อิสลามศึกษา: ตอนที่ 3 การศึกษาเรื่องพระเจ้า

32

การศึกษาเรื่องพระเจ้า

บทนำ

คำถามนำในเรื่องการรู้จักพระเจ้าคือ: การรู้จักพระเจ้าอย่างแน่นอน (ยากีน) เป็นไปได้หรือไม่ ? หรือ เราสามารถมั่นได้ร้อยเปอร์เซ็นหรือไม่ที่จะพิสูจน์และรู้จักพระผู้เป็นเจ้า คำตอบที่ถูกต้องคือ:

“แนวคิดเรื่องความเป็นจริงที่ไม่มีขอบเขตนั้นเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ และการพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้าก็เป็นไปได้เช่นกัน นอกจากนี้ การรับรู้ถึงการมีอยู่ของพระเจ้าด้วยการเข้าใจโดยตรงหรือผ่านประสบการณ์ก็เป็นไปได้เช่นกัน ทัศนะนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการใช้บุรฮานร่วมกับอายะฮ์ (โองการจากคัมภีร์อัลกุรอาน) และริวายะฮ์ (คำบอกเล่าของท่านศาสดาและอิมาม) เราสามารถพิสูจน์การมีอยู่และคุณลักษณะของพระเจ้าได้ด้วยการใช้เหตุผลและการอ้างอิงจากอายะฮ์และริวายะฮ์เหล่านี้”

ในทางกลับกันหากการรู้จักพระเจ้าในเชิงทฤษฎีเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ การประทานอายะฮ์ที่เกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้าก็จะเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ศึกษาศาสนาอิสลามและสำหรับชาวมุสลิมนั้น พวกเขาไม่ควรมองว่า เรื่องพระเจ้าเป็นเรื่องที่ต้องเชื่อตามๆกัน และควรตระหนักอยู่เสมอว่า พระเจ้าที่แท้จริงคือความเป็นจริงที่ปรากฏอยู่นอกความคิดและจินตนาการของมนุษย์ และความเข้าใจและความคิดนั้นเป็นเพียงตัวแทนที่ชี้ถึงพระเจ้าที่แท้จริงเท่านั้น

ความเชื่อในพระเจ้า สามารถอธิบายได้ว่าเป็นความเชื่อในพระเจ้าหนึ่งเดียว ผู้สร้างที่ไร้ขอบเขต ดำรงอยู่ด้วยตนเอง เป็นอิสระจากสิ่งอื่น มีอยู่ชั่วนิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่รับผลกระทบจากสิ่งใด มีความสมบูรณ์ มีความรู้และพลังอันไร้ขีดจำกัด พระเจ้าที่แท้จริงคือผู้ที่เป็นความดีบริสุทธิ์ คู่ควรแก่การเคารพภักดี และเนื่องจากพระเจ้าไม่มีขอบเขต ไม่มีขีดจำกัด พระองค์จึงมีคุณลักษณะที่ปราศจากข้อจำกัดทั้งปวง เมื่อท่านเจอกับคำอธิบายในลักษณะนี้ นั่นคือ ความจริงนี้ในซึ่งในวิชาการความรู้และวัฒนธรรมอิสลามเรียกว่า “อัลลอฮ์”

เหตุผลในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้า

นักเทววิทยา นักปรัชญาอิสลาม และนักวิชาการมุสลิมได้แบ่งเหตุผลในการพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้าออกเป็นเจ็ดประเภท ได้แก่:

  1. สำนึกบริสุทธิ์(ฟิฏเราะฮ์)
  2. บุรฮาน[1]วุญูบ วะ อิมกอน
  3. บุรฮานฮุดูษ
  4. บุรฮานฮะรอกัต
  5. บุรฮานนัฟซ์
  6. บุรฮานนัซม์
  7. บุรฮานซิดดีกีน

การอธิบายและวิเคราะห์เหตุผลทั้งหมดเหล่านี้ต้องใช้เวลาอย่างมาก ในที่นี้เราจะกล่าวถึงเหตุผลสามประการที่ใช้ร่วมกันในหมู่นักคิดอิสลามและตะวันตก ได้แก่:

  1. เหตุผลจากธรรมชาติหรือเหตุผลทางจิตสำนึก
  2. บุรฮานนัซม์(เหตุผลจากการสังเกตธรรมชาติและเหตุผลทางตรรกะ)
  3. บุรฮานวุญูบวะอิมกอน(เหตุผลทางตรรกะ)
    (คุซรูปะนาห์, กะลามโนวีนอิสลามี, เล่ม 1, หน้า 65)
  4. เหตุผลจากธรรมชาติ(ฟิฏเราะฮ์)

การรู้จักการมีอยู่ของพระเจ้ามีสองแนวทาง: การเดินทางผ่านโลกภายนอกและการเดินทางผ่านโลกภายใน อัลกุรอานกล่าวไว้ว่า:

«سَنُرِيهِمْ آيٰاتِنٰا فِي اَلْآفٰاقِ وَ فِي أَنْفُسِهِمْ حَتّٰى يَتَبَيَّنَ لَهُمْ أَنَّهُ اَلْحَقُّ‌»
“เราจะให้พวกเขาเห็นสัญญาณของเราในขอบฟ้าและในตัวพวกเขาเองจนกระทั่งพวกเขาจะรู้ชัดว่าพระองค์คือความจริง”
(อัลกุรอาน, 41:53)

มนุษย์สามารถรู้จักการมีอยู่ของพระเจ้าได้จากการสังเกตสิ่งสร้างและการพิจารณาการเกิดขึ้น การเป็นไปได้ และความมีระเบียบของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในโลก (การเดินทางผ่านโลกภายนอก) แต่การรู้จักพระเจ้าในแบบที่เป็นการรู้โดยตรงและไม่มีสื่อกลางเกิดขึ้นจากการพิจารณาตัวเอง (การเดินทางผ่านโลกภายใน) แนวทางการพิจารณาตัวเองนี้สามารถเรียกว่า “ทางแห่งธรรมชาติ” (ฟิฏเราะฮ์)

ความหมายของฟิฏเราะฮ์

คำว่า «فَطَر» ในภาษาอาหรับดั้งเดิมหมายถึง “การเริ่มต้น” และยังหมายถึง “การสร้าง” ได้ด้วย เนื่องจากการสร้างสิ่งใดหมายถึงการทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นและเริ่มมีอยู่ ฟิฏเราะฮ์จึงหมายถึงสภาวะพิเศษของการเริ่มต้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือเป็นรูปแบบหนึ่งของการสร้าง สิ่งที่สามารถเรียกว่าเป็นธรรมชาติ (ฟิฏเราะฮ์) คือลักษณะที่การสร้างสรรพสิ่งจำเป็นต้องมี และมีคุณสมบัติ 3 ประการดังนี้:

  1. พบได้ในสิ่งมีชีวิตทุกประเภทแม้ว่าคุณสมบัติเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปตามระดับความเข้มข้น
  2. คงที่เสมอไม่ใช่เพียงแค่ในบางช่วงเวลาเท่านั้นที่มีลักษณะเฉพาะ และในช่วงเวลาอื่น ๆ มีลักษณะต่างกัน อัลกุรอานกล่าวว่า: “นี่คือฟิฏเราะฮ์ที่อัลลอฮ์ทรงสร้างมนุษย์ไว้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการสร้างสรรค์ของพระเจ้า”
    «فِطْرَتَ اللَّهِ الَّتِي فَطَرَ النَّاسَ عَلَيْهَا لا تَبْدِيلَ لِخَلْقِ اللَّهِ»
    (อัลกุรอาน, โรม: 30)
  3. สิ่งที่เป็นฟิฏเราะฮ์ในฐานะที่เป็นลักษณะธรรมชาตินั้นไม่ต้องการการสอนหรือการเรียนรู้ แม้ว่าการเสริมสร้าง การเตือน หรือการชี้นำอาจต้องการการเรียนรู้และการอ้างเหตุผล

จากอายะฮ์และริวายะฮ์แสดงให้เห็นว่า การรู้จักพระเจ้าเป็นเรื่องฟิฏเราะฮ์ มนุษย์ทุกคนมีความรู้และการตระหนักถึงพระเจ้าอยู่ในฟิฏเราะฮ์ของตน แม้ว่าจะหลงลืมไปบ้างก็ตาม ท่านศาสดามิได้ถูกส่งมาเพื่อบอกให้มนุษย์รู้ว่าพระเจ้ามีอยู่ แต่เพื่อเตือนให้พวกเขาระลึกถึงความรู้ที่มีอยู่แล้ว อัลกุรอานกล่าวว่า:

