การทำความเข้าใจอย่างสมบูรณ์และถูกต้องเกี่ยวกับศาสนาอิสลามนั้น ต้องอาศัยการอ้างอิงแหล่งข้อมูลและเนื้อหาต้นฉบับของศาสนานี้ ศาสนาอิสลามมีลักษณะเฉพาะและแง่มุมต่าง ๆ ที่กว้างขวาง ซึ่งแต่ละแง่มุมนั้นต้องการคำอธิบายอย่างละเอียด อย่างไรก็ตาม อันดับแรก
เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานและองค์ประกอบเริ่มต้นของเนื้อหาและส่วนประกอบต่าง ๆ ของมัน ดังนี้
การทำความเข้าใจความหมายของ “อิสลาม”
คำว่า “อิสลาม” (اسلام) ในทางภาษา มาจากรากศัพท์ «س. ل. م»[1] ซึ่งหมายถึง ความปลอดภัย สันติ[2], หัวข้อ “سلم”.) การหลีกเลี่ยงจากข้อบกพร่องและความเสื่อมเสีย , การเชื่อฟัง และการยอมจำนนโดยสมบูรณ์.[3]
อิสลามเป็นศาสนาอับราฮามิกสุดท้าย ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ส่งท่านศาสดามุฮัมมัด บิน อับดุลลอฮ์ (ศ) ในศตวรรษที่ 6 หลังคริสตกาล ขณะที่ท่านมีอายุ 40 ปี ในเมืองมักกะฮ์
ศาสดาแห่งศาสนาอิสลาม
หลังจากเริ่มต้นภารกิจในการเป็นนบีแล้ว ศาสดาแห่งอิสลาม (ศ) ได้พำนักอยู่ในเมืองมักกะฮ์เป็นเวลาสิบสามปี ในช่วงเวลานั้น มีผู้คนเพียงเล็กน้อยที่หันมาศรัทธาต่ออิสลาม จนกระทั่งในปีที่สิบสามของการเป็นนบี ท่านได้อพยพจากมักกะฮ์ไปยังมะดีนะฮ์และขยายศาสนาอิสลามออกไป ระหว่างภารกิจของท่าน ท่านได้เผชิญกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากชนชั้นสูงและเหล่าผู้มีอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจในมักกะฮ์และในบางพื้นที่ของคาบสมุทรอาหรับ ท่านต้องประสบกับสงครามทั้งขนาดใหญ่และเล็กหลายครั้งตลอดช่วงเวลาของการเป็นนบี ท่านถึงแก่อสัญกรรมในปี ค.ศ. 633 ที่มะดีนะฮ์ หลังจากท่านศาสดาจากไป การนำพาของผู้นำชาวมุสลิมยังคงดำเนินต่อไปด้วยประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์สำคัญ
ทิศทางในการนมาซและคัมภีร์ของศาสนาอิสลาม
กะอ์บะฮ์ ในเมืองมักกะฮ์เป็นทิศทาง(กิบละฮ์)ที่ชาวมุสลิมใช้หันหน้าในการนมาซ ซึ่งเป็นการอิบาดัตที่สำคัญที่สุดในศาสนาอิสลาม โดยมุสลิมจะต้องหันหน้าไปทางสถานที่นี้ อัลกุรอานได้ยืนยันว่า กะอ์บะฮ์เป็นอาคารแรกที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นทิศทางในการประกอบพิธีนมาซ
อัลกุรอาน เป็นคัมภีร์สุดท้ายจากพระเจ้าและเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่สุดในการทำความเข้าใจศาสนาอิสลาม เนื้อหาของอัลกุรอานคือการประทานจากพระเจ้า ผ่านมลาอิกะฮ์(ฑูตสวรรค์)นามว่าญิบรออีล(อ)ที่ได้ถ่ายทอดไปยังศาสดาอิสลาม (ศ) และถูกรวบรวมไว้ใน 114 ซูเราะฮ์ (บท) อัลกุรอานได้กล่าวถึงการคุ้มครองจากการถูกดัดแปลงแก้ไขและความปลอดภัยจากความผิดพลาดต่าง ๆ นี่คือความเชื่อที่เรียกว่า “ความไม่อาจบิดเบือนของอัลกุรอาน” กล่าวในอีกบริบทหนึ่ง นับตั้งแต่การเผยแพร่โองการโดยศาสดามูฮัมมัด(ศ)จนถึงยุคสมัยปัจจุบัน คัมภีร์เล่มนี้ไม่เคยถูกดัดแปลง หรือ เปลี่ยนแปลงตัวบทใดๆเลย และตัวบทดั้งเดิมยังคงถูกรักษาไว้อยู่เสมอ
คำสอนของอิสลามที่บรรจุในอัลกุรอาน แบ่งออกเป็นสามส่วน ได้แก่ “ความเชื่อ” เรียกว่า “อะกีดะฮ์ หรือ อะกอเอด” “กฎเกณฑ์” เรียกว่า ฟิกฮ์ และ “จริยธรรม” เรียกว่า อัคล๊าก อายะฮ์ในอัลกุรอานได้กล่าวว่า “อิสลาม” เป็นศาสนาที่ถูกต้องแต่เพียงศาสนาเดียวที่ได้รับการยอมรับจากพระเจ้า และท่านอีซา (อ.) และอัลกุรอานได้ยืนยันคำสอนดั้งเดิมของคัมภีร์เตารอต อินญีล และคัมภีร์อื่นๆ ที่มาจากพระเจ้า[4]
