ในการกล่าวสุนทรพจน์ทางโทรทัศน์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 32 ปี อสัญกรรมอิหม่ามโคมัยนี ผู้นำสูงสุดรัฐปฏิวัติอิสลามอิ หร่าน ได้กล่าวถึง สาธารณรัฐอิสลามว่าเป็ นความสำเร็จที่สำคัญที่สุดของอิ หม่ามโคมัยนี โดยกล่าวว่า “กุญแจสำคัญ ที่มีความเฉิดฉาย และเป็นที่น่าภาคภูมิใจ ในการอยู่รอดของระบอบนี้ สามารถสรุปได้จากสองคำ (คือ คำว่า) “สาธารณรัฐ” และ “อิสลาม” การประสานกันอย่างลงรอยระหว่ างสองสิ่งนี้ คือกุญแจสู่ความอยู่รอด และไม่ต้องสงสัยเลยว่า สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากองค์ ประกอบทั้งสองนี้ จะอยู่รอด และคงอยู่ต่อไปได้
เพื่อชี้แจงถึงแง่มุมดังกล่ าวจากสุนทรพจน์ของผู้นำสูงสุดฯ เว็ปไซต์ Khamenei.ir ได้ดำเนินการสัมภาษณ์ ดร. ฮามิด พอรซอนิยอ (Dr. Hamid Parsania) รองศาสตราจารย์ ประจำภาควิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยเตหะราน (Tehran University) โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
คำถาม: สำหรับคำถามแรก โปรดอธิบายว่า การปฏิวัติอิสลามอิหร่านแข็ งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ในด้านการเมืองและระหว่ างประเทศได้อย่างไร ท่ามกลางอุปสรรค และแผนการ ซึ่งกำหนดขึ้นโดยศัตรูของการปฏิ วัติอิสลามอย่างกว้างขวาง? กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ แม้จะมีอุปสรรคทั้งหมดในด้านหนึ่ ง รวมถึงการคาดคะเนและการวิ เคราะห์ต่างๆ ของฝ่ายตรงข้ามเกี่ยวกับการล่ มสลาย และการโค่นล้มการปฏิวัติอิ สลามในอีกด้านหนึ่ง ทว่าการปฏิวัติอิสลามยังคงอยู่ รอดมาได้อย่างไร มากกว่า 40 ปี ในขณะเดียวกันที่ต้องยืนหยัดต่ อต้านมหาอำนาจ?
ดร.พาร์ซาเนีย: ในศตวรรษที่ 20 เมื่อการปฏิวัติอิสลามถือกำเนิ ดขึ้น การปฏิวัติอื่นๆ อย่างมากมาย ก็เกิดขึ้นภายในประเทศที่เรี ยกกันว่า ประเทศโลกที่สาม เช่นเดียวกัน (อย่างไรก็ดี) การปฏิวัติส่วนใหญ่ – ที่เกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉี ยงใต้ ละตินอเมริกา และแอฟริกาใต้– ตามสโลแกนและการเคลื่อนไหวในขั้ นต้นของพวกเขาเองนั้น ไม่เพียงแค่ไม่สามารถอยู่รอดต่ อไปได้ แต่ยังมีแนวคิดล่าอาณานิ คมแบบใหม่เกิดขึ้นในบางประเทศด้ วย กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกล่าอาณานิคมออกจากประตูหนึ่ง และเข้ามาใหม่ในอีกประตูหนึ่ง
นอกเหนือจากจากนี้ ในประเทศโลกที่สาม ตามที่เรียกกันนั้น ไม่มีการปฏิวัติใดที่เกิดขึ้น สามารถเรียกว่า เป็นการปฏิวัติภายในประเทศอย่ างแท้จริง แน่นอนว่า การปฏิวัติต่างๆนั้น เกิดขึ้นในประเทศของพวกเขา แต่ทว่าการปฏิวัติเหล่านี้ไม่ ได้ขัดขวาง “ระเบียบโลก” ที่คิดค้นและสร้างขึ้ นในศตวรรษที่ 18 และ 19 โดยมหาอำนาจอาณานิคม การปฏิวัติดังกล่าว เพียงแค่เปลี่ยนสภาพแวดล้ อมทางการเมืองในประเทศของตนเท่ านั้น
