เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2024 ท่านซัยยิดอาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ได้กล่าวคำปราศรัยในกรุงเตหะราน โดยมีเนื้อหาสำคัญที่เรียกร้องให้มีการลงโทษขั้นสูงสุดต่อเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ซึ่งถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในฉนวนกาซา ความเห็นของท่านผู้นำอิหร่านนี้เป็นที่จับตามองในระดับโลก เนื่องจากสะท้อนถึงมุมมองที่ท้าทายต่อระบบกฎหมายสากล และย้ำถึงจุดยืนทางการเมืองของอิหร่านในการสนับสนุนปาเลสไตน์และการต่อต้านระบอบไซออนิสต์
ความเป็นมาของกรณีเนทันยาฮู
เบนจามิน เนทันยาฮู ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการสั่งการโจมตีทางทหารในฉนวนกาซา ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2023 ถึงพฤษภาคม 2024 ซึ่งส่งผลให้พลเรือนจำนวนมากเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บอย่างร้ายแรง การโจมตีดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างชัดเจน ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) จึงออกหมายจับเขาในข้อหาอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อย่างไรก็ตาม การออกหมายจับดังกล่าวยังไม่สามารถบังคับใช้ได้ในทางปฏิบัติ เนื่องจากอิสราเอลไม่ได้เป็นสมาชิกของ ICC และไม่ยอมรับอำนาจศาลนี้ การตัดสินใจของ ICC จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการประณามทางศีลธรรม มากกว่าที่จะเป็นการบังคับใช้กฎหมายในเชิงปฏิบัติ
เหตุผลที่การประหารชีวิตถูกเรียกร้อง
คำเรียกร้องให้มีการประหารชีวิตเนทันยาฮูโดยผู้นำอิหร่านสะท้อนถึงสองประเด็นสำคัญ คือความยุติธรรมและการปกป้องสิทธิมนุษยชน
- ความยุติธรรมต่อผู้เสียหาย: ท่านซัยยิดอาลีคาเมเนอี ชี้ให้เห็นว่าการออกหมายจับเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะตอบสนองต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนในฉนวนกาซา การประหารชีวิตจึงถูกเสนอเป็นโทษสูงสุดที่เหมาะสมกับความร้ายแรงของการกระทำที่ก่อให้เกิดการเสียชีวิตของพลเรือนจำนวนมาก
- การส่งสัญญาณเชิงสัญลักษณ์: การเรียกร้องให้มีการประหารชีวิตเนทันยาฮูเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงการปฏิเสธระบอบไซออนิสต์และการยืนยันจุดยืนของอิหร่านในฐานะผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชนในภูมิภาค การลงโทษอย่างรุนแรงถูกมองว่าเป็นเครื่องมือในการป้องกันการกระทำในลักษณะเดียวกันในอนาคต
- ความเชื่อมโยงกับกฎหมายและประวัติศาสตร์
ประเด็นนี้สามารถเชื่อมโยงกับเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ เช่น การพิจารณาคดีนูเรมเบิร์กหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และการตัดสินคดีผู้นำบอสเนียในสงครามยูโกสลาเวีย ซึ่งต่างก็มุ่งหมายที่จะถือผู้กระทำผิดรับผิดชอบต่อการกระทำของตน
1) คดีนูเรมเบิร์ก (1945): ผู้นำระดับสูงของนาซีถูกดำเนินคดีในข้อหาอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ การพิจารณาคดีเหล่านี้เป็นการสร้างมาตรฐานสากลว่าผู้นำประเทศไม่สามารถหลบหนีความรับผิดชอบได้
2) สงครามบอสเนีย:ศาลอาญาระหว่างประเทศสำหรับอดีตยูโกสลาเวีย (ICTY) ดำเนินคดีกับผู้นำเซอร์เบียในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และอาชญากรรมสงคราม เช่น สโลโบดัน มิโลเซวิช การพิจารณาคดีดังกล่าวสะท้อนถึงความสำคัญของการแสวงหาความยุติธรรมในบริบทของความขัดแย้งทางชาติพันธุ์