«فَذَكِّرْ إِنَّمٰا أَنْتَ مُذَكِّرٌ»
จงเตือน เพราะเจ้าเป็นเพียงผู้เตือน”
(อัลกุรอาน, อัลฆอชิยะฮ์: 21)

อีกทั้งยังกล่าวว่า:

«فَأَقِمْ وَجْهَكَ لِلدِّينِ حَنِيفاً فِطْرَتَ اَللّٰهِ اَلَّتِي فَطَرَ اَلنّٰاسَ عَلَيْهٰا لاٰ تَبْدِيلَ لِخَلْقِ اَللّٰهِ ذٰلِكَ اَلدِّينُ اَلْقَيِّمُ وَ لٰكِنَّ أَكْثَرَ اَلنّٰاسِ لاٰ يَعْلَمُونَ‌»
ดังนั้น จงมุ่งมั่นใบหน้าของเจ้าไปสู่ศาสนาที่บริสุทธิ์ นี่คือฟิฏเราะฮ์ที่อัลลอฮ์ทรงสร้างมนุษย์ไว้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการสร้างสรรค์ของพระเจ้า นี่คือศาสนาที่มั่นคง แต่มนุษย์ส่วนมากไม่รู้”
(อัลกุรอาน, โรม: 30)

มนุษย์ก่อนที่จะเข้ามาในโลกนี้เคยอยู่ในโลกอื่น ๆ มาก่อน และในโลกนั้น พระเจ้าได้แสดงตนแก่พวกเขาด้วยคุณลักษณะแห่งความงามและความยิ่งใหญ่ และพวกเขาทุกคนได้ยอมรับการมีอยู่ของพระเจ้าในฐานะพระผู้เป็นเจ้าแห่งจักรวาล แต่หลังจากที่มนุษย์เข้าสู่โลกธรรมชาติ เขาอาจลืมเหตุการณ์เหล่านั้นไป แต่สาระแห่งการรู้จักนี้ยังคงอยู่กับเขา

ผู้สนับสนุนทัศนะนี้ใช้หลักฐานจากอายะฮ์สำคัญที่เรียกว่า “อายะฮ์แห่งพันธสัญญา”:

«وَ إِذْ أَخَذَ رَبُّكَ مِنْ بَنِي آدَمَ مِنْ ظُهُورِهِمْ ذُرِّيَّتَهُمْ وَ أَشْهَدَهُمْ عَلىٰ أَنْفُسِهِمْ‌ أَ لَسْتُ بِرَبِّكُمْ قٰالُوا بَلىٰ شَهِدْنٰا أَنْ تَقُولُوا يَوْمَ اَلْقِيٰامَةِ إِنّٰا كُنّٰا عَنْ هٰذٰا غٰافِلِينَ‌»
และเมื่อพระเจ้าของเจ้าได้นำลูกหลานของอาดัมออกจากหลังของพวกเขา และทำให้พวกเขาเป็นพยานต่อพวกเขาเอง (โดยถามว่า) ฉันมิใช่พระเจ้าของพวกเจ้าหรือ?’ พวกเขากล่าวว่า ใช่แล้ว เราขอเป็นพยานเพื่อที่พวกเจ้าจะไม่กล่าวในวันกิยามะฮ์ว่า พวกเราไม่รู้เรื่องนี้‘”
(อัลกุรอาน, อัลอะรอฟ: 172)

การแสวงหาพระเจ้าอาจลดลงไปด้วยปัจจัยต่าง ๆ แต่จะไม่มีวันสูญหาย และบางครั้งอาจปรากฏขึ้นอีกครั้ง ดังที่อัลกุรอานกล่าวว่า:

«فَإِذٰا رَكِبُوا فِي اَلْفُلْكِ دَعَوُا اَللّٰهَ مُخْلِصِينَ لَهُ اَلدِّينَ فَلَمّٰا نَجّٰاهُمْ إِلَى اَلْبَرِّ إِذٰا هُمْ يُشْرِكُونَ‌»
และเมื่อพวกเขาขึ้นเรือ พวกเขาได้วิงวอนขอต่ออัลลอฮ์ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ แต่เมื่อพระองค์ทรงช่วยพวกเขากลับมายังแผ่นดินแห้ง พวกเขาก็กลับไปสู่การตั้งภาคี”
(อัลกุรอาน, อัลอังกะบูต: 65)