ผู้นับถือศาสนาอิสลาม
ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามจะถูกเรียกว่า “มุสลิม” ซึ่งหมายถึง ผู้ที่จิตใจของเขายอมจำนนต่อเจตนาของพระเจ้า[5]สาเหตุที่ศาสนานี้ถูกเรียกว่าอิสลาม เพราะการยอมจำนนต่อเจตนาของพระเจ้า คือ เงื่อนไขสำหรับการเข้าสู่ศาสนาอิสลาม สิ่งที่ต้องยอมรับและกล่าวออกมาคือประโยคสองประโยค “อัชฮะดุ อันลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์” และ “อัชฮะดุ อันนะมุฮัมมะดัน รอซูลุลลอฮ์” ซึ่งรู้จักกันว่า “ชะฮาดะตัยนฺ” ประโยคแรกเป็นการยืนยันในเอกภาพของพระเจ้า และประโยคที่สองเป็นการยืนยันในศาสนทูตของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) หลังจากนั้น มุสลิมจะต้องศึกษาคำสอนของศาสนาอย่างละเอียด[6]
นิกายและกลุ่มในศาสนาอิสลาม
หลังจากท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) ได้จากโลกนี้ ชาวมุสลิมได้แบ่งออกเป็นกลุ่มต่างๆ เนื่องจากปัจจัยหลายประการ เช่น การแต่งตั้งผู้สืบตำแหน่งศาสดา, ความเชื่อทางศาสนา และกฎหมายอิสลาม (ปัญหาฟิกฮ์) การแตกแยกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในรูปแบบเดียวกันตลอดประวัติศาสตร์ นอกจากนี้บางกลุ่มยังมีการแตกแยกภายในอีกด้วย
การสืบตำแหน่งศาสดา
ปัจจัยแรกที่สำคัญที่สุดในการแบ่งแยกของชาวมุสลิมคือปัญหาการสืบตำแหน่งศาสดา ท่านศาสดา (ศ) ได้แนะนำท่านอาลี บิน อบีฏอลิบ (อ.) ว่าเป็นผู้มีความรู้สูงสุดในศาสนาอิสลาม มีคำพูดและการกระทำที่สอดคล้องกับศาสนา และปราศจากข้อผิดพลาด และได้ยกย่อง,ประกาศและรับรองว่าศิษย์ของท่าน อาลี (อ.) คือผู้มีคุณธรรมล้ำเลิศและความผาสุขอันเป็นรันดร์ในภพหน้า แต่หลังจากท่านศาสดา (ศ) ได้จากไป มุสลิมได้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือกลุ่มที่สนับสนุนท่านอาลี (อ.) ซึ่งเป็นกลุ่มชนส่วนน้อย ถูกเรียกว่า “ชีอะฮ์” ส่วนกลุ่มที่เหลือถูกเรียกว่า “ซุนนีย์” ท่านศาสดา (ศ) เคยใช้คำว่าชีอะฮ์สำหรับกลุ่มผู้สนับสนุนท่านอาลี (อ.) มาก่อน[7]
ความแตกต่างในเรื่องการสืบตำแหน่งศาสดาเป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งชาวมุสลิมออกเป็นสองกลุ่มใหญ่คือ ชีอะฮ์ (อัชชีอะฮ์) และซุนนีย์ (อัซซุนนะฮ์) ทั้งสองกลุ่มมีความเชื่อร่วมกันในสามประเด็นหลัก ได้แก่ เอกภาพของพระเจ้า (เตาฮีด), ศาสนทูต (นะบูวะฮ์), และการฟื้นคืนชีพ (มะอาด) แต่ชีอะฮ์ยังเชื่อในความยุติธรรมของพระเจ้า (อัดล์) และการสืบตำแหน่งศาสดา (อิมามะฮ์)
ประเด็นความเชื่อ
นิกายอื่นๆ ก็ได้เกิดขึ้นในช่วงประวัติศาสตร์หลังจากท่านศาสดาอิสลาม (ศ) โดยอาศัยแนวคิดและความเชื่อในเรื่องทางเทววิทยาของอิสลาม เช่น การโต้แย้งว่าอัลกุรอานถูกสร้างขึ้นหรือไม่ (ฮะดิษหรือกอดีมของอัลกุรอาน) ความเชื่อเกี่ยวกับการบังคับหรืออิสรภาพในพฤติกรรมและชะตาชีวิตของมนุษย์(ญับร์และตัฟวีฎ) การไถ่โทษหรือการไม่ไถ่โทษของผู้ที่ทำบาปใหญ่ในภพหน้า เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้ได้นำไปสู่การก่อตั้งนิกายทางเทววิทยาหลายนิกาย และแต่ละนิกายได้เสนอแนวคิดและหลักฐานที่สนับสนุนความเชื่อของตนเอง ในบริบทหนึ่งประเด็นนี้จึงเป็นข้อยืนยันว่าเราไม่สามารถระบุสาเหตุหรือเกณฑ์ที่แน่นอนสำหรับการเกิดขึ้นของนิกายต่างๆ ได้ ซึ่งนิกายเหล่านี้มีจำนวนมากและหลากหลาย และมีการเขียนงานอธิบายเกี่ยวกับนิกายเหล่านี้อย่างกว้างขวาง[8]