ดังนั้น ระเบียบโลกจึงเข้าแทรกแซง เพื่อเผชิญหน้ากับการปฏิวัติ เหล่านั้น โดยดำเนินการเปลี่ยนแปลงตามที่ มันเห็นสมควร อันที่จริง การปฏิวัติเหล่านั้น มีนัยยะเฉพาะในบริบทของระเบี ยบโลกเท่านั้น
เมื่อคุณมีปรากฏการณ์ อาทิ ปรากฏการณ์กลุ่มการเมืองด้ านตะวันออก และตะวันตก ดังนี้แล้ว การปฏิวัติจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อมีลักษณะเฉพาะ และข้อจำกัดที่ถูกกำหนดนิ ยามโดยมหาอำนาจตะวันออก และตะวันตกเท่านั้น หากมิใช่เช่นนั้น ก็จะไม่มีการดำเนินการปฏิวัติใด ที่สามารถบรรลุผลได้ ส่วนใหญ่ของการปฏิวัติเหล่านี้ ซึ่งมุ่งเน้นไปยังแนวคิดแบบมาร์ กซิสต์เป็นส่วนมาก ได้เริ่มต้นและพัฒนาขึ้น เพื่อตอบสนองต่อลัทธิล่าอาณานิ คมของฝ่ายยุโรป พวกเขามีทั้งแนวคิดมาร์กซิสต์ หรือ ลักษณะชาตินิยมบางประการ อย่างไรก็ตาม เมื่อการปฏิวัติดังกล่าวเข้าสู่ ขั้นตอนการปฏิบัติงาน พวกเขากลับพบว่า ตนเองต้องพึ่งพากลุ่มการเมื องตะวันออก
การปฏิวัติทั้งหลาย ซึ่งกำลังถูกก่อกวนอยู่ ในวรรณกรรมการเมืองของโลกนั้น มีนัยยะความหมาย เฉพาะแต่ภายในกรอบความสัมพันธ์ ที่ถูกทำสัญลักษณ์ โดยมหาอำนาจตะวันออก และตะวันตกเท่านั้น ไม่มีแบบอย่างสำหรับการปฏิวัติ ที่จะถือกำเนิดขึ้ นนอกขอบเขตแนวคิดทวินิยมนี้ และที่ซึ่งรากฐานทางอุดมการณ์ ของมัน แตกต่างจากอำนาจเหล่านั้น ทั้งยังไม่มีผู้ใด รู้สึกว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้น และดำรงอยู่ต่อไปได้
ทว่าการปฏิวัติอิสลามกลับถือเป็นข้อยกเว้นสำหรับกระบวนทัศน์นี้ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยตะวันตก –โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา– ภายในภูมิภาคนี้การปฏิวัติอิสลามไม่ได้นิ ยามตนเองบนพื้นฐานของกลุ่มการเมืองตะวั นออกสำหรับกลุ่มการเมืองตะวันตกนั้น ในเบื้องต้น ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการปฏิวั ติอิสลามอย่างจริงจัง
มหาอำนาจในกลุ่มการเมืองตะวันตก ไม่รู้สึกว่า การปฏิวัติ(อิสลาม)ดังกล่าว จะสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างยั่ งยืน พวกเขาเคยคิดว่า ด้วยวิธีการโค่นล้มระบอบการเมื อง อันเนื่องมาจากสถานการณ์ ภายในประเทศ ในที่สุดแล้ว รัฐบาล และระบอบการปกครองอื่นก็ จะมาแทนที่ ดังนั้น ทุกคนจึงคาดการณ์ว่า สภาวะคับขัน และชั่วคราวดังกล่าวจะสิ้นสุ ดลงในหนึ่งหรือสองเดือน หรืออย่างมากที่สุด ก็ภายในหนึ่งปี จากนั้นระเบียบโลกก็จะดำเนินต่ อไปตามปกติ