การหมดหวังทำให้มนุษย์ระลึกถึงพระเจ้า แต่เมื่อเขากลับมายังสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย เขาก็หันไปพึ่งพาสิ่งอื่นและตั้งภาคีขึ้น

  1. บุรฮานนัซม์(เหตุผลจากความมีระเบียบ)

การมีระเบียบและการจัดการที่ดีของจักรวาลเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่มีผู้สร้างที่มีเป้าหมายและมีผู้ควบคุมที่มีปัญญาและความรู้ ความมีระเบียบทำให้เกิดความสัมพันธ์และความสมดุลเฉพาะระหว่างสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบของสิ่งประกอบหรือสิ่งที่เป็นบุคคลในสายพันธุ์เดียวกัน หรือแม้แต่สิ่งที่มีคุณสมบัติต่างกัน ความมีระเบียบนี้นำพาสิ่งเหล่านั้นไปสู่เป้าหมายหนึ่งเดียว

บุรฮานนัซม์ (เหตุผลจากความมีระเบียบ) ตั้งอยู่บนหลักฐานสองประการ คือหลักฐานจากประสาทสัมผัสและเหตุผลทางตรรกะ
(ฮะมีดรฎอ ชากิรีน, บุรฮานการพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้าในการโต้แย้งข้อกังขาของจอห์น ฮัสเปอร์ส, หน้า 147)

เหตุผลจากความมีระเบียบ

หลักฐานจากการสังเกต (ประสาทสัมผัส): ในโลกธรรมชาติ มีระบบระเบียบที่แน่นอน ซึ่งมนุษย์สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน หนังสือวิทยาศาสตร์ทั้งหมดเป็นการอธิบายและตีความเกี่ยวกับระบบระเบียบนี้

หลักฐานจากเหตุผล: เหตุผลกล่าวอย่างชัดเจนว่า เป็นไปไม่ได้ที่ระบบและความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อนและแม่นยำนี้จะไม่มีผู้สร้างที่มีความสามารถ มีปัญญา และมีเจตนา เพราะความคิดเรื่องระเบียบหมายถึงความคิดเรื่องเหตุผลและผู้สร้างที่มีความรู้สำหรับระบบนี้
(ญะอ์ฟัร ซุบฮานี, มัดเคิล มะซาเอล ญะดีด ดัร อิลมุลกะลาม, เล่ม 1, หน้า 74-76)

หลักฐานจากอัลกุรอาน: หลายอายะฮ์ในอัลกุรอานได้กล่าวถึงเหตุผลนี้ เช่น:

«إِنَّ فِي خَلْقِ اَلسَّمٰاوٰاتِ وَ اَلْأَرْضِ وَ اِخْتِلاٰفِ اَللَّيْلِ وَ اَلنَّهٰارِ وَ اَلْفُلْكِ اَلَّتِي تَجْرِي فِي اَلْبَحْرِ بِمٰا يَنْفَعُ اَلنّٰاسَ وَ مٰا أَنْزَلَ اَللّٰهُ مِنَ اَلسَّمٰاءِ مِنْ مٰاءٍ فَأَحْيٰا بِهِ اَلْأَرْضَ بَعْدَ مَوْتِهٰا وَ بَثَّ فِيهٰا مِنْ كُلِّ دَابَّةٍ وَ تَصْرِيفِ اَلرِّيٰاحِ وَ اَلسَّحٰابِ اَلْمُسَخَّرِ بَيْنَ اَلسَّمٰاءِ وَ اَلْأَرْضِ لَآيٰاتٍ لِقَوْمٍ يَعْقِلُونَ‌»

“แท้จริง ในการสร้างฟากฟ้าและแผ่นดิน การสลับของกลางวันและกลางคืน การเคลื่อนที่ของเรือในทะเลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้คน และน้ำที่อัลลอฮ์ทรงประทานลงมาจากฟากฟ้า ทำให้แผ่นดินที่ตายแล้วกลับมามีชีวิต และการกระจายสัตว์ทุกชนิดบนแผ่นดิน การหมุนเวียนของลมและเมฆที่เคลื่อนที่ระหว่างฟากฟ้าและแผ่นดิน ล้วนเป็นสัญญาณสำหรับผู้มีสติปัญญา”
(อัลกุรอาน, อัลบากอเราะฮ์: 164)