องค์ประกอบ | คดีนูเรมเบิร์ก | คดีผู้นำบอสเนีย | กรณีเนทันยาฮู |
ผู้ถูกกล่าวหา | ผู้นำนาซี (ฮิตเลอร์, เกอริง ฯลฯ) | ผู้นำเซอร์เบีย (มิโลเซวิช, คาราดิช) | นายกรัฐมนตรีอิสราเอล (เนทันยาฮู) |
ข้อกล่าวหา | อาชญากรรมสงคราม, อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ | การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์, อาชญากรรมสงคราม | อาชญากรรมสงคราม, อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ |
กระบวนการยุติธรรม | ศาลทหารนานาชาติ (นูเรมเบิร์ก) | ศาล ICTY (ยูโกสลาเวีย) | ศาล ICC |
บทบาทของผู้ถูกกล่าวหา | ผู้นำที่สั่งการและสนับสนุนอาชญากรรม | ผู้นำที่สนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ | ผู้นำที่ถูกกล่าวหาว่าสั่งการโจมตีพลเรือน |
ผลกระทบ | ตั้งมาตรฐานความยุติธรรมระหว่างประเทศ | ตอกย้ำบทบาทของศาลระหว่างประเทศ | อยู่ระหว่างดำเนินการ |
- มุมมองศาสนาและปรัชญา
อัลกุรอาน:อัลกุรอานกล่าวถึงความสำคัญของการรักษาชีวิตมนุษย์และการลงโทษผู้ที่สังหารผู้อื่นโดยไม่เป็นธรรม ดังนี้:
“وَلَا تَقْتُلُوا النَّفْسَ الَّتِي حَرَّمَ اللَّهُ إِلَّا بِالْحَقِّ ۗ وَمَنْ قُتِلَ مَظْلُومًا فَقَدْ جَعَلْنَا لِوَلِيِّهِ سُلْطَانًا فَلَا يُسْرِفْ فِي الْقَتْلِ ۖ إِنَّهُ كَانَ مَنْصُورًا”
“และอย่าสังหารชีวิตที่อัลลอฮ์ทรงห้ามไว้ เว้นแต่ด้วยสิทธิอันชอบธรรม และผู้ใดถูกสังหารโดยไม่เป็นธรรม เราได้ให้สิทธิแก่ผู้สืบทอดของเขา แต่เขาไม่ควรเกินเลยในการสังหาร แท้จริงเขาได้รับการช่วยเหลือ”(อัลกุรอาน 17:33)
“مَنْ قَتَلَ نَفْسًا بِغَيْرِ نَفْسٍ أَوْ فَسَادٍ فِي الْأَرْضِ فَكَأَنَّمَا قَتَلَ النَّاسَ جَمِيعًا”
“ผู้ใดสังหารชีวิตโดยไม่มีเหตุผลที่ชอบธรรม หรือก่อความเสียหายในแผ่นดิน ก็เหมือนกับว่าเขาได้สังหารมนุษยชาติทั้งหมด”(อัลกุรอ่าน 5:32)
กรณีของนายเบนจามิน เนทันยาฮู: ตามหลักการอิสลาม การสังหารพลเรือนโดยไม่มีเหตุผลที่ชอบธรรมถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง หากผู้นำประเทศมีส่วนร่วมในการสั่งการหรืออนุมัติการกระทำดังกล่าว เขาควรถูกนำตัวมารับผิดชอบตามกฎหมาย การเรียกร้องให้มีการลงโทษที่เหมาะสม เช่น การประหารชีวิต สอดคล้องกับหลักการศาสนาในการรักษาความยุติธรรมและปกป้องชีวิตมนุษย์ หลักการอิสลามเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาชีวิตมนุษย์และการลงโทษผู้ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง การกระทำของนายเบนจามิน เนทันยาฮู มีส่วนร่วมในการสังหารพลเรือนในฉนวนกาซา ถือเป็นการละเมิดหลักการศาสนาและกฎหมายระหว่างประเทศ ดังนั้น การเรียกร้องให้มีการลงโทษที่เหมาะสมจึงสอดคล้องกับหลักการอิสลามในการแสวงหาความยุติธรรม
มุมมองปรัชญา
ความยุติธรรมเชิงการชดใช้ (Retributive Justice)
Retributive Justice เป็นแนวคิดที่เน้นความยุติธรรมโดยการชดใช้ความเสียหายผ่านการลงโทษผู้กระทำผิด การนำแนวคิดนี้มาใช้ในกรณีเนทันยาฮูสะท้อนว่าผู้นำระดับสูงไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อการกระทำที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อมนุษยชาติได้ การลงโทษต้องมีสมมาตรกับความเสียหายที่เกิดขึ้น เพื่อรักษาสมดุลในสังคมและเน้นย้ำถึงหลักศีลธรรมที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม.