ขอบเขตต่างๆ ที่คาดการณ์ไว้สำหรับการปฏิวัติ อิสลาม ไม่ได้แตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้ สำหรับประเทศโลกที่สาม ตามที่เรียกกัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหวทางการเมื องที่เป็นอิสระ ซึ่งสามารถท้าทายขั้วอำนาจ และความมั่งคั่งระดับโลกได้ นอกจากนี้ สภาพเศรษฐกิจของประเทศดังกล่าว ย่อมไม่สามารถดำเนินการได้ หากปราศจากการพึ่งพาไปยั งประเทศที่มีอำนาจ
หากเทคโนโลยี และอุตสาหกรรมใดๆ หาหนทางเข้ามาในประเทศโลกที่ สามได้ มันก็มีจุดประสงค์ที่เป็นพาสซีพ และเพื่อผู้บริโภคเท่านั้น ด้วยเหตุผลนี้ จึงไม่มีประเทศใด ซึ่งดำเนินการปฏิบัติอยู่ภายใน และตามระเบียบโลกเป็นเวลา 40 ปี สามารถหลุดพ้นจากกรอบของระเบี ยบที่จัดตั้งขึ้นทั่วโลกได้ นอกจากนี้ พวกเขายังไม่สามารถปฏิบัติ งานได้โดยเป็นอิสระ จากกรอบการทำงานนั้น อันเนื่องมาจากสภาพทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของพวกเขา
อย่างไรก็ตามการปฏิวัติอิสลามได้รับแรงบั นดาลใจมาจากแหล่งที่มาอีกแห่ งหนึ่งเพราะไม่มีการปฏิวัติใดในศตวรรษที่ 20 ที่ได้รับการสนับสนุนจากแหล่งที่ มาของประชาชนในแบบเดียวกันกับที่การปฏิวัติ อิหร่านได้รับกล่าวคือการปฏิวัติ(อิสลาม)ไม่ใช่ ขบวนการกองโจรหรือเป็นการปฏิวัติที่เกิดขึ้นโดยมีสาเหตุมาจากปั ญหาภายในตัวเมืองและชนบทและมันก็ไม่ใช่การปฏิวัติที่หมุ นรอบกลุ่มชนชั้นสูง —เช่นแนวคิดทางการเมืองฝ่ายซ้าย— ไม่มีการปฏิวัติใดๆที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 ที่เป็นการปฏิวัติของประชาชนอย่ างแท้จริงดำรงอยู่ในระดับประเทศอย่างกว้ างขวางแต่การปฏิวัติอิสลาม(อิหร่าน)นั้ นสามารถดึงดูดผู้คนในหมู่บ้านห่ างไกลและผู้คนที่อาศัยอยู่ ในใจกลางเมืองได้
มันเป็นความพยายามที่กว้ างขวางกว่าความพยายามที่เกิดขึ้ นระหว่างการเคลื่อนไหวตามรั ฐธรรมนูญของอิหร่าน แน่นอน ขบวนการตามรัฐธรรมนูญเอง ก็มีแง่มุมที่ได้รับความนิ ยมจากประชาชนอย่างกว้างขวางเช่ นเดียวกันกับการเคลื่อนไหวนั้น แม้แต่ผู้หญิงก็ปรากฏตัวในกิ จกรรมทางสังคมเป็นครั้ งแรกในประวัติศาสตร์ของศาสนาอิ สลามและอิหร่าน อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการปฏิวัติอิสลาม เรื่องนี้เกิดขึ้นในขอบเขตที่ กว้างขวางกว่ามาก เนื่องจากผู้หญิง และผู้ชาย ในวัยที่แตกต่าง และในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ หลากหลาย ได้แสดงความเห็นร่วมกันอย่างเป็ นเอกฉันท์
