่งเป็นประเทศที่ไม่ข่มเหงรังแกใครและไม่ยอมให้ผู้ใดมาข่มเขงรังแกตน อิหร่านไม่เคยมีอาณานิคม หรืออาณานิคมแนวใหม่ (neo-colonies) และไม่เคยกำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อประเทศอื่น ๆ ผมเข้าใจได้ว่าอิหร่านไม่มีเจตนาที่จะทำเช่นนั้น
การปฏิวัติอิหร่านในปี 1979 เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการประยุกต์ใช้หลักการที่กำหนดไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเราหลายคนในตะวันตก ผู้นำอิหร่านคนใหม่ รู้ดีว่าสหรัฐฯเป็นศัตรูของชาติ จากวิกฤตการจับตัวประกันของอิหร่าน และในที่สุดการคว่ำบาตรของสหรัฐ ที่มีตีออิหร่านก็เกิดขึ้น ซึ่งอิหร่านได้ต่อต้านอย่างสมศักดิ์ศรี เราสังเกตว่า สงครามที่ทารุณโดยอิรัก ที่มีต่ออิหร่าน ได้รับแรงบันดาลใจจากสหรัฐอเมริกา ขณะที่ประวัติศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้ได้แสดงให้เห็น การคว่ำบาตรอิหร่านอย่างผิดกฎหมายครั่งใหม่ หลังข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน (JCPOA) ปี 2015
ผมได้ดูสุนทรพจน์ของ อยาตุลเลาะห์ คาเมเนอี (Ayatollah Khamenei) เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2017 ในการนำเสนอต่อสภาประสานงานการเผยแผ่ศาสนาอิสลาม ในนั้นเขากล่าวว่า:
ระบบการครอบงำ หมายถึง การแบ่งโลกออกเป็นสองกลุ่มประเทศและชาติ: โดยกลุ่มประเทศกลุ่มแรก เป็นกลุ่มผู้ปกครอง และกลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่ถูกครอบงำ เราได้ทำลายระบบที่ไม่ถูกต้อง และสูตรที่ไม่ถูกต้องในโลกนี้ เราได้แสดงให้เห็นว่า ประเทศหนึ่งสามารถดำรงอยู่ได้ โดยไม่ได้เป็นทั้งผู้ปกครอง หรือผู้ที่ถูกครอบงำ
ชาตินี้ไม่ต้องการรังแกผู้อื่น และไม่ต้องการยอมรับการกลั่นแกล้งของผู้อื่น ชาวอิหร่านได้แสดงสิ่งนี้ในทางปฏิบัติ พวกเขาเขียนสิ่งเหล่านี้ในหนังสือ นักคิดและนักวิเคราะห์ทางการเมืองพูดเรื่องเช่นนี้ในหนังสือ แต่หนังสือและงานเขียนจะเปรียบเทียบกับความเป็นจริงได้อย่างไร? มันคือ การปฏิวัติที่สร้างความจริงนี้ การปฏิวัติอิสลามเปลี่ยนโครงสร้างในโลก [2]:
คำกล่าวของอยาตุลเลาะห์ คาเมเนอีนี้ เป็นการประยุกต์ใช้หลักการของสหประชาชาติในทางปฏิบัติ และได้รับชัยชนะจากการต่อสู้ และการเฝ้าระวังของชาวอิหร่าน บรรดาผู้ที่ได้เรียนรู้วิธีสร้างประเทศ และวิธีการขัดขวางความพยายามในการต่อต้านการปฏิวัติ
นี่คือตัวอย่างของการนำกฎหมายระหว่างประเทศมาใช้ในความเป็นจริง ตั้งแต่ปี 1979 ถึง 1981 ความเข้มแข็งของประชาชน ได้ป้องกันการแทรกแซงโดยตรงของชาวอเมริกัน ที่ประสบความสำเร็จ มันจึงยากมาก และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะล้มล้างการปฏิวัติอิหร่าน
บางครั้ง ผู้คนบอกว่ากฎหมายระหว่างประเทศไม่มีประโยชน์ มันไม่มีผลบังคับ ผมไม่เห็นด้วย มันเป็นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อำนาจอธิปไตยของชาติจะได้รับการรักษาไว้ก็ต่อเมื่อมีเจตจำนงทางการเมืองและ / หรือทางทหารที่จะบังคับใช้อำนาจอธิปไตยนี้ เมื่อมันถูกจัดตั้งขึ้นแล้วเป็นการยากที่จะแยกประเทศหนึ่งออกไป และทำให้มันตกอยู่ภายใต้การครอบงำของต่างชาติ
กฎหมายระหว่างประเทศมีอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งในโลกสมัยใหม่ ผมจำสุนทรพจน์ส่วนตัวของอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ จอห์น เคอร์รี (John Kerry) เมื่อปี 2015 ซึ่งมันถูกบันทึกไว้ อย่างเป็นความลับ ขณะที่เขากำลังพูดกับกลุ่มต่อต้านซีเรียในยุโรป เมื่อถูกถามว่า เหตุใดสหรัฐฯจึงไม่แทรกแซงโดยตรงในซีเรีย ซึ่งในประเด็นนี้ เคอร์รี่ บ่นว่า พวกเขาไม่สามารถทำได้ เนื่องจากรัสเซียอยู่ที่นั่นตามคำเชิญของรัฐบาลซีเรีย และกฎหมายระหว่างประเทศได้ขัดขวางการแทรกแซงของพวกเขา
สุนทรพจน์ที่สร้างแรงบันดาลใจของ อยาตุลเลาะห์ คาเมเนอี เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ทำให้ผมประทับใจในหลาย ๆ ด้าน ผมไม่ใช่คนอิหร่าน และไม่ใช่มุสลิม แนวทางของเขาเป็นแรงบันดาลใจ เขาพูดกับผู้คนเกี่ยวกับการเป็นนักปฏิวัติที่แท้จริง ไม่ใช่แค่การปฏิวัติวิถีชีวิตเท่านั้น เขาอธิบายว่าสงครามโดยศัตรูเป็นมากกว่าสงครามทางทหารอย่างไร
