เป็นที่ชัดเจนที่สุดสำหรับนักวิเคราะห์ ทั้งที่เป็นมุสลิมและไม่ใช่มุสลิม ทั้งที่เป็นซุนนีและชีอะฮ์ ทุกคนยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่า “ซาอุดิอาระเบีย คือผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ ให้ดำเนินนโยบาย “ต่อต้าน” มัซฮับหรือนิกายอื่นที่ไม่ใช่นิกายของ “อับดุลวะฮาบ” หรือที่เรียกกันว่า “วะฮาบี”
ผู้เขียนได้ย้อนกลับไปอ่านบทความหนึ่งของ “เชค ริฏอ อะฮ์หมัด สมะดี” ที่เขียนเกี่ยวกับ “ฮิซบุลเลาะฮ์” พบว่าในบทความดังกล่าวมีเรื่องที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง และเป็นการแสดงทัศนะส่วนตัวในเชิง “อคติ” กับ “ชีอะฮ์” มากเสียกว่าจะเขียน “อย่างที่เป็นจริง”
บทความอันนี้เป็นการเขียนเหมือนการ “คนให้เข้ากัน แล้วสรุปไปในทิศทางที่ต้องการ มากกว่าการเสนอความจริงอย่างตรงไปตรงมา”
โดยผู้เขียนใคร่ที่จะวิจารณ์บทความดังกล่าว และนำเสนอความจริงที่เชคริฎอ ไม่ได้กล่าวถึงไว้…
ในหัวข้อแรก เชคริฎอ ได้ยกประเด็นเรื่อง สงครามในโลกตะวันออก โดยโฟกัสไปที่ “อิสลาม” และ “เลบานอน” ว่า สงครามดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี.… โดยทางอิสราเอลเป็นชนวนเหตุในการก่อสงคราม มีเป้าหมายเพื่อยึดครองพื้นที่ของประเทศเลบานอน ในสงครามนี้ มีกองทัพ “ฮิซบุลเลาะฮ์” กับ รัฐเถื่อนไซออนิสต์เป็นคู่ศึก สงครามได้ดำเนินไปในระยะเวลาประมาณ 33 วัน และผลของสงคราม คือ “ฮิซบุลเลาะฮ์” เป็นฝ่ายชนะ สามารถขับไล่อิสราเอล และทำให้กองทัพรัฐเถื่อนถอยทัพไปได้
ในประการแรก เชคริฎอ ได้ วิจารณ์ถึง หลักศรัทธา และความเชื่อของฮิซบุลเลาะฮ์ เพื่อปฏิเสธว่า กองทัพนี้ไม่ใช่กองทัพมุสลิมที่รบกับอิสราเอล โดยอ้างว่า
“เนื่องจากว่าสงครามครั้งนี้เป็นการปะทะระหว่างยิวกับฮิซบุลเลาะฮ์ ซึ่งเป็นขบวนการที่มีอุดมการณ์ของชีอะฮ์อิมามียะฮ์และมีข้อเกี่ยวพันกับประเทศอิหร่านด้านลัทธิอย่างเหนียวแน่น หลายๆ คนมองว่านี่เป็นสงครามระหว่างยิวกับมุสลิม แต่สำหรับผมและนักวิชาการมุสลิมมากมายได้มองอีกมุมมองหนึ่ง เพราะกลุ่มฮิซบุลเลาะฮ์ถึงแม้จะอ้างตนว่าเป็นมุสลิม แต่ในเชิงหลักศรัทธามั่นและข้อแตกต่างระหว่างซุนนีกับชีอะฮ์ ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อนอกรีตอิสลาม เพราะกลุ่มนี้มีความเชื่อว่าคัมภีร์อัลกุรอานไม่สมบูรณ์ และมีความเชื่อในว่าอะฮ์ลุลบัยต์บางท่านนั้นผู้ศรัทธาสามารถวิงวอนหรือกราบไหว้เขาได้ รวมถึงความเชื่อในบรรดาอิมามของเขาว่าเป็นมะอ์ศูมเหมือนบรรดานบีและร่อซูล ตลอดจนความเชื่อต่อสาวกนบีว่าเป็นผู้ทรยศและตกศาสนา ซึ่งเมื่อพิจารณาความเชื่อของลัทธินี้อย่างละเอียดจะพบว่า สวนกับหลักศรัทธาของอัลกุรอานและซุนนะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อย่างสิ้นเชิง ข้อวิพากษ์นี้เกี่ยวกับความเชื่อ ไม่เกี่ยวกับการตัดสินต่อบุคคลคนหนึ่งว่านอกรีตศาสนาหรือไม่ ดังนั้นความเชื่อต่อฮิซบุลเลาะฮ์นั้นก็หมายถึง เชื่อว่ากลุ่มนี้มีความเชื่อที่ไม่ใช่อิสลาม จึงไม่สมควรที่จะถือว่าฮิซบุลเลาะฮ์นั้น (โดยนิติบุคคล) เป็นกลุ่มมุสลิม”
ผู้เขียนไม่ต้องการที่โต้ ในเรื่องหลักศรัทธาของชีอะฮ์ และความเป็นพี่น้องระหว่างชีอะฮ์กับซุนนี่ เพราะจะทำให้ออกไปจากประเด็นของเรื่องนี้ แต่จะขอกล่าวสั้นๆว่า “ชาวเลบานอน ไม่ได้คิดเหมือนเชคริฎอ ที่ว่า ฮิซบุลเลาะฮ์ไม่ใช่มุสลิม หรือนับถือศาสนาอื่นแต่อย่างใด ตรงกันข้าม พวกเขากลับรวมใจเป็นหนึ่งเดียวและยกย่องเชิดชู ในวีรกรรมที่ฮิซบุลเลาะฮ์ สามารถต่อสู้มีชัยเหนืออิสราเอลได้
ในช่วงสงครามไม่มีใครพูดว่า “ฮิสบุลลอฮ ไม่ใช่มุสลิม พวกเขาจะต้องไม่รบทัพจัดศึกกับอิสราเอล” ไม่มีใครพูดอย่างนี้ในเลบานอนครับ!!