หลักการสำคัญของ Retributive Justice:
- ความรับผิดชอบส่วนบุคคล:ผู้กระทำผิดต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตน โทษที่ได้รับคือผลลัพธ์ของการเลือกและการกระทำของพวกเขา
- ความเท่าเทียมในความยุติธรรม:โทษที่กำหนดต้องสอดคล้องกับขนาดและความร้ายแรงของการกระทำผิด ไม่ควรหนักหรือเบาจนเกินไป
- การลงโทษเพื่อปกป้องศีลธรรมในสังคม:การลงโทษไม่ได้เป็นเพียงการแก้แค้น แต่เป็นการตอกย้ำความสำคัญของหลักศีลธรรมในสังคม
ในกรณีของนายเบนจามิน เนทันยาฮู: การกระทำที่เขาเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการเช่น เช่น การสั่งการโจมตีพลเรือนในฉนวนกาซา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและศีลธรรม และหากพิจารณาตามแนวคิด Retributive Justice: การลงโทษที่เหมาะสมจะต้องสะท้อนความรุนแรงของการกระทำ โดยโทษสูงสุด เช่น การประหารชีวิต อาจถูกมองว่าเป็นการคืนความยุติธรรมให้กับเหยื่อและสังคมที่ได้รับผลกระทบ
- กฎหมายระหว่างประเทศ
กรณีของเนทันยาฮู การโจมตีทางทหารของอิสราเอลในฉนวนกาซาที่ทำให้พลเรือนเสียชีวิต ถูกมองว่าเป็นการจงใจโจมตีพลเรือนและวัตถุพลเรือน ซึ่งเข้าข่ายความผิดตาม Article 8 ของธรรมนูญกรุงโรม และกรณีการละเมิดคือ การปฏิบัติที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อพลเรือนและทรัพย์สินอย่างร้ายแรง เข้าข่าย “grave breaches” ตาม Article 147 ของอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4
Article 147 – Grave breaches of the Geneva Conventions
Grave breaches to which the preceding Article relates shall be those involving any of the following acts, if committed against persons or property protected by the Convention: wilful killing, torture or inhuman treatment, including biological experiments, wilfully causing great suffering or serious injury to body or health, unlawful deportation or transfer or unlawful confinement of a protected person, compelling a protected person to serve in the forces of a hostile Power, or wilfully depriving a protected person of the rights of fair and regular trial prescribed in this Convention, taking of hostages and extensive destruction and appropriation of property, not justified by military necessity and carried out unlawfully and wantonly.