ศัตรูพยายามที่จะแบ่งแยกประเทศ โดยใช้หลายวิธีและชาวอิหร่านต้องพึ่งพาตนเอง เพื่อรักษาเอกราชของอิหร่าน และด้วยเหตุนั้น ได้บังคับให้เกิดการเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ ด้วยแนวทางแบบนี้ความพยายามในการประสานงานของ CIA ในการบั่นทอนเสถียรภาพของอิหร่านจึงล้มเหลว ไม่มีอะไรเหมือนกับความจริง ในการปลุกระดมผู้คน
มีตัวอย่างในประวัติศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้ เกี่ยวกับผู้นำที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนของพวกเขา และประสบความสำเร็จในความพยายามที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ในการเอาชนะ หรือย้อนกลับสถานการณ์ที่ไม่ยุติธรรม ซึ่งกำหนดโดยผู้ปกครองตะวันตก
ฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro) เป็นผู้นำประเทศของเขามาเกือบ 50 ปีในการต่อต้านการปิดล้อมของสหรัฐอเมริกา เขาเกษียณในปี 2008 ในฐานะฮีโร่ คุณลักษณะที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของเขา คือความสามารถในการพูดคุยกับผู้คนอย่างตรงไปตรงมา และได้รับความเคารพนับถือ ฮูโก้ ชาเวส (Hugo Chavez) ประธานาธิบดีเวเนซุเอลา ผู้ล่วงลับ ยังมีพรสวรรค์ในการพูดอย่างตรงไปตรงมากับประชาชนของเขา ในการเผชิญหน้ากับฝ่ายค้านโดยสหรัฐอเมริกา เราจำได้ว่า ประชาชนถูกระดมพลกันอย่างไรในการสนับสนุนเขาในเดือนเมษายน 2002 ด้วยกับความพยายามทำรัฐประหารโดยกองทัพ ผู้นำสมัยใหม่คนอื่น ๆ เช่น วลาดิเมียร์ ปูติน และเนลสัน แมนเดลา ได้รวบรวมผู้คนของตนเพื่อเอาชนะความยากลำบากที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ทั้งสองมีความโดดเด่น ด้วยความสามารถในการพูดคุยกับผู้คนที่มีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวต่อต้าน และประสบความสำเร็จในการก้าวไปข้างหน้า ในการเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่ที่กำหนดโดยตะวันตก นำโดยสหรัฐอเมริกา
ในตะวันตก ผู้ที่ถูกเรียกว่า “ผู้นำ” ของเราไม่ค่อยพูดกับประชาชนอย่างตรงไปตรงมา ส่วนใหญ่เป็นการพูดคุยเชิงอุดมคติสองครั้ง ที่แยกออกจากความเป็นจริง ตลกร้าย เมื่อโดนัลด์ทรัมป์ และเบอร์นี แซนเดอร์สพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวกับผู้คนในแคมเปญปี 2016 พวกเขาก็เหมือนได้ชุบสังกะสีการเมืองอเมริกัน และสร้างความหวัง! ฮิลลารี คลินตันไม่ได้พูดความจริงใดๆ อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งและนโยบายของสหรัฐฯในเวลาต่อมา ก็คือ หายนะ อย่างที่เราทุกคนทราบกันดี
ไม่มีใครอาจให้ความสำคัญกับโดนัลด์ ทรัมป์ได้อย่างจริงจัง เมื่อเขาสนับสนุนผู้ประท้วงในอิหร่าน โดยรู้ว่ารัฐบาลของเขากระตุ้นให้เกิดความรุนแรง Chrystia Freeland รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของแคนาดา ซึ่งเป็นที่รู้จัก จากความเชื่อมโยงของเธอที่มีต่อการโปรนาซีของปู่ของเธอ [3] และความชื่นชมของเธอที่มีต่อเขา ยังได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในอิหร่าน เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2018 สิ่งที่เรียกว่าก้าวหน้าในการเมืองควิเบก นายอาเมียร์ คาเดียร์ยังกล่าวต่อต้านรัฐบาลอิหร่าน เมื่อวันที่ 2 มกราคม เหล่านี้บ่งชี้ว่า ไม่มีความดีใด ที่มาจากนักการเมืองในอเมริกาเหนือ
ผมยังไม่เคยได้ไปเยือนอิหร่าน แต่ในฐานะผู้สังเกตการณ์ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และในฐานะทนายความที่ทำงานด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ผมมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตของอิหร่าน ตะวันตกไม่มีบทเรียนใด ๆ ที่จะมอบให้แก่อิหร่านในประเด็นประชาธิปไตย และเศรษฐศาสตร์และไม่มีสิทธิที่จะกำหนดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ในการละเมิดหลักการของสหประชาชาติ ตะวันตกจะไม่ประสบความสำเร็จ
 _________
ผู้เขียน * John Philpot เป็นทนายความชาวแคนาดาที่ทำงานด้านกฎหมายอาญาระหว่างประเทศ www.johnphilpot.com