นิกายที่ปรากฏในกลุ่มซุนนีย์มีหลายกลุ่ม เช่น อะฮ์ลุลฮะดีษ อะชาอิเราะฮ์ มุอฺตะซิละฮ์ มาตุรียียะฮ์ มัรญิอะฮ์ เกาะดะรียะฮ์ และญะฮ์มียะฮ์ ในขณะที่ในกลุ่มชีอะฮ์มีนิกายอย่างเช่น ซัยดียะฮ์ อิสมาอีลียะฮ์ เชคียะฮ์ นุศ็อยรียะฮ์ และกอดิยานียะฮ์[9]
ประเด็นทางฟิกฮ์
ในกลุ่มซุนนีย์ได้แบ่งออกเป็นสี่นิกายในเรื่องฟิกฮ์ (กฎเกณฑ์ทางศาสนา) ได้แก่ ชาฟิอีย์ ฮานาฟี ฮัมบาลี และมาลิกี ความขัดแย้งในเรื่องการปฏิบัติทางศาสนาส่วนใหญ่อยู่ในเรื่องเงื่อนไขและวิธีการปฏิบัติทางศาสนา เช่น การทำความสะอาด(ฏอฮาเราะฮ์), เงื่อนไขและส่วนประกอบของการละหมาด, การถือศีลอด, การจ่ายซะกาต, เงื่อนไขและส่วนประกอบของการทำฮัจญ์, และเรื่องเกี่ยวกับการแต่งงานและการหย่า[10] อย่างไรก็ดี เราต้องคำนึงด้วยว่าการแบ่งแยกทางเทววิทยาและทางฟิกฮ์นั้นไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกัน เพราะบางคนอาจเห็นพ้องกันในเรื่องทางเทววิทยาแต่ไม่เหมือนกันในเรื่องฟิกฮ์แต่ประการใด
นิกายที่เกิดขึ้นใหม่
นอกจากนี้ ยังมีนิกายที่เกิดขึ้นใหม่ในยุคปัจจุบัน โดยอ้างว่าพวกเขาปฏิบัติตามแบบอย่างของท่านศาสดาและสหายของท่านศาสดา (ศ) และเรียกตัวเองว่า “สลัฟ” (สลัฟหมายถึงบรรพชนผู้เคร่งครัดในช่วงต้นอิสลาม) ซึ่งกลุ่มนี้รู้จักในชื่อว่า “สลาฟียะฮ์” ปัจจุบันชื่อ “สลาฟียะฮ์” เป็นชื่อรวมที่มีหลายกลุ่มย่อยในนั้น ซึ่งในบางครั้งความแตกต่างภายในกลุ่มเหล่านี้มีความรุนแรงและสำคัญอย่างมาก สำหรับการทำความเข้าใจเกี่ยวกับสลาฟียะฮ์อย่างครอบคลุม จำเป็นต้องศึกษาประวัติศาสตร์การแยกกลุ่มของชาวมุสลิมตั้งแต่แรกเริ่ม
อีกหนึ่งนิกายที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันภายใต้คำขวัญของการปฏิบัติตาม “สลัฟ” และประกาศว่าตนเองเป็นนิกายที่ถูกต้องอย่างแท้จริงและเป็นผู้ปฏิบัติตามท่านศาสดาและแนวทางของบรรพชนอย่างสมบูรณ์คือ นิกาย “วะฮาบียะฮ์” ต้นกำเนิดความคิดของนิกายนี้ย้อนกลับไปสู่แนวคิดของอะห์มัด บิน อับดุลฮะลีม ฮะรานี ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่ออิบนุตัยมียะฮ์ (ฮ.ศ. 661-728) และต่อมาโดยมุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮ์ฮาบ (ฮ.ศ. 1115-1206) การปฏิบัติของนิกายนี้ดูเหมือนจะปราศจากแนวคิดความเมตตาและความรักต่อเพื่อนมนุษย์ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสร้างและผู้รับใช้ของพระเจ้า นิกายนี้เน้นการเชื่อมโยงกับอำนาจทางการเมืองและการทำสงครามมากกว่าการเชิญชวนผู้คนให้มาสู่คุณค่าและความหมายสูงส่งของศาสนาอิสลาม
กลุ่มนิกายหัวรุนแรงติดอาวุธในโลกอิสลามในปัจจุบัน เช่น ไอซิส (ISIS) และญับฮะตุนนุศเราะฮ์ ต่างก็มักยึดถือแนวคิดที่มาจากนิกายวะฮาบียะฮ์ ทั้งหมดนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ “วะฮาบียะฮ์ตักฟีรี” นิกายนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับอิสลามทั้งในแง่ซุนนีย์หรือชีอะฮ์ และหน้าที่หลักของมันคือการสร้างความเกลียดชังและความหวาดกลัวต่ออิสลามในหมู่มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมุสลิมหรือไม่ใช่มุสลิมก็ตาม
