น้ำตาแด่ยูเครน คว่ำบาตรแด่รัสเซีย หาวให้เยเมน ติดอาวุธให้ซาอุฯ: วิพากษ์ความสองมาตรฐานของชาติตะวันตก

432

ฮัจจาห์ เยเมน – “เราถูกทิ้งระเบิดอย่างไร้ความปราณีทุกวัน  แล้วทำไมโลกตะวันตกจึงไม่สนใจใยดี เหมือนที่พวกเขาเป็นกับกรณียูเครน?!!… เพราะเราไม่มีผมสีบลอนด์และตาสีฟ้าเหมือนชาวยูเครนใช่ไหม?”  อะฮ์หมัด ทามรี พ่อลูกสี่ชาวเยเมน ขมวดคิ้วถามถึงการสนับสนุนของนานาชาติ และการรายงานข่าวของสื่อเกี่ยวกับการรุกรานยูเครนของรัสเซีย และการขาดปฏิกิริยาต่อสงครามในเยเมน

ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สมาชิกในครอบครัวของทามรี ถูกสังหาร และญาติอีก 9 คนได้รับบาดเจ็บ เมื่อบ้านของครอบครัวของพวกเขาตกเป็นเป้าหมายในการโจมตีทางอากาศของกลุ่มแนวร่วม ที่นำโดยซาอุดีอาระเบีย ในพื้นที่อัล-ซัคฟ์ ถิ่นทุรกันดารในเขตผู้ว่าการฮัจจาห์ ทามรีกล่าวว่า อัล-ซัลฟ์อยู่ภายใต้แคมเปญทิ้งระเบิดที่โหดร้ายของซาอุดิอาระเบียในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา — ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่โหดร้ายยิ่งกว่าทั้งหมดที่ยูเครนต้องทุกข์ทน นับตั้งแต่มันถูกรุกรานโดยรัสเซีย

แม้จะมีแคมเปญทิ้งระเบิดอย่างน่าสะพรึงกลัวต่อพลเรือนชาวเยเมน แต่การละเมิดสิทธิมนุษยชน และอาชญากรรมสงครามของซาอุดีอาระเบียที่มีต่อพวกเขา กลับไม่ได้ถูกรวบรวมไว้ในระดับของการรายงานข่าว และการแสดงความเห็นอกเห็นใจใดๆ ที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่สื่อกระแสหลักในเครือตะวันตก ได้มอบให้กับยูเครนอย่างชอบธรรม “พวกเขาหลั่งน้ำตาให้กับชาวยูเครน และเพิกเฉยต่อโศกนาฏกรรมของเรา… ช่างกลับกลอก และเหยียดเชื้อชาติ!”  ทามรีบอกกับ MintPress News

ชาวเยเมนถามถึงสิ่งที่ชัดเจน

ในขณะที่ประเด็นการรุกรานยูเครนของรัสเซียดำเนินต่อไปจนถึงวันที่หก การสนับสนุนที่ล้นหลามต่อชาวยูเครนยังคงปรากฏให้เห็นทั่วโลกตะวันตก สหรัฐอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย และตะวันตกโดยทั่วไป ได้กำหนดให้มีการคว่ำบาตรอย่างรุนแรงต่อรัสเซีย ท่ามกลางการเจรจาฉุกเฉินอย่างลุกลี้ลุกลน ณ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ

ความรวดเร็วในการตอบโต้ของตะวันตก — ซึ่งรวมถึงการแบนรัสเซียจากเครือข่ายการธนาคารระหว่างประเทศSWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication) และการเรียกร้องให้ปฏิบัติต่อชาวรัสเซียในฐานะ “คนนอกคอก” (pariahs) ในเวทีด้านการกีฬา ด้านวัฒนธรรม และแม้แต่ด้านวิทยาศาสตร์ — เป็นปัจจัยที่ทำให้ชาวเยเมน ผู้ซึ่งทุกข์ทนกับปฏิบัติการทิ้งระเบิดอย่างไม่ลดละ การปิดล้อมทางอากาศ ทางบก และทางทะเล เป็นเวลา 2,520 วันติดต่อกัน ต้องเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ

ตั้งแต่วันพฤหัสบดี เมื่อกองกำลังรัสเซียเริ่มโจมตียูเครนในวงกว้าง กลุ่มพันธมิตรที่นำโดยซาอุดีอาระเบีย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ได้เปิดตัวการโจมตีทางอากาศในเยเมนมากกว่าที่รัสเซียปฏิบัติในยูเครน

