โรเบิร์ต แบร์ (ROBERT BAER) อดีตทหารชุดปฏิบัติการของหน่วยงานกลางความมั่นคงสหรัฐอเมริกา ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งหลากหลายในหน่วยงาน CIA เช่น หัวหน้าหน่วยความมั่นคงประจำการในเลบานอน ปี 1983 และยังเป็นผู้สั่งการการปฏิบัติการณ์คาร์บอม ใน บิอฺ รุล อับด์ ในเลบานอนอีกด้วย
เขาได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเป็นที่ฮือฮา ในชื่อ Sleeping with the Devil: How Washington Sold Our Soul for Saudi Crude (นอนกับปีศาจ : วอชิงตันขายวิญญาณของเราอย่างไร เพื่อน้ำมันดิบในซาอุ)
หนังสือเล่มนี้ถูกตีพิมพ์เมื่อปี 2003 และเป็นที่รู้จักในนาม “ทำเนียบขาวกับทองคำดำ” โดยได้กระเทาะเปลือกตะวันออกกลางเข้าสู่แก่นและความเป็นจริงของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรวมทั้งผู้อยู่เบื้องหลัง มีการเปิดโปงประเด็นต่างๆ เช่น ความร่วมมือของซาอุดิอาระเบียกับสหรัฐอเมริกาในการจัดตั้งกลุ่มก่อการร้ายและการชี้นำพวกเขา และบทบาทโดยตรงของซาอุดิอาระเบีย กับสหรัฐอเมริกาที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านี้
เราได้เลือกแปลสรุปประเด็นหลักที่สำคัญจากหนังสือเล่มนี้ ได้แก่
– การกำเนิดกลุ่มก่อการร้ายตักฟีรี
– การนิ่งเฉยอย่างมีเลิศนัยของอเมริกาต่ออัล-กออิดะห์
– ฉากละครแห่งวันพิพากษา
– วะฮาบีกับ ราชวงศ์ซาอูด ในอ้อมแขนของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ
– เจ้าหน้าที่สหรัฐอเมริกา กับการรับเงินเดือนจากซาอุฯ
– เปิดโปง “ ฮัยฟา บันดัร” ในเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมวันที่ 11 กันยา
– เคล็ดลับแห่งความโสมมของทำเนียบขาว และความเพิกเฉยของ CIA ต่อต้นกำเนิดของกลุ่มก่อการร้าย
– เหตุผลของการนิ่งเฉยของอเมริกาต่อวะฮาบีและพรรคภราดรภาพ
– เรื่องน่ารู้จากการซื้ออาวุธของซาอุดิอาระเบีย
– เหตุใดสหรัฐอเมริกาจึงไม่รู้ร้อนต่อกลุ่มก่อการร้ายของซาอุฯ
– รูปแบบการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายของวอชิงตัน
ภาคที่หนึ่ง
การค้าอาวุธในซาอุดิอาระเบีย
ในปี 1990 แหล่งที่มาของรายได้หลักในการช่วยเหลือ อุสามะฮ์ บิน ลาเดน คือ ชายคนหนึ่ง นามว่า วิกเตอร์ บูทธ์ เขาเป็นอดีตนายทหารของรัสเซีย ที่ประจำการในแองโกล่า แล้วเข้าไปลักลอบค้าอาวุธและน้ำมัน จากนั้นเขากลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว เพราะเขาสามารถที่จะลักลอบค้าทุกสิ่งทุกอย่าง โดยผ่านบริษัทของตนเอง ชื่อว่า Ayrsys
แม้จะมีการเปิดเผยการค้าที่ผิดกฎหมายของบูทธ์ ในสื่อสารมวลชนต่างๆ แต่ซาอุดีอาระเบีย ก็ยังเป็นศูนย์กลางหลักในการซื้อขายสิ่งค้าที่ผิดกฎหมายและต้องห้ามเช่นนี้ ดูไบ ก็เป็นอีกแหล่งหนึ่ง ที่บูทธ์ จะทำการฝากทรัพย์สินเงินตราอันมหาศาลในธนาคารต่างๆ เพื่อฟอกเงินในการใช้ก่อวินาศกรรมวันที่ 11 กันยา
ในปี 1987 ได้ก่อตั้งธนาคารที่ร่ำรวยที่สุดในซาอุดีอาระเบีย เป็นธนาคารที่จะให้การช่วยเหลือด้านกิจกรรมการกุศลต่างๆ อีกทั้งจะมีการส่งมอบเงินดังกล่าวให้กับชาวซาอุฯที่มีความคิดสุดโต่ง อย่างเช่น อุสามะฮ์ บิน ลาเดน
นาเยฟ เป็นบุคคลที่ไม่มีใครสามารถเผชิญหน้ากับเขาได้ ซึ่ง นาเยฟ ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยจะมีอภิสิทธิ์เหมือนกับกษัตริย์อับดุลลอฮ์ ที่ไม่มีผู้ใดถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งได้ เขามีความมุ่งมั่นในการสร้าง “สงครามเฉพาะ” กับอเมริกา อีกทั้งจัดส่งเงินช่วยเหลือให้กับวะฮาบีสุดโต่ง แต่เหตุผลความเกลียดชัดของนาเยฟ ที่มีต่อเมริกานั้น เป็นปมคำถามที่ยังคาใจอยู่….