แหล่งความรู้เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม
การเรียนรู้เกี่ยวกับหลักโลกทัศน์ หลักความเชื่อ (อุศูลุดดีน) และข้อปฏิบัติทางศาสนาอิสลาม (ฟุรูอุดดีน) นั้นอาศัยการอ้างอิงจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์เป็นหลัก อัลกุรอานเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญที่สุดและเชื่อถือได้มากที่สุดสำหรับความเข้าใจเกี่ยวกับโลกทัศน์ของโลก ความเชื่อ และข้อปฏิบัติทางศาสนาอิสลาม ส่วน ซุนนะฮ์ หมายถึง คำพูดและการกระทำของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ) และผู้สืบทอดของท่าน คือท่านอิมามอาลี (อ.) และลูกหลานของท่าน สำหรับ อะฮ์ลิซซุนนะฮ์ หรือชาวซุนนี จะยอมรับคำพูดและวิถีปฏิบัติของศาสดามุฮัมมัด (ศ) รวมถึงของบรรดาศ่อฮาบะฮ์ หรือสาวกของท่านศาสดาด้วย อย่างไรก็ตาม ชีอะฮ์ ยึดถือเพียงแค่ซุนนะฮ์ของท่านศาสดาและอิมามแห่งวงศ์วานของท่าน (อะฮ์ลุลบัยต์) เป็นแหล่งหลักในการอ้างอิงทั้งในเรื่องของความเชื่อ ข้อปฏิบัติทางศาสนา การเมือง และสังคม[11]
ส่วนสำคัญของซุนนะฮ์ถูกบันทึกไว้ในหนังสือที่มีความสำคัญหลายเล่ม ซึ่งแหล่งอ้างอิงสำคัญของชีอะฮ์ ได้แก่:
- อัลกาฟี โดยมุฮัมมัด บิน ยะอ์กูบ กุลัยนี (เสียชีวิต ฮ.ศ. 328) ที่รู้จักกันในชื่อ “ชัยคฺกุลัยนี”
- ตะฮ์ซีบ อัลอะห์กาม และ อัลอิสติบศอร โดยมุฮัมมัด บิน ฮะซัน ที่รู้จักกันในชื่อ “ชัยคฺตุซี” (เสียชีวิต ฮ.ศ. 460)
- มาน ลายะห์เฎ่อรุฮุ้ล ฟะกีฮ์ โดยมุฮัมมัด บิน อะลี บิน บาบะวัยฮ์ ที่รู้จักในชื่อ “ชัยคฺศ็อดูก” (เสียชีวิต ฮ.ศ. 381)
แหล่งอ้างอิงสำคัญของชาวซุนนีประกอบด้วย “ซอฮิห์ ซิตตะฮ์” หรือ “หกหนังสือซอฮิห์” ได้แก่:
- ซอฮิห์ อัลบุคอรี โดยฮาฟิซ อะบูอับดิลลอฮ์ มุฮัมมัด บิน อิสมาอีล บุคอรี (ฮ.ศ. 194-256)
- ซอฮิห์ มุสลิม โดยมุสลิม นัยชาบูรี (ฮ.ศ. 206-261)
- ซุนนะฮ์ อัน-นะซาอี โดยฮาฟิซ นะซาอี (ฮ.ศ. 235-313)
- ซุนนะฮ์ อิบนุมาญะฮ์ โดยมุฮัมมัด บิน มาญะฮ์ (ฮ.ศ. 207-275)
- ซุนนะฮ์ อะบีดาวูด โดยฮาฟิซ อะบูดาวูด สุไลมาน บิน อัชอัษ ซิจิสตานี (ฮ.ศ. 202-257)
- ซอฮิห์ ติรมิซีย์ โดยมุฮัมมัด ติรมิซีย์ (ฮ.ศ. 207-279)
วิธีการศึกษาและทำความเข้าใจศาสนาอิสลาม
อัลกุรอานถือเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญที่สุดในศาสนาอิสลาม และการที่จะเข้าใจคำสอนของอิสลามอย่างถูกต้องต้องอาศัยการตีความที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในด้านกะลาม(ความเชื่อ)และฟิกฮ์ (กฎหมายอิสลาม) โดยเฉพาะในเรื่องของข้อปฏิบัติทางศาสนา เนื่องจากข้อปฏิบัติทางศาสนานั้นถูกกำหนดขึ้นตามหลักความเชื่อที่แข็งแกร่งและชัดเจน ดังนั้น การมีหลักความเชื่อที่มั่นคงจึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับทุกมัซฮับในศาสนาอิสลาม
สำหรับ อะฮ์ลิซซุนนะฮ์ หรือชาวซุนนี มัซฮับทั้งสี่ในด้านฟิกฮ์ (คือ ชาฟิอี ฮานาฟี ฮันบะลี และมาลิกี) อาศัยวิธีการของผู้นำทางฟิกฮ์ของตนในการกำหนดข้อปฏิบัติทางศาสนา โดยพวกเขานำเอาคำสอนจากอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ และความเห็นของผู้นำทั้งสี่มาเป็นแนวทางปฏิบัติ ส่วน ชีอะฮ์ อาศัยวิธีการของอิมามของพวกเขาในการสืบทอดและการตีความข้อปฏิบัติทางศาสนา โดยกระบวนการนี้เรียกว่า “อิจญ์ติฮาด” ซึ่งนอกจากการอ้างอิงถึงอัลกุรอานและซุนนะฮ์แล้ว ยังให้ความสำคัญกับการใช้เหตุผล (อักลฺ) และมติร่วมของนักวิชาการ (อิจญ์มาอ์) ตามที่อิมามของชีอะฮ์กล่าวว่า:
“عَلَيْنَا إِلْقَاءُ الْأُصُولِ إِلَيْكُمْ وَ عَلَيْكُمُ التَّفَرُّع”
“หน้าที่ของเราคือการเสนอหลักการพื้นฐานให้กับพวกท่าน และหน้าที่ของพวกท่านคือการขยายความและดึงเอาข้อปฏิบัติต่าง ๆ จากหลักการเหล่านั้น”[12]
การศึกษาอิสลามในด้านความเชื่อและหลักการทางทฤษฎีมีพื้นที่ที่ค่อนข้างกว้างขวาง ซึ่งแต่ละมัซฮับในอิสลามมีวิธีการต่างกันในการทำความเข้าใจและอธิบายหลักการเหล่านี้ และความคิดเห็นในรายละเอียดของหลักความเชื่อมีความแตกต่างกันมากในแต่ละมัซฮับ เช่น การอธิบายเกี่ยวกับการดำรงอยู่และการพิสูจน์ตัวตนของพระเจ้า, คุณลักษณะของพระเจ้า เช่น ความยุติธรรม, ความเป็นนบีและคุณลักษณะของนบีและผู้สืบทอดของเขา, การมีหรือไม่มีอิสระในการเลือกของมนุษย์ในพฤติกรรมและชะตากรรมของตนเอง, การรับผลบุญหรือการกระทำบาป, ชีวิตหลังความตาย และชะตากรรมของมนุษย์ในช่วงหลังจากนั้น
ตลอดประวัติศาสตร์ของอิสลาม มัซฮับต่าง ๆ ได้จัดระบบกฎเกณฑ์บางส่วน โดยบางส่วนมาจากอัลกุรอานและหะดีษ ในขณะที่บางส่วนเป็นผลมาจากการใคร่ครวญและการคิดของนักวิชาการของแต่ละมัซฮับ กล่าวในอีกบริบทหนึ่ง
โดยทั่วไปแล้ว การทำความเข้าใจความเชื่อในอิสลามสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก: วิทยาการทางการวิเคราะห์ (วิทยาการทางเหตุผล) และ วิทยาการทางการอ้างอิง (วิทยาการทางสำนวน)
- วิทยาการทางการอ้างอิง (เช่น ประวัติศาสตร์, การตีความอัลกุรอาน, ฟิกฮ์, หลักฟิกฮ์, จริยธรรม, และหะดีษ) มีหน้าที่ในการอธิบายและพิสูจน์ความเชื่อของแต่ละมัซฮับด้วยข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงทางศาสนาโดยตรง
- วิทยาการทางการวิเคราะห์ (เช่น วิชากาลาม, ปรัชญา, และอิรฟาน) มีหน้าที่ในการวิเคราะห์และตีความหลักความเชื่อทางศาสนาด้วยวิธีการที่ใช้การคิดวิเคราะห์และเหตุผล
อิสลาม ชาวตะวันตก และนักบูรพาคดี
ชาวตะวันตกและนักบูรพาคดี (Orientalists) ได้แสดงความสนใจในการศึกษาอิสลามเป็นเวลานาน โดยเฉพาะชาวคริสต์ที่ต้องการทำความเข้าใจศาสนาและวัฒนธรรมของชาวมุสลิม พวกเขาได้เดินทางไปยังดินแดนที่ชาวมุสลิมอาศัยอยู่ เพื่อศึกษาวัฒนธรรม อารยธรรม ขนบธรรมเนียม ความเชื่อ และแง่มุมต่าง ๆ ของสังคมมุสลิม กระบวนการนี้เรียกว่า ตะวันออกศึกษา (استشراق) ซึ่งหมายถึงการศึกษาภาคตะวันออกที่มีวัฒนธรรมอิสลาม ทั้งนี้เนื่องจากตามภูมิศาสตร์แล้ว ดินแดนของชาวมุสลิมส่วนใหญ่อยู่ทางทิศตะวันออกของพื้นที่คริสเตียนในยุโรป นี่จึงเป็นที่มาของคำดังกล่าวในสำนวนวิชาการ และด้วยเหตุผลเดียวกัน คำว่า “มุสตัชริก” (مستشرق) จึงหมายถึง นักวิจัยชาวตะวันตกที่ศึกษาภาคตะวันออกและอิสลาม[13]
การศึกษาเกี่ยวกับตะวันออกศึกษาอย่างเป็นทางการเริ่มต้นขึ้นในปีคศ. 1312 เมื่อมีการตั้งคณะวิชาภาษาอาหรับในบางมหาวิทยาลัยในยุโรป อย่างไรก็ตาม หลักฐานบางส่วนชี้ว่ามีความพยายามที่ไม่เป็นทางการในเรื่องนี้เกิดขึ้นนานก่อนหน้านี้ด้วยเนื่องจากการขยายตัวของศาสนาอิสลามทั้งในภาคตะวันออกและตะวันตกของโลกได้กระตุ้นความสนใจของชาวคริสต์ในการทำความเข้าใจอิสลามอยู่เสมอ