“การละเมิดอย่างร้ายแรง” ที่เกี่ยวข้องกับบทความก่อนหน้านี้ จะรวมถึงการกระทำดังต่อไปนี้ หากกระทำต่อบุคคลหรือทรัพย์สินที่ได้รับการคุ้มครองโดยอนุสัญญา: การฆาตกรรมโดยเจตนา การทรมานหรือการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรม (รวมถึงการทดลองทางชีววิทยา) การก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานอย่างรุนแรงหรือการบาดเจ็บสาหัสต่อร่างกายหรือสุขภาพ การเนรเทศหรือโยกย้ายโดยผิดกฎหมาย การกักขังโดยผิดกฎหมาย การบังคับบุคคลที่ได้รับการคุ้มครองให้ทำหน้าที่ในกองกำลังของฝ่ายศัตรู หรือการเพิกถอนสิทธิในการพิจารณาคดีอย่างยุติธรรมและปกติที่กำหนดไว้ในอนุสัญญานี้ การจับตัวประกัน และการทำลายทรัพย์สินหรือยึดครองอย่างกว้างขวางโดยไม่มีความจำเป็นทางทหารและดำเนินการอย่างผิดกฎหมายและไม่มีเหตุผลอันสมควร”
Article 8 – War Crimes
(2)(a)(i): Intentionally directing attacks against the civilian population as such or against individual civilians not taking direct part in hostilities.
(2)(b)(ii): Intentionally directing attacks against civilian objects, that is, objects which are not military objectives.
(2)(b)(iv): Intentionally launching an attack in the knowledge that such attack will cause incidental loss of life or injury to civilians or damage to civilian objects or widespread, long-term and severe damage to the natural environment which would be clearly excessive in relation to the concrete and direct overall military advantage anticipated.
: (2)(a)(i): การจงใจมุ่งเป้าโจมตีต่อประชากรพลเรือนโดยเฉพาะ หรือโจมตีต่อบุคคลที่ไม่ได้มีส่วนร่วมโดยตรงในปฏิบัติการทางทหาร
(2)(b)(ii): การจงใจมุ่งเป้าโจมตีต่อวัตถุพลเรือน ซึ่งไม่ได้เป็นเป้าหมายทางทหาร
(2)(b)(iv): การจงใจดำเนินการโจมตีโดยรู้ว่า การโจมตีดังกล่าวจะทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตหรือการบาดเจ็บต่อพลเรือน การเสียหายต่อวัตถุพลเรือน หรือความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติที่กว้างขวาง ยาวนาน และรุนแรง ซึ่งจะถือว่าเกินกว่าผลประโยชน์ทางทหารที่เป็นรูปธรรมและตรงประเด็นโดยรวมที่คาดการณ์ไว้
ความท้าทายในการบังคับใช้กฎหมาย
แม้ว่าแนวคิดการประหารชีวิตจะสะท้อนถึงความยุติธรรมในเชิงศีลธรรมและการส่งเสริมความชอบธรรมของอิหร่าน แต่ในทางปฏิบัติ การดำเนินการดังกล่าวเผชิญกับความท้าทายหลายประการ:
- อิสราเอลไม่ยอมรับอำนาจของ ICC ทำให้การบังคับใช้คำสั่งจับกุมเป็นไปได้ยาก
- ประเทศพันธมิตรของอิสราเอล เช่น สหรัฐฯ อาจปกป้องเนทันยาฮูและใช้กระบวนการทางการทูตเพื่อต่อต้านข้อกล่าวหา
บทสรุป:การเรียกร้องให้มีการประหารชีวิตเนทันยาฮูโดยผู้นำอิหร่านไม่ได้เป็นเพียงการแสดงความโกรธเคืองต่อการกระทำในฉนวนกาซา แต่ยังเป็นการย้ำถึงจุดยืนเชิงศีลธรรมและการเมืองของอิหร่าน การกระทำนี้สะท้อนความต้องการที่จะคืนความยุติธรรมแก่ผู้เสียหาย และปกป้องหลักการสิทธิมนุษยชนในภูมิภาค แม้ว่าการบังคับใช้ในทางปฏิบัติจะยังคงเป็นไปได้ยาก แต่กรณีนี้ได้สร้างความตระหนักในระดับสากลเกี่ยวกับความสำคัญของการรับผิดชอบต่อการกระทำผิดในระดับผู้นำประเทศ.
แหล่งอ้างอิง:
ICC ออกหมายจับเนทันยาฮู-กัลลันต์ ฐานก่ออาชญากรรมสงคราม
https://mgronline.com/around/detail/9670000112211