กาตาร์ กับอัลกออิดะห์
ในกลางปี 1990 กาตาร์เป็นเจ้าภาพในการต้อนรับแขกของกลุ่มก่อการ้ายอัลกออิดะห์จำนวน 10 คน ซึ่งกำลังถูกทางการสหรัฐอเมริกาตามล่าอยู่ ซึ่งภายหลังจากที่มีการเปิดโปงเรื่องนี้ คอลิด ชัยค์ มุฮัมมัด ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกที่อันตรายที่สุดของกลุ่มอัลกออิดะห์ ก็เข้าร่วมเป็นแขกของรัฐบาลกาตาร์ในครั้งนั้นด้วย หลุยส์ ฟรีเบอร์ อดีต หัวหน้าเจ้าหน้าที่ เอฟ บี ไอ ได้เขียนจดหมายยังรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศกาตาร์ ให้ยึดมั่นในพันธะสัญญา ด้วยการส่งมอบบุคคลดังกล่าวให้กับทางสำนักงานสืบสวนกลางของอเมริกา
คอลิด ชัยค์ มุฮัมมัด ผู้เป็นลุงของ “รัมซี ยูซุฟ” ซึ่งรัมซี ยูซุฟ เป็นผู้วางแผนระเบิดรถบรรทุกโจมตีเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ในปี 1993 และเขายังเป็นผู้วางแผนในการก่อเหตุระเบิดเครื่องบินโดยสารของอเมริกาจำนวน 11 ลำ ที่บินผ่านน่านฟ้าเปซิฟิก
ในหนึ่งในผลงานการปฏิบัติการณ์ของ คอลิด ชัยค์ มุฮัมมัด คือ การก่อเหตุลอบวางระเบิดเครื่องบินโดยสารของฟิลิปปินส์ ในปี 1994 โดยในเหตุการณ์ครั้งนั้น ผู้มีโดยสารชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเสียชีวิตด้วย
ในจดหมายของอดีตหัวหน้าเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ที่เขียนถึงรัฐมนตรีต่างประเทศของกาตาร์ ได้ย้ำว่า คอลิด ชัยค์ มุฮัมมัด เป็นบุคคลที่จะเป็นภัยอันตรายสำหรับผลประโยชน์ของกาตาร์ เขากำลังผลิตระเบิดที่มีอานุภาพร้ายแรง และอาจทำให้ชีวิตของพี่น้องกาตาร์ตกอยู่ในสภาวะที่อันตรายก็เป็นได้ อีกทั้งเขายังถือหนังสือเดินทางปลอมจำนวน 20 กว่าเล่ม
ขณะที่ช่วงเวลานั้น คอลิด เป็นพนักงานราชการคนหนึ่งในกาตาร์ (เป็นพนักงานฝ่ายบริการสาธารณะ) โดยทางกาตาร์อ้างว่า ไม่สามารถตามหาตัวเขาได้ เขาได้ถูกพาตัวออกจากกาตาร์อย่างลับๆ ขณะที่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงาน เอฟบีไอ เฝ้ารอพบ ณ โรงแรงแห่งหนึ่งของกรุงโดฮา กาตาร์
ความไม่พอใจของอดีตหน่วยงานเอฟบีไอ ต่อกาตาร์ ทวีความรุนแรงมากขึ้นในปี 1997-1999 เมื่อ กาตาร์ได้จัดตั้งบริษัทแห่งหนึ่ง ชื่อ “ไค” ด้วยเงินลงทุน มากถึง 689.805.16 ดอลลาร์ อีกทั้งมีการสร้างบริษัท “วิกลา” ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตันใกล้กับทำเนียบขาว โดยใช้งบประมาณมากถึง 23.938.994.20 ดอลลาร์ โดยวัตถุประสงค์ในการสร้างสองบริษัทดังกล่าวนี้เพื่อสร้างภาพพจน์ที่ดีให้กับกาตาร์ ในขณะที่สองบริษัทดังกล่าวเป็นศูนย์กลางแห่งเงินทุนที่น่าอันตรายที่สุดสำหรับชาวโลก
รัฐบาลยุคสมัยของคลินตัน ไม่เคยฟ้องร้องใดๆ จากรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศกาตาร์ที่เข้าออกทำเนียบขาวอยู่เสมอ และมีอยู่ครั้งหนึ่ง ได้ขอร้องผม (เจ้าของหนังสือ) ให้ออกจากสำนักงานที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ในวันที่มีการพบปะระหว่าง อัลกอร์ รองประธานาธิบดีสหรัฐกับรัฐมนตรีต่างประเทศกาตาร์
ราชวงศ์ซาอุฯ กับ อัล-กออิดะห์
ลำพังตัวนาเยฟ คนเดียวคงไม่น่าจะมีปัญหาเสียเท่าไหร่ อาลีซาอูด ได้เริ่มสถาปนาตนขึ้นปกครองเมื่อปี 1990 และในปี 1996 ซาอุฯ ได้ปัดปฏิเสธคำร้องขอของซูดานที่ให้ส่งมอบตัวบินลาเดน อย่างเรียบง่าย