หนึ่งในผลงานสำคัญในช่วงแรกที่เกี่ยวข้องกับการโต้วาทีและอภิปรายเกี่ยวกับศาสนาอิสลามคือหนังสือ มุฮาวิเราะฮ์ มะอะ มุสลิม และ อิรชาดาต อันนะซอรีย์ ฟี ญิดาลิลมุสลิม ซึ่งเขียนขึ้นในศตวรรษที่ 7 โดย ยูฮันนาย ดิมัชกี[14] อีกทั้งในศตวรรษที่ 12 นักบุญปีเตอร์ นักบวชชาวฝรั่งเศส ยังได้แปลคัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาละติน.[15]
รากฐานสำคัญของศาสตร์ตะวันออกคือการเรียนรู้ภาษาตะวันออกเพื่อทำความเข้าใจกับความเชื่อและอารยธรรมของตะวันออก ในศตวรรษที่ 13 นักเผยแพร่ศาสนาคริสต์ได้เรียนรู้ภาษาของชาวมุสลิม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในกิจกรรมของพวกเขา แรงจูงใจหลักในการทำเช่นนี้คือการทำความเข้าใจวัฒนธรรมอิสลามในมิติที่หลากหลาย โดยมีเป้าหมายเพื่อหักล้างอิสลามและเผยแพร่ศาสนาคริสต์ กิจกรรมนี้ในหมู่ชาวคริสต์เรียกว่า “การเผยแผ่ศาสนา”[16] ( ตามที่รูดี้ พาร์ตกล่าวไว้ การศึกษาอิสลามเพื่อการเผยแผ่ศาสนาเกิดขึ้นด้วยแรงจูงใจและเป้าหมายในการพิสูจน์ความเท็จของอิสลามแก่ชาวมุสลิมและดึงดูดพวกเขาเข้าสู่ศาสนาคริสต์[17] ด้วยเหตุนี้ จึงมีการอนุญาตให้กล่าวหาศาสนาอิสลามและชาวมุสลิม โดยอ้างถึงความเชื่อที่งมงายและนิทานเก่าแก่ ซึ่งออกโดยจีเบิร์ต ดี จี นูเจนท์ เขาเขียนไว้ว่า “หากนักเขียนต้องการเขียนเกี่ยวกับบุคคลและศาสนาที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและการหลงผิด เขาก็สามารถเขียนและอ้างอิงถึงสิ่งที่เขาจินตนาการได้” การกระทำเช่นนี้เลวร้ายมากจนผู้วิจารณ์ถือว่าเป็นการกระทำที่เหมาะสมกับชื่อ “อวิชชาของชาวตะวันตก”[18]
การศึกษาตะวันออก ปรากฏในสองลักษณะคือทางการเมืองและทางวิชาการ โดยมีนักวิชาการตะวันออกจำนวนมากที่ได้ดำเนินกิจกรรมอย่างกว้างขวางในด้านนี้[19] เช่น โรเจอร์ เบคอน (ค.ศ. 1214-1294), เรย์มอนด์ ลุลล์ (Raymond Lull: ค.ศ. 1235-1316), โธมัส เออร์พินัส (Thomas Erpinus: ค.ศ. 1548-1624), ริชาร์ด ไซมอน (Richard Simon), และ ไซมอน อ็อกลีย์ (Simon Ockly: ค.ศ. 1678-1720) พวกเขาเป็นนักวิชาการตะวันออกที่มีผลงานเขียนเป็นของตนเอง และในศตวรรษที่ 19 การศึกษาอิสลามเริ่มพัฒนาขึ้น โดย ซิลเวสเตอร์ เดอ ซาซี (Silvester de Sacy) เขาได้นำการศึกษานี้เข้าสู่ทิศทางทางวิชาการอย่างเป็นทางการ ซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งสาขาวิชาศาสตร์ตะวันออกอย่างเป็นทางการ[20]
อย่างไรก็ดี อิสลามได้รักษาแก่นแท้ของตนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากแหล่งข้อมูลและวิธีการของยุคท่านศาสดา (ศ) ยังคงแข็งแกร่งเช่นเดิม น่าเสียดายที่ผลกระทบจากการโฆษณาชวนเชื่อที่เป็นลบที่ต่อต้านอิสลามซึ่งดำเนินมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยังคงหลงเหลือในความคิดของชาวตะวันตก และมุมมองต่ออิสลามยังคงอยู่ภายใต้อิทธิพลของบรรยากาศในยุคกลางของยุโรป นักวิชาการตะวันออกกลุ่มหนึ่งจึงนำเสนอว่าอิสลามเป็นศาสนาที่สนับสนุนความรุนแรง การก่อการร้าย และการนองเลือด ซึ่งไม่ให้สิทธิแก่มนุษย์ อย่างไรก็ตาม ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1965 สภาวาติกันได้ยกย่องสัจธรรมความจริงหลายประการของอิสลามเกี่ยวกับพระเจ้าและพระอำนาจของพระองค์, นบีอีซา (อ.), ท่านหญิงมัรยัม (อ.), และบรรดาศาสดา (อ.)