ทุกคนหวังที่จะให้มีคนออกมาปกป้องเขาให้พ้นจากมือมัจจุราชของไซออนิสต์ ทั้งซุนนี่ และชีอะฮ์ ทั้งคริสเตียน และผู้นับถือศาสนาอื่นๆ ต่างก็ยอมรับในความสามารถของกองทัพที่ด้อยกว่า ทั้งด้านอาวุธ และกำลังพลในยุคสมัยนั้น
เป็นการวิจารณ์อย่างเกินเลยที่จะพูดว่า คนเหล่านี้ไม่ใช่มุสลิม และการที่เขาปกป้องมุสลิมเป็นสิ่งผิด !!!
ประการที่สอง เชคริฏอได้อ้างว่า เป้าหมายของอิหร่านและฮิซบุลเลาะฮ์ คือ สร้างอาวุธนิวเคลียร์เพื่อข่มขู่ประเทศซุนนี่
น่าแปลกน่ะครับ!! เพราะคนที่โวยวายเรื่องภัยนิวเคลียร์ คือ สหรัฐอเมริกา ไม่ใช่ประเทศเพื่อนบ้าน
เรามีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่า อิหร่านสร้างนิวเคลียร์ไปในทางสันติ และสหรัฐเล่นการเมืองเพื่อยับยั้งการพัฒนาของอิหร่าน คือ การสร้างพลังงาน ผู้เขียนจะนำเสนอ เกี่ยวกับ ประเด็นเรื่องนิวเคลียร์ในอิหร่านอย่างละเอียดในอนาคต แต่ขอสรุปสั้นๆว่า อิหร่านได้อนุญาตให้ส่งทีมเข้าไปตรวจอย่างโปร่งใสในหลายต่อหลายครั้งว่า โครงการนิวเคลียร์นี้ไม่ใช่เพื่ออาวุธ แต่เพื่อสันติภาพ แต่ก็ไม่วายที่ สหรัฐ จะหาเรื่อง ยื้อการพัฒนาในด้านนี้ และแม้แต่ หน่วยงานสายลับของอิสราเอล อย่างมอสซาด ก็ได้ออกปฏิบัติการลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์โครงการดังกล่าวอีกด้วย
ในเรื่องการข่มขู่ประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเป็นซุนนี่นั้น ผู้เขียนไม่ทราบว่า เชคริฎอ ได้ใช้อะไรมาเป็นข้อพิสูจน์นี้ เพราะเวลาผ่านมาหลายปี จากบทความที่เชคได้เขียนไว้ ทำให้เราได้รู้ว่า บทความนี้ได้ทำนายทิศทางโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านอย่างผิดๆ เพราะกลุ่มที่หวั่นเกรงต่อโครงการนี้มากที่สุด เห็นทีจะไม่ใช่ใครอื่น นอกจากสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล!!
ประการที่สามเชคริฎอ กล่าวว่า “อาวุธปรมาณูของอิหร่านไม่ได้ถูกพัฒนาเพื่อข่มขู่อเมริกาหรืออิสราเอล เพราะในประวัติของอิหร่านเคยร่วมมือกับอเมริกาและอิสราเอลในสงครามระหว่างอิรักกับอิหร่านสมัยที่ ซัดดัม ฮุสเซ็น ยังเป็นประธานาธิบดีของอิรัก “
ในประเด็นนี้ ผู้เขียนคิดว่า ท่านเชคไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์หลังการปฏิวัติของอิมามโคมัยนี ที่งานแรกคือ การจับกุม สายลับอเมริกัน ในสถานทูตอเมริกา (แม้ว่า สื่อตะวันตกจะเสนอข่าวว่า เป็นการจับกุมประชาชนชาวอเมริกันก็ตาม แต่จากหลักฐานชี้ว่า มีการทำลายเอกสารมากมายก่อนที่จะมีการบุกสถานทูต และหลังจากประกอบเอกสารพบว่า มีเอกสารฉบับหนึ่งที่ชี้ว่า สหรัฐ มีแผนก่อจลาจลแบ่งแยกดินแดนหลังปฏิวัติ ซึ่งผู้เขียนได้นำเสนอเรื่องนี้ไว้แล้วในบทความที่มีชื่อว่า “สหรัฐเคยทำอะไรไว้บ้างกับอิหร่าน”
และนอกจากนี้ มันยังไม่ตรงกับความเป็นจริงที่จะอ้างว่า อิหร่านผู้ซึ่งทำสงครามกับซัดดัม โดยมีสหรัฐฯ และหลายสิบประเทศ คอยหนุนหลัง เป็นเวลากว่า 8 ปี อยู่ๆ กลับเปลี่ยนแปลงนโยบายการเมืองของตัวเองกระทันหัน หลังจากที่ต่อต้านสหรัฐและอิสราเอลมากว่า 30 ปี เพราะอยากร่วมมือกับสหรัฐฯ สังหารซุนนี่!!!