แง่มุมเกี่ยวกั บประชาชนของการปฏิวัติ(อิสลาม) อิหร่าน เป็นเรื่องที่ไม่มีให้เห็ นในการปฏิวัติอื่นๆ ด้วยความกว้างขวางเช่นนี้ แง่มุมเกี่ยวกั บประชาชนของการปฏิวัติอิ สลามของอิหร่าน กลายเป็นความลับในการอยู่รอด ในช่วงรัฐประหารโนเจห์ (Nojeh Coup) หรือในระหว่างที่อิรั กทำสงครามกับอิหร่าน อิหม่ามโคมัยนี (ขอพระเจ้าประทานความเมตตาแก่ เขา)จึงพูดกับศัตรูอย่างมั่นใจ โดยกล่าวว่า ในที่สุดพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ ากับประชาชน เพราะประชาชนจะไม่ประนี ประนอมแก่พวกเขา
ความเป็นต่อที่เรามีในช่ วงสงครามไม่ใช่อาวุธทางทหารของเราแต่การปรากฏตัวของผู้คนต่างหากคือไพ่แอซ (ไพ่ไม้ตาย) ที่เรามีซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ (เพื่อปราบคู่ต่อสู้) ยิ่งไปกว่านั้น การปฏิวัติอิสลาม มิได้เป็นที่รู้สึก เพียงจากภายในขอบเขตทางภูมิ ศาสตร์เท่านั้น แต่ยังดึงดูดผู้คนจำนวนมากทั่ วโลก และนั่นเป็นอันตรายอย่างร้ ายแรงต่อศัตรู พลังของการปฏิวัติ(อิสลาม) อยู่ในแหล่งที่มาของการสนับสนุ นจากประชาชน และสิ่งที่รับประกันการสนับสนุ นของประชาชนนี้ก็คือ วัฒนธรรมที่ครอบงำอยู่ในโลกอิ สลามอันกว้างใหญ่
การปฏิวัติอิสลามมีชีวิตได้ ด้วยกับอัตลักษณ์ของอิสลาม ทั้งยังตอบสนองต่อความต้ องการทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และอารยธรรมในโลกของอิสลาม นั่นคือเหตุผล ที่วัฒนธรรมนั้น มีอิทธิพลอย่างมากต่อชีวิตของผู้ คน ประเด็นดังกล่าวทำให้ศัตรูต้ องตั้งท่า เพราะอิหร่านแข็งแกร่งขึ้ นจากภายใน และดึงดูดผู้คนในภูมิภาค ทั้งยังเปลี่ยนแปลงทิ ศทางของการต่อต้าน
การสันนิษฐานก็คือ ข้อตกลงแคมป์เดวิดได้แก้ ไขความขัดแย้ง นำไปสู่การที่อิสราเอลนั่งร่ วมบนโต๊ะเจรจากับทุกคนที่ยึ ดอาวุธต่อต้านมัน— (ณ ที่นี้ หมายถึง) กลุ่มชาตินิยมอาหรับ อย่างไรก็ตาม การปฏิวัติอิสลามได้เปลี่ ยนสมการทั้งหลาย และกลายเป็นหั วหอกของขบวนการใหม่ และพลวัตใหม่ในปาเลสไตน์ แต่คราวนี้ การเคลื่อนไหวไม่ได้หมุ นรอบแนวความคิดแบบชาตินิยมอาหรั บ หรือรอบ ๆ วรรณกรรมฝ่ายซ้ายของแนวคิดมาร์ กซิสต์ แต่ถูกหล่อหลอม โดยแนวความคิดอิสลาม และมันยังได้รับประโยชน์จากศั กยภาพอย่างมหาศาล
ปัญหานี้นำไปสู่การเผชิญหน้ากั นอย่างจริงจังในระดับโลก และในทางกลับกัน ได้ให้การหนุนหลังที่แข็งแกร่ งสำหรับการปฏิวัติ—นั่นคื อการสนับสนุนจากประชาชน พวกเขาคือ ผู้คนที่เติบโตอยู่ ในใจกลางของวัฒนธรรมอิสลาม ซึ่งในหลักการแล้วมีพื้ นฐานมาจากธรรมชาติของมนุษย์ ส่วนหนึ่งของธรรมชาตินี้ มาจากการเรียกร้องความยุติ ธรรมของการปฏิวัติ ในขณะที่มันท้าทายระเบียบที่ไม่ สมดุลและโหดร้ายในโลก ทำให้เกิดสนามแม่เหล็ก สำหรับการเคลื่อนไหวของการปฏิวั ติ ซึ่งพูดตามศาสนา ในส่วนของโลกที่ไม่ใช่อิสลาม และสิ่งนี้แสดงออกโดยตัวมันเอง จนถึงขอบเขตที่มันได้ท้ าทายการตีความศาสนาในระดับสั งคมวิทยาเป็นอย่างมาก