ในเมืองฮัจจาห์ จังหวัดที่ถูกล้อมรอบด้วยปืนใหญ่ของซาอุดิอาระเบีย เครื่องบินรบของแนวร่วมที่นำโดยซาอุดิอาระเบียได้เปิดฉากการโจมตีทางอากาศมากกว่า 150 ครั้งในเมืองฮารัดห์, เฮราน, อับส์ และมุสตาบ สังหารพลเรือนหลายราย รวมทั้งพ่อของผู้เสียชีวิต 6 รายในช่วงสุดสัปดาห์ โดยที่โดรนของซาอุดิอาระเบียได้กำหนดเป้าหมายไปยังรถยนตร์ของเขา ขณะเดินทางระหว่างชาฟาร์ และตลาดคามิส อัลวาฮัท

นับตั้งแต่ที่การบุกรุกของรัสเซียเข้าไปยังยูเครนเริ่มต้นขึ้น พลเรือนหลายสิบคน รวมทั้งผู้อพยพชาวแอฟริกันจำนวนหนึ่ง ถูกสังหารและได้รับบาดเจ็บหลายร้อยคน จากการโจมตีโดยกองปืนใหญ่ และการโจมตีทางอากาศของซาอุดีอาระเบียในจังหวัดซาดา ที่มีประชากรหนาแน่นของเยเมน ซึ่งถูกประกาศให้เป็นเขตทหารโดยซาอุดีอาระเบียเมื่อครั้งเริ่มต้นปฏิบัติการทางทหารในเดือนมีนาคม 2015

ขณะที่กล้องของสำนักข่าว และการประท้วงเพื่อแสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันต่างพากันเพ่งความสำคัญ และมอบความเห็นอกเห็นใจที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อพลเรือนชาวยูเครน ในขณะเดียวกัน ที่กรุงซานา ประเทศเยเมน ก็กลายเป็นเสมือนเรือนจำขนาดใหญ่ สำหรับผู้อยู่อาศัย และผู้ลี้ภัยมากกว่าสี่ล้านคนในเมือง ต้องยกเครดิตให้กับการปิดล้อมนำโดยซาอุดิอาระเบีย – เครื่องบินรบทิ้งระเบิดลงในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น รวมทั้งสนามบิ

มีการเปิดตัวการโจมตีทางอากาศเพิ่มเติมอีก 160 ครั้ง ในจังหวัดมาริบ, อัล-เญัฟ, อัล-บัยดา, ตาอิซ นาจราน และโฮเดดา ซึ่งเป็นทางเข้าหลักสำหรับการขนส่งสินค้าเชิงพาณิชย์ และความช่วยเหลือสู่เยเมน ประเทศที่เผชิญกับความอดอยากจากฝีมือมนุษย์ (the worst man-made famine) ที่เลวร้ายที่สุดในศตวรรษที่ 21

ในความเป็นจริง ดูเหมือนว่าระบอบการปกครองของซาอุดิอาระเบียกำลังใช้ประโยชน์จากสื่อที่ไขว้เขว ในการเพิ่มการโจมตีไปยังเป้าหมายที่อ่อนไหวจำนวนหนึ่งตามแนวชายแดนเยเมน-ซาอุดิอาระเบีย และเสริมความแข็งแกร่งในการยึดครองเขตผู้ว่าการอัลมาห์รา

สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ราชาธิปไตยน้ำมันรายใหญ่อีกรายหนึ่ง ที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตก ซึ่งกำลังครอบครองเยเมน เช่นเดียวกันนั้นกำลังฉวยโอกาส โดยได้ดำเนินการเร่งรัดโครงการ เพื่อเปลี่ยนแปลงข้อมูลประชากรบนเกาะ Socotra อันทรงคุณค่า โดยแทนที่ชาวบ้านท้องถิ่น ด้วยผู้ตั้งถิ่นฐานที่เห็นพ้องกับนโยบายของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มากกว่า  และในขณะที่สหรัฐอเมริกา เตรียมจัดส่งอาวุธและความช่วยเหลือทางทหารจำนวนมหาศาลให้กับ “นักสู้เพื่ออิสรภาพ” ของยูเครน เพื่อป้องกันการรุกรานของรัสเซีย — “กบฏ” เยเมน ก็ยิงโดรน MQ9-1 ที่ผลิตในอเมริกา ซึ่งบินโดยสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในอัล-จาฟ และโดรน Boeing Insitu ScanEagles ที่ผลิตในอเมริกา อีก 2 ลำในเมืองมาริบและฮัจจาห์