พาร์ท นักบูรพาคดีชาวเยอรมัน กล่าวว่า “การศึกษาตะวันออกตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ได้มุ่งเน้นไปที่การแสวงหาความจริงแท้โดยไม่เกี่ยวข้องกับเจตนาแฝงหรือสิ่งที่ไม่เป็นจริง”[21] ตามที่รูเดนสันเขียน นักวิชาการตะวันออกเห็นเฉพาะสิ่งที่พวกเขาอยากจะเห็นในตะวันออกเท่านั้น ดังนั้น พวกเขาให้ความสำคัญกับเรื่องเล็กน้อยและสิ่งที่แปลกประหลาด และไม่ต้องการให้ตะวันออกพัฒนา” เขาเขียนว่า “นักบูรพาคดีในตะวันออกแสวงหาภาพลักษณ์ที่บิดเบือนของอิสลาม พวกเขาคัดเลือกเฉพาะสิ่งที่เห็น และละเลยสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับภาพบิดเบือนที่พวกเขาสร้างขึ้นมา”[22]
พฤติกรรมเช่นนี้ต่อวัฒนธรรมอิสลามได้มีอิทธิพลต่อความพยายามของนักวิชาการตะวันออก โดยงานต่าง ๆ เช่น การแปลอัลกุรอาน การทำพจนานุกรม การจัดทำดัชนี การเขียนสารานุกรม การสอนภาษาอาหรับและเปอร์เซีย การจัดประชุมทางวิชาการ การท่องเที่ยวโลก การส่งเจ้าหน้าที่ในคราบนักศึกษาไปยังประเทศอิสลาม และการก่อตั้งศูนย์วิจัยในประเทศอิสลามและประเทศที่ไม่ใช่อิสลาม ต่างได้รับผลกระทบจากการตัดสินล่วงหน้าของพวกเขา นอกจากนี้ กิจกรรมทางวิชาการเหล่านี้ยังส่งเสริมการสร้างความแตกแยกในหมู่กลุ่มต่าง ๆ ของมุสลิม การแบ่งแยกประเทศอิสลาม และกิจกรรมทางการเมืองที่ซับซ้อนเพื่อแทรกซึมเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจของประเทศอิสลาม ซึ่งเป็นผลมาจากแนวทางของนักวิชาการตะวันออกในโลกอิสลาม[23]
แหล่งอ้างอิงในการทำความเข้าใจอิสลามอย่างเป็นระบบ
ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ หลังจากการอสัญกรรมของท่านศาสดา (ศ) การทำความเข้าใจเนื้อหาอิสลาม ได้แก่อัลกุรอาน วัจนะของท่านศาสดา (ศ) ท่านอิมามอาลี (อ.) และลูกหลานของท่าน (อ.) ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญ นักคิดมุสลิมจึงพยายามที่จะสร้างการรู้จักอิสลามขึ้นบนพื้นฐานของสติปัญญาและการใช้เหตุผล
ตามคำแนะนำของอัลกุรอาน ท่านศาสดา (ศ) และบรรดาอิมาม (อ.) ถือจำเป็นต้องมีกลุ่มหนึ่งจากชาวมุสลิมที่อุทิศตนเพื่อศึกษาเสาะแสวงหา “ความรู้” และเข้าใจหลักการและพื้นฐานของอิสลาม รวมถึงการรับสารของอัลกุรอานอย่างแม่นยำและเชี่ยวชาญ ส่วนคนอื่น ๆ ที่ไม่มีโอกาสเช่นนั้นจะต้องปฏิบัติตามผลการค้นคว้าของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ อัลกุรอานกล่าวในซูเราะฮ์ อัตเตาบะฮ์ อายะฮ์ที่ 122 ไว้ว่า:
وَ مٰا كٰانَ اَلْمُؤْمِنُونَ لِيَنْفِرُوا كَافَّةً فَلَوْ لاٰ نَفَرَ مِنْ كُلِّ فِرْقَةٍ مِنْهُمْ طٰائِفَةٌ لِيَتَفَقَّهُوا فِي اَلدِّينِ وَ لِيُنْذِرُوا قَوْمَهُمْ إِذٰا رَجَعُوا إِلَيْهِمْ لَعَلَّهُمْ يَحْذَرُونَ
“ไม่บังควรที่บรรดาผู้ศรัทธาจะออกไปสู้รบกันทั้งหมด ทำไมแต่ละกลุ่มในหมู่พวกเขาจึงไม่ออกไปเพื่อหาความเข้าใจในศาสนา และเพื่อจะได้ตักเตือนหมู่คณะของพวกเขา เมื่อพวกเขาได้กลับมายังหมู่คณะของพวกเขา โดยหวังว่าหมู่คณะของพวกเขาจะได้ระมัดระวัง”
งานนี้จึงเป็นหน้าที่ขององค์กรศาสนา (รูฮานียัต) ซึ่งจะมีบทบาทในทุกนิกายของอิสลาม สถาบันการศึกษาทางศาสนาของชีอะฮ์และซุนนีในทุกประเทศอิสลามต่างรับผิดชอบหน้าที่นี้ และการฝึกอบรมและมอบความรู้ให้แก่ผู้รู้ด้านศาสนาอิสลามที่อุทิศตนเพื่อการศึกษาและทำความเข้าใจในสารของอัลกุรอานและคำสอนของท่านศาสดา (ศ) เป็นกิจกรรมหลักของพวกเขา