กรุงริยาด อ้างว่า บินลาเดน เป็นที่รักของพี่น้องชาวซาอุฯ ซึ่งหากมีการส่งมอบตัวเขาหรือจับกุมตัวเขาแล้ว เกรงว่าจะเกิดการปฏิวัติขึ้นมาได้
ตั้งแต่เหตุการณ์ 11 กันยา ทางการซาอุฯ ไม่เคยกล่าวหาหรือมีการการกระทำที่เป็นประโยชน์แม้แต่ครั้งเดียวในการส่งมอบตัวบินลาเดน
นาเยฟ อ้างว่า ทางการซาอุฯไม่สามารถแสดงออกถึงปฏิกิริยาใดๆ ได้ โดยเฉพาะเหตุการณ์ก่อวินาศกรรม 11 กันยา ในขณะที่เหตุการณ์ดังกล่าว ล่วงเลยเป็นเวลาหนึ่งปีเศษ ก็ไม่มีพนักงานชาวซาอุฯ แม้แต่คนเดียวที่ให้การช่วยเหลือสนับสนุนเหตุการณ์ 11 กันยา ที่ถูกทางการซาอุจับกุมตัว
ประเด็นที่เลวร้ายกว่านี้ คือ ในซาอุดิอาระเบีย จะไม่มีคำว่า “รัฐฐาธิปัตย์” “อำนาจการปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ” เมื่อมองยังหนังสือเดินทางของประชาชนชาวซาอุฯ จะเข้าใจว่า เจ้าของหนังสือเดินทางเป็นกรรมสิทธิ์ของราชวงศ์ซาอุฯ โดยที่พลเมืองซาอุฯ เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในทรัพย์สินของราชวงศ์ซาอุฯ ซึ่งไม่มีความแตกต่างอันใดระหว่างวังในกรุงญิดดะห์ หรือ โรลส์รอยซ์อันเป็นกรรมสิทธิ์ของราชวงศ์ซาอุฯ แต่ประการใด ซึ่งคำว่า สิทธิ กฎหมาย หรือ กฎหมายรัฐธรรมนูญนั้น ไม่มีจริงหรอกในซาอุดิอาระเบีย
หากในซาอุดิอาระเบียมีบุคคลที่มีสติปัญญามาบริหารประเทศ มันคงจะดีมากกว่านี้อย่างแน่นอน แต่หาไม่
ความโง่เขลา การใส่ร้ายป้ายสีและความอคติที่สุดโต่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวแห่งครอบครัวของราชวงศ์ซาอุฯ ซึ่งราชวงศ์ซาอุฯ จะทำการยืนหยัดต่อสู้และเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงระบอบเท่านั้น แต่จะไม่ยอมรับความบัดสี และความเกลียดชังของตนเองในประเทศ
เรื่องราวความเสื่อมเสียทางศีลธรรม และความเสียหายด้านต่างๆนานาของซาอุฯ มีการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ต่างๆของอเมริกาอย่างทั่วหน้า หนังสือพิมพ์เหล่านี้มีการตอกย้ำประเด็นสิทธิของสตรี ในซาอุฯ ทว่าไม่ผู้ใดให้ความสำคัญต่อสิ่งนี้ ในซาอุฯ มีการเอางบประมาณรายได้ของชาติจำนวนมหาศาลมาใช้จ่ายในการบำเรอและเสวยสุขในด้านกามรมย์เท่านั้น
ครอบครัวแห่งราชวงศ์ซาอุฯ จะเป็นบุคคลที่ถือครอบครองรายได้ส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งพวกเขาสามารถรังสรรค์วังของตนเองในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้อย่างสบายๆ อันเป็นวังที่สร้างขึ้นที่รายล้อมไปด้วย “นางบำเรอ”
ขณะที่ข้าพเจ้าอยู่ในโมร็อกโค ได้รับรายงานจากหน่วยงานกลางด้านความมั่นคง ว่า มีมงกุฎราชกุมารองค์หนึ่งของซาอุฯ เมาอย่างหนัก โดยมีการล่วงเกินหญิงสาวชาวโมร็อกโคนางหนึ่ง ซึ่งกษัตริย์โมร็อกโคก็ได้ปกปิดเรื่องนี้ แล้วได้จ่ายเงินให้กับครอบครัวหญิงสาวผู้เสียหาย พร้อมกับขู่บังคับ ครอบครัวผู้เสียหายว่า จงปิดปากเสีย หรือมิฉะนั้นจะต้องถูกขังคุกตลอดชีวิต และนี้ก็เป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ประสบความเสร็จอย่างยิ่ง ซึ่งไม่เคยมีการเปิดโปงมาก่อนหน้านี้
โดย อิบราฮิม อาแว(โปรดรออ่านต่อตอนต่อไป)