คำถาม: ผู้นำการปฏิวัติอิสลามชี้ให้เห็ นถึงบทบาทของ “สาธารณรัฐ” ในมุมมองทางการเมืองของอิหม่ ามโคมัยนี (ขอพระเจ้าประทานพระเมตตาแก่ท่ าน) และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของอิ หม่ามเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม และความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างลึ กซึ้งที่มีต่อประชาชน ในฐานะแหล่งที่มาของการสนับสนุน การดำเนินการเอาทฤษฎีสาธารณรั ฐอิสลามมาปฏิบัติ ใช้ โปรดอธิบายบทบาทของการเลือกตั้ง ในการตระหนักถึงมุ มมองของสาธารณรัฐในการปฏิวัติ
ดร.พาร์ซาเนีย: ในการปฏิวัติอิสลาม คำว่า “อำนาจ” ไม่ได้ถูกนิยามให้สัมพันธ์กั บอำนาจ และรัฐทั้งหลาย ที่ครอบงำโลก ในขณะที่การปฏิวัติอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้น อำนาจและอัตลักษณ์ดังกล่าว ถูกสร้างและกำหนดนิยาม โดยสัมพันธ์กับมหาอำนาจโลก
ในการปฏิวัติอิสลาม อำนาจมาจากประชาชน โดยหลักการแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนกั บการปฏิวัติมีความสำคัญ โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรม และการใช้เหตุผลทางสติปัญญา ซึ่งหมายความว่า หากอิสลาม ในฐานะศาสนา ไม่ได้มีปรากฏอยู่อย่างเข้มข้ นในชีวิตของประชาชน (ของอิหร่านในกรณีนี้) หรือหากศาสนาอิสลาม ไม่เคยเน้นย้ำ ถึงการมีส่วนร่วมของประชาชน ในประเด็นทางการเมืองและสังคม) หรืออิสลามเอง ไม่มีการอ้างสิทธิ์ทางสังคม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ และหากมี มันจะไม่ทำให้ภาระหน้าที่นี้ มีขึ้นกับผู้คนในการแสดงสถานะนี้ ความสัมพันธ์นี้ก็ย่อมจะไม่ได้ รับการส่งเสริม
ดังนั้น รากนี้จึงมีอยู่ ในคำสอนของศาสนาอิสลาม เช่นเดียวกัน โดยแก่นแท้แล้ว ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่เกี่ ยวข้องกับสังคม เพราะในหลักการแล้ว ศาสนา(อิสลาม) ไม่อาจหลีกเลี่ยง การเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสั งคมได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ศูนย์กลางของคำสอนทางศาสนา(อิ สลาม)นั้น ไม่ได้เป็นเซคิวลาร์ (ซึ่งแยกศาสนาออกจากการเมือง) และมันเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในโลก ดังนั้นโลกนี้ จึงเป็นภาพสะท้อนของสัญลักษณ์อั นศักดิ์สิทธิ์ และสัจธรรมอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับศาสนา และยึดมั่นในแนวทางซึ่งข้องเกี่ ยวกับศาสนา เมื่อคำนึงถึงโลกและมนุษยชาติ จึงไม่อาจกำหนดนิยามส่วนใดส่ วนหนึ่งของชีวิตตนเอง อื่นไปจากจากความรู้ดังที่ว่ ามาได้