องค์กรศาสนาถึงกลุ่มผู้ศึกษา ครู ผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนา (มุจญ์ตะฮิด) และบรรดามัรญิอฺตักลีด มีหน้าที่ในการทำความเข้าใจศาสนาและให้คำแนะนำแก่ชาวมุสลิมตามการวินิจฉัยอย่างเป็นระบบจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ในการเผยแพร่คำสอนของศาสนา ไม่ว่าจะเป็นด้านการใช้เหตุผลหรือการถ่ายทอดจากตัวบท และบริหารจัดการความคิดและวัฒนธรรมของชาวมุสลิมในแง่ต่าง ๆ เช่น มัสยิด คาราวานฮัจญ์และซิยารัต การจัดการเรื่องศาสนา เช่น การแต่งงาน การจัดการทางกฎหมาย เช่น มรดก คุมุส และซะกาต รวมถึงการสอนและการอบรมลูกหลาน
ในปัจจุบัน นักการศาสนา และองค์กรศาสนา(รูฮานียัต)ของนิกายต่าง ๆ ในอิสลามสามารถรับรู้ได้ด้วยการแต่งกายเฉพาะ แม้ว่าตลอดหน้าประวัติศาสตร์ การแต่งกายนี้จะเผชิญกับความท้าทายอย่างจริงจังและเข้มข้น[24] แต่พวกเขาก็ยังคงรักษาอัตลักษณ์ของตนไว้ได้[25] อย่างไรก็ตามในภาพรวมแล้ว อาจกล่าวได้ว่า รูฮานียัตหรือนักการศาสนานั้นมีบทบาทหลักสี่ประการคือ:
- การทำความเข้าใจและรู้จักศาสนาผ่านแหล่งข้อมูลทางศาสนา
- การปกป้องวิชาการความรู้ทางศาสนาอิสลาม
- การเผยแพร่คำสอนของอิสลาม
- การนำพาให้เกิดการปฏิบัติตามบทบัญญัติและพิธีกรรมทางศาสนาในสังคม[26]
หน้าที่เหล่านี้ดำเนินไปผ่านกระบวนการที่ละเอียดและครอบคลุม ตั้งแต่การเรียนรู้ภาษาอาหรับ เพื่อทำความเข้าใจข้อความของอัลกุรอานและฮะดีษ จนถึงการคิดวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งในด้านเหตุผล ปรัชญา และความรู้ทางจิตวิญญาณ โดยมีอัลกุรอานและซุนนะฮ์เป็นศูนย์กลาง ผ่านหลักสูตรการศึกษาเฉพาะทางที่หลากหลาย ผู้ที่ผ่านกระบวนการนี้ในองค์กรรูฮานียัตและบรรลุระดับความรู้ทางวิชาการที่เหมาะสม จะถูกเรียกว่า “ผู้รู้ศาสนาอิสลาม” หรือ “ฟะกีฮ์” ซึ่งหมายถึงนักนิติศาสตร์อิสลาม
[1] อิบนุ มันซูร, ลิซานุลอาหรับ, เล่ม 6, หน้า 345
[2] ฮะซัน มุศเฏาะฟาวี, อัต-ตะฮ์กี๊ก ฟี กะลิมาติลกุรอานิลกะรีม, เล่ม 5, หน้า 191-192
[3] อิบนุ มันซูร, อ้างแล้ว, เล่ม 6, หน้า 345 และ ฏอริฮี, มัจญ์มะอุลบะห์รัยน์, เล่ม 2, หน้า 407
[4] มาอิดะฮ์, อายะฮ์ 46
[5] นัศร์, อาร์มานฮา วา วากิอัตฮาอี อิสลาม, หน้า 31
[6] อัลมีซาน, เล่ม 16, หน้า 193
[7] อัลมีซาน, เล่ม 1, หน้า 301-303
[8] อิฮ์กอก อัลฮักก์, หน้า 298
[9] อัลมิซาน, เล่ม 1, หน้า 301-303
[10] อัลฟิกฮ์ อะลา อัลมะซาฮิบ อัลคัมซะฮ์, หน้า 9-11
[11] คอญะฮ์ นะซีรุ้ดดีน ตูซี, “กอวาอิด อัลอากออิด”, หน้า 108 และ ญะฟัร ซุบฮานี, “มุฮาฎอรอต ฟี อัลอิลาฮิยาต”, หน้า 500
[12] อัลลามะฮ์ มัจญ์ลิซี, บิฮาร อัลอันวาร, เล่ม 2, หน้า 245
[13] ซิกซู๊ก,ชัรก์เชนอซีย์ หน้า 30
[14] อัลอะกีก,มุชตัชรีกูน,เล่ม 1,หน้า 72
[15] มูฮัมมัดฮะซัน ซะมานีย์,ชัรก์เชนอซีย์อิสลามเชนอซีย์ฆัรบียอน,หน้า 88
[16] ซิกซู๊ก, แหล่มเดอม, หน้า 41
[17] มูฮัมมัดฮะซันซะมานีย์,แหล่งเดิม, หน้า 154
[18] แหล่งเดิม, หน้า 155 และ 156
[19] ดู: แหล่งเดิม, หน้า 178-183 และ 242-267
[20] ซิกซู๊ก, แหล่งเดิม, หน้า 53-55
[21] ดู: แหล่งเดิม, หน้า 133
[22] แหล่งเดิม, หน้า 136
[23] ดู:มูฮัมมัดฮะซัน ซะมานีย์, ชัรก์เชนอซีย์อิสลามเชนอซีย์ฆัรบียอน, หน้า 299 เป็นต้นไป
[24] เช่น คำสั่งห้ามสวมชุดรูฮานีย์ หรือ ชุดนักการศาสนาในสมัยชาห์ปาเลวีในอิหร่าน ยุคก่อนการปฏิวัติ
[25] คัสรูพะนอฮ์, ญุรยอนเชนอซีย์ฟิกรีย์อิหร่านมะอาซิร, หน้า 48-51
[26] แหล่งเดิม, หน้า 51