ขณะที่ประเทศต่างๆ ซึ่งได้ใช้เวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา สร้างกำแพงอย่างจริงจัง และเป็นรูปเป็นร่างเพื่อกีดกันผู้ลี้ภัยผิวสีน้ำตาล และผิวสีดำ ที่หลบหนีความรุนแรง และการรุกรานจากต่างชาติในดินแดนของตน มิให้เข้ามาในประเทศ — ได้อ้าแขน เปิดบ้าน และหัวใจของพวกเขาแก่ผู้ลี้ภัยชาวยูเครน ในเวลาเดียวกันนั้น ซาอุดีอาระเบียได้ปลดปล่อยกองกำลังทหารรับจ้างเยเมนในบ้านเกิด ด้วยกับสัญญาจะมอบกรีนการ์ดของซาอุดิอาระเบีย และความปลอดภัยแก่ครอบครัวของพวกเขา หากพวกเขาหันไปรบกับเพื่อนร่วมชาติของตนเอง

ชื่อที่น่าขันของกองกำลังดังกล่าว คือ “กองกำลังเยเมนแห่งความสุข” หน่วยนี้ถูกจัดตั้งอย่างสมบูรณ์ในปลายปี 2021 ตามที่อ้างจากเอกสารทางทหารที่รั่วไหล โดยหน่วยนี้ ได้รับมอบอำนาจให้รักษาชายแดนของซาอุดิอาระเบียกับเยเมนและรับรองความปลอดภัยของซาอุดิอาระเบีย เพื่อแลกกับกรีนการ์ดและการเข้าถึงบริการทางสังคมของซาอุดิอาระเบีย  ที่มาพร้อมกับมัน

หากเราจะเปรียบเทียบ

ในแง่ของการสูญเสีย โศกนาฏกรรมในเยเมน มีชีวิตมนุษย์ เป็นราคา ที่ต้องสังเวยให้แก่สงครามร้ายแรงกว่าในกรณีของยูเครนเป็นอย่างมาก ตามการรายงานของเจ้าหน้าที่ยูเครน มีชาวยูเครน 325 คน รวมถึงเด็ก 14 คน เสียชีวิตอย่างน่าสลดใจ ขณะที่สงครามในเยเมน ลุกเป็นไฟ และโหมกระพืออย่างต่อเนื่อง มานานกว่า 6 ปีแล้ว อีกทั้งตัวเลขยอดผู้เสียชีวิต ก็ค่อนข้างน่าตกใจ ตั้งแต่ปี 2015 ยอดผู้เสียชีวิตได้เพิ่มขึ้นถึงประมาณ 400,000 คน รวมถึงเด็กอีก 3,900 คน

การเสียชีวิตเหล่านั้น ประกอบด้วยการโจมตีพลเรือน อย่างร้ายแรง จนมันได้รับความสนใจชั่วคราวจากสื่อมวลชน แต่แน่นอนว่าไม่มีการคว่ำบาตร การประณามจากนานาชาติเพียงเล็กน้อย หรือแม้แต่การยุติความช่วยเหลือทางทหารและการสนับสนุนไปยังผู้กระทำความผิด — การระเบิดโรงเรียน งานศพ ห้องโถงจัดงานแต่งงาน ค่ายผู้ลี้ภัย และแม้แต่รถโรงเรียนที่เต็มไปด้วยเด็ก ๆ ซึ่งตกเป็นเป้าหมายของอาวุธยุทโธปกรณ์ขั้นสูงสุดของสหรัฐฯ ตามที่มีการเสนอให้ ยังไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นปฏิกิริยาต่างๆ อย่างที่ยูเครนได้รับภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์

ตั้งแต่ปี 2015 เครื่องบินรบของแนวร่วมที่นำโดยซาอุดิอาระเบีย ได้โจมตีเยเมนด้วยการโจมตีทางอากาศมากกว่า266,000 ครั้ง ตามรายงานของห้องปฏิบัติการกองทัพเยเมน ซึ่งบันทึกการโจมตีทางอากาศต่อเป้าหมายพลเรือนและทางทหาร โดย  70 เปอร์เซ็นต์ของการโจมตีเหล่านั้น พุ่งเป้าหมายโจมตีไปยังพลเรือน  ควัน เศษหินหรืออิฐที่กระจุยกระจาย ซึ่งพบเห็นได้ในยูเครนขณะนี้ คือ สภาพที่เป็นอยู่ในเยเมนมานานหลายปี โดยสื่อตะวันตกมักพิจารณาถึงภาพที่ปรากฏในสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นของเยเมน อาทิ ภาพผู้ปกครองดึงชิ้นส่วนของลูกๆ ออกจากซากปรักหักพังในบ้าน  หรือโรงเรียน ในฐานะภาพที่กราฟิคเกินไปสำหรับจะนำมาเผยแพร่