แม้ว่าเขา/เธอไม่ต้องการมี สถานะทางการเมืองอย่างแข็งขัน อย่างไรก็ตาม การไม่แสดงสถานะทางการเมื องของเขา/เธอ ก็จะต้องมีการให้เหตุผล ด้วยสาเหตุนี้เอง ตราบใดที่วัฒนธรรมทางศาสนายั งปรากฏอยู่อย่างจริงจังในโลก ยกเว้นในโลกสมัยใหม่ พวกเขาให้เหตุผลกั บอำนาจทางการเมืองของตน ตามหลักการศาสนา(อิสลาม) เพราะแง่มุมทางศาสนา(อิสลาม)เรี ยกร้องสิ่งนี้จากพวกเขา
แน่นอน แง่มุมทางศาสนา เรียกร้องให้แง่มุม ต่างๆ ของชีวิตทำการนิยามความสัมพันธ์ ของมันกับสัจธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ และที่เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า และจากนั้น อิสลามชี้แจงเกี่ยวกับศาสนาแห่ งพระผู้เป็นเจ้านี้ ด้วยสโลแกนของมันเอง
ศาสนาได้ชี้แจงเรื่องเหล่านี้: การปกป้องความยุติธรรม ความอ่อนไหวต่อผู้อื่น การพัฒนาทางอารมณ์ ความผูกพันกับอิสลาม และครอบครัว ฯลฯ ทั้งหมด ล้วนมีเอกลักษณ์ทางศาสนา และถูกตีความอยู่บนพื้ นฐานของศาสนา การเข้าร่วมกับผู้อื่น จากมุมมองทางสังคม ก็สามารถมีเหตุผลทางศาสนาได้เช่ นกัน อันที่จริง อิหม่ามโคมัยนี ได้รับประโยชน์จากแง่มุ มทางศาสนา ในศาสนาอิสลามและอิหร่าน และเสริมสร้างความสัมพันธ์ของมั นกับผู้คน
จากมุมมองทางศาสนา จักรวาลทั้งหมดมุ่งไปที่พระเจ้า กล่าวอีกนัยหนึ่ง ระบบชีวิตถูกกำหนดด้ วยพระประสงค์ของพระเจ้า และมันคือเหตุผลของมนุษย์ และการวิวรณ์จากพระองค์ ที่ทำความเข้าใจ และชี้แจงพระประสงค์ของพระเจ้ านี้ ดังนั้น มุมมองอิสลาม จึงเป็นตั วกำหนดความชอบธรรมของระบบ แต่ภายในกรอบศาสนาเดียวกันนี้ ประเด็นนี้ เน้นว่าชีวิตปัจเจกบุคคล และชีวิตทางสังคมของผู้คน ก็จะต้องได้รับการตระหนักรู้ ผ่านความมุ่งมั่นโดยสำนึก และความคิดของตนเองเช่นกัน
แม้ว่าความชอบธรรมจะมาจากพระเจ้ า ผู้ทรงฤทธานุภาพ แต่ความเป็นจริงของเรื่องนี้ เกิดขึ้นพร้อมกับการปรากฏของผู้ คน ดังนั้น หากผู้ใดก็ตาม แสวงหาการเสริมสร้าง และช่วยเหลือศาสนาแล้ว เขาย่อมไม่ สามารถละเลยบทบาทของผู้คนได้ พวกเขาควรส่งเสริมทัศนะของตน แต่ควรให้ความสนใจกับองค์ ประกอบนี้ที่ว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงสถิตอยู่ในชี วิตของผู้คน สำนึกร่วม (ซึ่งเกิดจากความมุ่งมั่ นโดยตนเอง) ของผู้คน มีความสำคัญต่อการเชื่อมนัยยะที่ มีความหมาย ไปยังเรื่องนี้ หากผู้คนไม่ยอมรับสิ่งนี้ คุณควรรู้ว่ามันไม่ได้อยู่ ในขอบเขตของอำนาจของคุณ ในการส่งเสริมศาสนา