อายะฮ์อื่น ๆ อีกมากมายในอัลกุรอานยังสนับสนุนการพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้าในฐานะที่ทรงมีความสามารถและความรู้ ผ่านเหตุผลแห่งระเบียบหรือที่เรียกว่า “บุรฮานอายะฮ์”
(อัลกุรอาน, โรม: 25-20; อัลรอ๊ด: 3; อัลอันฟาล: 62-63)

คำตอบต่อข้อคัดค้านของนักปรัชญาตะวันตก: นักปรัชญาตะวันตกบางคน เช่น เดวิด ฮูม และ อิมมานูเอล คานท์ ได้เสนอข้อคัดค้านต่อเหตุผลนี้ โดยข้อคัดค้านที่สำคัญคือ:

ข้อคัดค้าน: ในบุรฮานแห่งระเบียบ (เหตุผลจากความมีระเบียบ) ไม่มีเงื่อนไขของการเป็นการพิสูจน์เชิงประสบการณ์ เนื่องจากเราไม่สามารถมีประสบการณ์หรือทดสอบจักรวาลอื่น ๆ ได้เพื่อใช้เป็นตัวอย่างเปรียบเทียบ

คำตอบ: บุรฮานแห่งระเบียบไม่ใช่เหตุผลจากประสบการณ์ แต่เป็นเหตุผลจากตรรกะ เหตุผลของมนุษย์เข้าใจสิ่งต่าง ๆ และตัดสินจากความสัมพันธ์ที่มีอยู่ระหว่างสิ่งเหล่านั้น เมื่อเหตุผลเห็นความสัมพันธ์ที่มีเป้าหมาย มันจึงตัดสินว่าสิ่งเหล่านั้นต้องมีความสัมพันธ์กับความรู้และปัญญา
(ฮะมีดรฎอ ชากิรีน,การพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้าในการโต้แย้งข้อกังขาของจอห์น ฮัสเปอร์ส, หน้า 147)

หมายเหตุเพิ่มเติม: คำว่า วาญิบุลวุญูด หมายถึงสิ่งที่มีการมีอยู่เป็นลักษณะโดยเนื้อแท้ของมันเอง และการมีอยู่ของมันไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งอื่น
(อาลี บิน มุฮัมมัด ญุรญานี, อัตตะอ์รีฟาต, หน้า 109)

  1. บุรฮานวุญูบและอิมกอน(เหตุผลจากความจำเป็นและความเป็นไปได้)

บุรฮานวุญูบและอิมกอนมีหลายรูปแบบการอธิบาย ซึ่งที่นี่จะกล่าวถึงหนึ่งในนั้น อิบนุซีนาได้สรุปเหตุผลนี้ว่า:

«สิ่งที่มีอยู่ หากพิจารณาโดยตัวมันเอง จะเป็นได้ทั้งสิ่งที่จำเป็นต้องมีอยู่ (วาญิบุลวุญูด) หรือสิ่งที่เป็นไปได้ที่จะมีอยู่ (มุมกินุลวุญูด) หากมันเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีอยู่ ก็ถือว่าข้อพิสูจน์ได้รับการยืนยันแล้ว แต่หากเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ก็ต้องการเหตุผลที่ทำให้มันมีอยู่ และเนื่องจาก(ดูร)การให้เหตุผลแบบวนซ้ำ (Circular Reasoning)หรือตะซัลซุลการให้เหตุผลแบบลูกโซ่ (Chain Reasoning)อย่างไม่มีที่สิ้นสุดของสาเหตุนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จึงต้องลงเอยที่การมีอยู่ของสิ่งที่จำเป็นต้องมีอยู่ (วาญิบุลวุญูด)»(อิบนุซีนา, ชัรห์ อัลอิชารอต วัลตันบีฮาฮ์, เล่ม 3, หน้า 18)

ความโดดเด่นของเหตุผลนี้ คือไม่จำเป็นต้องพิจารณาคุณลักษณะของสิ่งที่ถูกสร้าง ไม่ต้องพิสูจน์การเกิดหรือการเคลื่อนไหวของสิ่งต่าง ๆ และแม้กระทั่งไม่ต้องพิสูจน์การมีอยู่ของสิ่งที่ถูกสร้าง เพราะข้อสมมุตินี้ได้ถูกตั้งขึ้นอย่างมีเหตุผลแล้ว การดำเนินการของเหตุผลนี้ขึ้นอยู่กับการยอมรับหลักการของการมีอยู่โดยตรง หลักการของเหตุและผล และการปฏิเสธการเวียนกลับหรือการไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถโต้แย้งได้ หรือสามารถพิสูจน์ได้(มุฮัมมัด ตะกี มิศบาฮ์ยัซดี, ออมูเซชฟัลซาเฟะฮ์, เล่ม 2, หน้า 341)