สิ่งอำนวยความสะดวก และการบริการต่างๆ ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของเยเมนหลายพันแห่ง เช่น โรงงานสถานที่เก็บอาหาร เรือประมง ตลาดอาหาร และเรือบรรทุกน้ำมัน ถูกระเบิดโดยแนวร่วมซาอุดิอาระเบีย ที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตก  โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ รวมถึงสนามบิน ท่าเรือ สถานีไฟฟ้า ถังเก็บน้ำ ถนนและสะพานและโรงเรียน ทุ่งเกษตรกรรม และศาสนสถานอีกนับไม่ถ้วน ถูกทำลายหรือทำให้เสียหาย

การปิดล้อมและการโจมตีทางอากาศในโรงพยาบาลของซาอุดิอาระเบียได้ทำให้ระบบสุขภาพของเยเมนพิการ ส่งผลให้ไม่สามารถจัดการได้ แม้แต่กับความต้องการด้านสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน และทำให้สถานอำนวยความสะดวกและบริการ 300 แห่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในประเทศแทบจะทำงานไม่ได้ ในขณะที่ไวรัส COVID-19 แพร่กระจายเหมือนไฟป่า

ขณะที่การประณามการรุกรานของรัสเซียยังคงดำเนินต่อไป รัฐบาลตะวันตกได้ส่งชุดความช่วยเหลือจำนวนมากไปยังยูเครน และแคมเปญโซเชียลมีเดียก็เติมเต็มช่องว่าง – ในขณะที่ในเยเมน สหประชาชาติกลับประกาศว่า ภายในเดือนมีนาคม มีแนวโน้มจะลดความช่วยเหลือให้แก่ประชากร 8 ล้านคนในประเทศ ที่ถูกเรียกว่า บ้านของวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่สุดในโลก  ความไม่มั่นคงด้านอาหารของครัวเรือนในเยเมนอยู่ที่กว่า 80%  เกือบ 1 ใน 3 ของประชากรไม่มีอาหารเพียงพอที่จะสนองความต้องการทางโภชนาการขั้นพื้นฐาน  เด็กที่มีน้ำหนักน้อยและแคระแกร็นได้กลายเป็นภาพที่เห็นได้เป็นปกติ และสิ่งที่แย่ที่สุดยังมาไม่ถึง เนื่องจากการรุกรานของรัสเซียทำให้ราคาน้ำมันและอาหารสูงขึ้น และเงินทุนด้านมนุษยธรรมก็เริ่มแห้งเหือด ตามรายงานของโครงการอาหารโลกของสหประชาชาติ (UN World Food Programme)

การเลือกประณามการรุกราน

ในเดือนมีนาคม 2015 มากกว่า 17 ประเทศ นำโดยราชวงศ์ที่ร่ำรวยน้ำมันแห่งซาอุดิอาระเบีย ได้เปิดฉากการรุกรานทางทหารของเยเมน รัฐอธิปไตย และสมาชิกของสหประชาชาติ  เห็นได้ชัดว่า สงครามเริ่มต้นขึ้นเพื่อฟื้นฟูประธานาธิบดี อับดุลร็อบบุฮ์ มันศูร ฮาดี สู่อำนาจ หลังจากที่เขาถูกขับออกจากตำแหน่งหลังจากการประท้วงที่ได้รับความนิยม ท่ามกลางกระแสอาหรับสปริง

ภายในวันที่ 26 มีนาคมของปีนั้น แนวร่วมที่นำโดยซาอุดิอาระเบีย ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางทหารและทางการทูตจากสหรัฐอเมริกา ก็เริ่มต้นปฏิบัติการทิ้งระเบิดที่คร่าชีวิต ทำให้พิการ และทำลายโดยไม่เลือกปฏิบัติต่อเนื่องเป็นเวลา 7 ปี  — ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นเผด็จการที่กดขี่มากที่สุดในโลก ไม่เพียงแต่บีบฮาดีให้กลับเข้าสู่อำนาจภายใต้หน้ากากเพื่อปกป้องประชาธิปไตย เท่านั้น แต่ยังได้ครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่ทางตอนใต้ของเยเมน ตั้งแต่อัลมาฮาราไปจนถึงช่องแคบบาบ อัลมันดาบ

นักข่าว นักเคลื่อนไหว และนักการเมืองชาวเยเมนถูกทิ้งให้ไตร่ตรองถึงสาเหตุที่ทำไมรัฐบาลตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝ่ายบริหารของไบเดน ประณามรัสเซียที่บุกรุกยูเครนภายใต้ข้ออ้างเรื่องความมั่นคงของชาติ ขณะเดียวกันก็ปกป้อง “สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย” ของระบอบซาอุดิอาระเบีย ในการบุกเยเมนภายใต้ข้ออ้างเดียวกัน