อันที่จริง ศาสนาขึ้นอยู่กับการปรากฏของผู้ คนในแง่ของการตระหนักรู้ร่วมกั นในสังคม ไม่ใช่ในแง่ของความชอบธรรม อิหม่ามอาลี (อ.) กล่าวกับมาลิก อัลอัชตาร์ว่า
“สามัญชนในชุมชนเป็นเสาหลั กของศาสนา เป็นพลังของมุสลิม และเป็นการป้องกันไปยังศัตรู ดังนั้นคุณควรเอนเอี ยงไปทางพวกเขา และให้ความชอบของคุณอยู่กั บพวกเขา” [นะฮ์ยุลบะลาเฆาะฮ์ จดหมายที่ 53]
มวลชนเป็นเสาหลักของศาสนา หากการละหมาดทุกวันเป็นเสาหลั กของศาสนา การมีส่วนร่วมของประชาชนก็เช่ นเดียวกัน เสาหลักของศาสนาขึ้นอยู่กั บการปรากฏของผู้คน นั่นคือเหตุผลที่บรรดาศาสดา(อ.) จึงส่งเสริมคำสอนของพวกเขา ในหมู่ผู้คน หากผู้คนไม่ตอบรับการเชิ ญชวนของพวกเขา เป้าหมายของบรรดาศาสดา ก็จะไม่บรรลุผล
อิหม่ามอาลี (อ.) กล่าวสิ่งนี้กับมาลิก อัลอัชตาร์ ระหว่างดำรงตำแหน่งคอลีฟะฮ์ ในคราวที่การมีส่วนร่วมของผู้ คนถูกสำแดงอย่างสมบูรณ์ หน้าที่ของตัวแทน และบรรดาศาสดาของพระเจ้า จึงถูกเติมเต็ม
พระเจ้ามีบัญชาให้ผู้คงแก่เรียนทำหน้าที่ของตนแต่ข้อกำหนดสำหรับสิ่งนั้นคือความร่วมมือของผู้คนเราควรให้ความสนใจว่าความเป็นไปได้ในการปฏิบัติ ตามศาสนานั้นขึ้นอยู่กับการปรากฏ (มีส่วนร่วม) ของผู้คน ผู้นำการปฏิวัติอิสลามให้ ความสำคัญกับเรื่องนี้โดยอธิบายมันในฐานะ ประชาธิปไตยในกรอบศาสนา [Religious democracy] ทำไมหรือ? เขาใช้คำนี้เพื่อจำแนกแยกแยะมั นออกจากประชาธิปไตย [ประชาธิปไตยแบบตะวันตก/ Western democracy]
คำว่า “ประชาธิปไตย” เป็นการรวมกันของคำสองคำ: “demo” (มวลชน) และ “cracy” (อำนาจ) ในระบอบประชาธิปไตย ความชอบธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่ งดำรงอยู่สูงสุด และสัจธรรมสูงสุด แต่ความชอบธรรมนั้นขึ้นอยู่กั บผู้คนที่อยู่ที่นั่น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ผู้คนคือผู้ดำเนินการระบบ และเป็นสัจธรรมที่กำหนดนิยามแก่ มัน อย่างไรก็ตาม ในระบอบประชาธิปไตยในกรอบศาสนา ความชอบธรรมมีตรรกะ ความเข้าใจ เหตุผลและข้อผูกมัดของมันเอง
การดำเนินการของประชาธิ ปไตยในกรอบศาสนา เป็นไปได้ โดยการอธิบายสัจธรรมในจิตใจ และการกระทำของผู้คน คุณลักษณะที่มีอยู่ในอิหม่ ามโคมัยนี (ขอพระเจ้าประทานสวรรค์ให้กั บเขา) คือ ความตระหนักรู้ของเขา เกี่ยวกับพัฒนาการของเวลา และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งที่ เขามีเกี่ยวกับวั ฒนธรรมทางศาสนาของผู้คน ในขณะที่เขาพยายามส่งเสริ มความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับผู้ คน และจัดตั้งทฤษฎีสาธารณรัฐอิสลาม และบรรลุทั้งสองอย่างร่วมกัน
______
Source: khamenei.ir