ผู้รู้บางคนเชื่อว่า บุรฮานของอิบนุซีนาไม่ขึ้นอยู่กับการปฏิเสธการให้เหตุผลแบบวนซ้ำกลับหรือลูกโซ่ และหากบุรฮานวุญูบและอิมกอนตั้งอยู่บนหลักการของการปฏิเสธสองหลักการนี้ ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าการวนซ้ำและลูกโซ่นั้นเป็นไปไม่ได้โดยการใช้เหตุผลเกี่ยวกับความขัดแย้ง กล่าวคือ การเวียนกลับ (การพึ่งพาการมีอยู่ของสิ่งหนึ่งบนการมีอยู่ของสิ่งอื่นและในทางกลับกัน) นั้นตั้งอยู่บนหลักการที่ว่าสิ่งหนึ่งต้องพึ่งพาตัวมันเอง ซึ่งจะทำให้สิ่งนั้นเป็นทั้งเหตุและผลพร้อมกัน กล่าวคือ ในขณะเดียวกันมันจะต้องมีอยู่และไม่มีอยู่ ซึ่งเป็นการขัดแย้งกันอย่างชัดเจน

การให้เหตุผลแบบลูกโซ่ซึ่งไม่มีที่สิ้นสุด หมายถึงการที่ห่วงโซ่ของเหตุและผลยาวไปไม่สิ้นสุด โดยไม่มีต้นเหตุแรกเริ่ม กล่าวอีกนัยหนึ่ง การไม่มีที่สิ้นสุดคือการที่สิ่ง “ก” เป็นผลของ “ข” และ “ข” เป็นผลของ “ค” และ “ง” เป็นผลของ “จ” เป็นต้น โดยห่วงโซ่นี้ไม่มีจุดสิ้นสุด นักปรัชญาบางคนเห็นว่าการไม่มีที่สิ้นสุดเป็นสิ่งที่ชัดเจนโดยธรรมชาติว่าเป็นไปไม่ได้ ขณะที่บางคนใช้เหตุผลทางตรรกะเพื่อพิสูจน์ เช่น หากเราพิจารณาห่วงโซ่ของเหตุและผล ซึ่งแต่ละเหตุเป็นผลของอีกเหตุหนึ่ง เราจะได้ห่วงโซ่ของความสัมพันธ์และการพึ่งพาซึ่งไม่มีสิ่งใดที่เป็นอิสระ ซึ่งสิ่งที่พึ่งพาไม่สามารถมีอยู่ได้หากไม่มีสิ่งที่เป็นอิสระ กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ จะต้องมีสิ่งที่มีการมีอยู่เป็นอิสระจากการพึ่งพา เพื่อที่ทุกสิ่งในห่วงโซ่จะมีอยู่ภายใต้สิ่งที่อิสระนั้น เหมือนกับที่ผลรวมของศูนย์ไม่สามารถกลายเป็นตัวเลขที่แท้จริงได้(มุฮัมมัด ตะกี มิศบาฮ์ยัซดี, ออมูเซชฟัลซาเฟะฮ์, เล่ม 2, หัวข้อเรื่องเหตุผล; ซัยยิด มุฮัมมัด ฮุเซน ฏอบาฏอบาอีย์, นิฮายะตุลฮิกมะฮ์, ลำดับที่แปด)

[1] บุรฮาน (برهان) ในปรัชญาและวิชาเทววิทยาอิสลาม: คำว่า “บุรฮาน” ในภาษาอาหรับ หมายถึง “หลักฐาน” หรือ “การพิสูจน์” ในเชิงปรัชญาและเทววิทยาอิสลาม (علم الكلام) บุรฮานหมายถึงกระบวนการให้เหตุผลที่ใช้หลักตรรกะและความเข้าใจที่มีเหตุผลเพื่อพิสูจน์ความจริงของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยบุรฮานถือเป็นวิธีการสำคัญในระบบการวิเคราะห์ของนักวิชาการอิสลาม