แม้จะมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างโหดร้าย ซึ่งดำเนินการโดยซาอุดีอาระเบียในเยเมน ประเทศตะวันตกทั้งหลาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐอเมริกา ไม่เพียงแต่มอบอาวุธสังหาร การฝึกอบรม การบำรุงรักษา การสนับสนุนด้านข่าวกรอง และการปกปิดทางการเมืองและการทูตแก่ราชวงศ์ซาอุฯ เท่านั้น แต่พวกเขายังได้กำหนดข้อจำกัดแก่สื่อต่างๆ ในการรายงานข่าวการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลซาอุฯ ในเยเมน และกดดันบริษัทเทคโนโลยี และโซเชียลมีเดียให้ยกเลิกแพลตฟอร์ม บล็อก และแบนนักเคลื่อนไหว ประเด็นเยเมน และสื่อต่างๆ ที่วิพากษ์วิจารณ์สงครามอย่างเด็ดขาด อีกด้วย

ในขณะที่สื่อกระแสหลักในเครือตะวันตกให้การรายงานข่าวที่สดใสแก่ชาวยูเครนที่ต่อต้านผู้รุกรานและผู้ยึดครองจากต่างประเทศ – โดยมีผู้นำตะวันตกคอยปรบมือให้กับความแน่วแน่และการต่อต้านของชาวยูเครน ทั้งยังส่งความช่วยเหลือ อาวุธ และการสนับสนุนทางศีลธรรมแก่ชาวยูเครน — พวกเขากลับระบุว่า ชาวเยเมนที่ลุกขึ้นจับอาวุธ เป็นผู้ก่อการร้ายและกำหนดเป้าหมายไปยังชาวเยเมนเหล่านี้ด้วย สมาร์ทบอมบ์ และโดรนจู่โจมที่ผลิตโดยอเมริกา ชาวเยเมนที่ยึดอาวุธต่อต้านการบุกรุกกองกำลังซาอุดิอาระเบียและเอมิเรตส์ถูกคว่ำบาตรและถูกไสไล่ส่งในฐานะพร็อกซีของอิหร่าน โดยสถาบันสื่อเสรีที่อ้างว่ายืนหยัดต่อต้านสงคราม

เมื่อวันจันทร์ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ขยายเวลาแบนการขนส่งอาวุธและการเดินทางไปยังกองกำลังเยเมน  มติดังกล่าว ทำการประณามอย่างรุนแรงต่อสิ่งที่เรียกว่าการโจมตีข้ามพรมแดนโดย “ฮูซี” ซึ่งเป็นคำที่เสื่อมเสีย สำหรับใช้อ้างถึงกลุ่มอันศอรัลลอฮ์ กองกำลังที่ใหญ่ที่สุดเพียงกลุ่มเดียว ที่ท้าทายการรุกรานและการยึดครองของซาอุดิอาระเบีย  มันยังประณาม “การโจมตีในซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์” ที่อ้างว่า เป็นการโจมตีด้วยขีปนาวุธและโดรนของอันศอรัลลอฮ์ ที่สนามบินและคลังเก็บน้ำมันแนวร่วมพันธมิตรที่นำโดยซาอุดีอาระเบีย

ในการแสดงความเห็นเกี่ยวกับมติดังกล่าว ซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ปฏิเสธที่จะประณามรัสเซียต่อการรุกรานยูเครน โดยหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียสำหรับการบุกเยเมน ผู้นำอันศอรัลลอฮ์ โมฮัมเหม็ดอัล-ฮูซี ได้ร้องของ่ายๆ หนึ่งอย่างนั่นคือ: การกำหนดเป้าหมายโดยเจตนาของซาอุดีอาระเบียไปยังพลเรือนในเยเมนจะต้องนำไปสู่การแบนอาวุธของซาอุดิอาระเบีย  โดยพื้นฐานแล้ว อัล-ฮูซี ได้ขอให้มีการยกความเป็นสองมาตรฐานออกไป ซึ่งเห็นได้ชัดว่า เป็นคำขอที่เป็นไปไม่ได้ในบรรยากาศทางการเมืองในปัจจุบั

_______________

แปลและเรียบเรียงจากบทความเชิงสืบสวน (investigation) เขียนโดย Ahmed AbdulKreem นักข่าวชาวเยเมนในกรุงซานา เขาทำข่าวเกี่ยวกับสงครามให้กับสำนักข่าว MintPress เช่นเดียวกับสื่อท้องถิ่นในเยเมน

source:

https://www.mintpressnews.com/