น่าแปลกครับ! ที่อ่านไปอ่านมาแล้ว เชคริฎอพยายามจะเสนอออกไปทางนี้ เพราะอิหร่านซึ่งถูกคว่ำบาตรจากโลกตะวันตก นำทีมโดยสหรัฐฯ มาเป็นเวลากว่าสามสิบปี และจนถึงขณะนี้ก็ยังโดนคว่ำบาตรอยู่ จะหันมาร่วมมือกับอเมริกา …หรือท่านเชคลืมในข้อนี้??
และ หลังจากปฏิวัติเอง ซุนนีในอิหร่าน และอิรัคก็เริ่มที่จะสามารถสร้างวัฒนธรรมทางศาสนาให้เข้มแข็งได้มากยิ่งขึ้น ข้อกล่าวหาเรื่อง “การกดขี่ซุนนี่ในอิหร่าน” หลายต่อหลายครั้งที่ผู้เขียนพบว่า ผู้รู้ฝ่ายวะฮาบี ได้พยายามนำเสนอ ให้ชาวโลกรับรู้ข้อมูลที่ไม่เป็นจริง ซึ่ง 90 เปอร์เซ็นต์มีตะวันตกเป็นผู้ป้อนข้อมูลให้หลายประการตั้งแต่ คดีแขวนคอหุ่นขี้ผึ้ง ซึ่งมีผู้รู้ในไทยจงใจเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว หรือ คดีสั่งประหารชีวิตกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ก็ถูกนำมาเสนอให้ชาวโลกรับรู้ว่า อิหร่านกดขี่ชาวซุนนี่ในประเทศตัวเอง ทั้งๆที่ ความเป็นซุนนี่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ ประเด็นดังกล่าวเลย
ต่อมา เชคริฎอได้วิจารณ์ว่า “อิหร่านได้ร่วมมือกับประเทศอเมริกาเพื่อถล่มรัฐบาลฏอลีบันและกลุ่มกออิดะฮ์ในอัฟกานิสถาน จนถึงช่วงที่อเมริกาเข้าไปยึดครองอิรักนั้นก็ไม่มีใครที่ยื่นมือให้การสนับสนุนเหมือนกลุ่มชีอะฮ์ในประเทศอิหร่านและในประเทศอิรักด้วย “
ย้อนกลับไปในช่วงก่อนและหลังสงครามสหรัฐกับอิรัก จุดยืนของอิหร่านตามคำกล่าวของผู้นำสูงสุด คือ “เราจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในสงครามนี้ เพราะโมฆะกับโมฆะกำลังทำสงครามกัน”
ฉะนั้น จึงจะเห็นว่า อิหร่าน ไม่เคยส่งกำลังทหารของตัวเองสนธิกำลังกับอเมริกาในการทำสงครามกับซัดดัม ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่จะเห็นว่า กองทัพอิหร่านยืนถ่ายรูปคู่กับกองทัพจีไอ และตัวของซัดดัมเอง “ก็ยังอ้อนวอนต่ออิหร่าน ในช่วงที่ใกล้จะแพ้ว่า อย่างน้อยให้ช่วยเรา เท่ากับน้ำหนึ่งแก้วที่อยู่บนโต๊ะนี้ก็ยังดี”
การเหมารวมว่า อิหร่านกับสหรัฐฯ ร่วมมือกัน จึงเป็นเพียงการแก้เกี้ยวเพื่อไม่ให้อิหร่านมือสะอาดเกินไป ขณะที่ในด้านตรงข้าม ประเทศวะฮาบีอย่างซาอุฯ กลับเป็นประเทศที่ร่วมมือกับสหรัฐอเมริกาอย่างชัดเจน ไฉนเล่า เชคริฎอจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้เลย?? หลักฐานที่สำคัญ ซึ่งพิสูจน์มาอย่างยาวนาน ก็คือ “จดหมายเปิดผนึก” ของ ราชวงศ์ซาอูดเอง!!
เป็นจดหมายที่ตอกย้ำจุดเริ่มต้นความชั่วช้าของต้นตระกูลราชวงศ์ทรราชบนแผ่นดิน อัล-ฮารอมัย แห่งแค้วนฮิญาซ หรือซาอุดี้อารเบียปัจจุบัน (ชื่อประเทศที่ถูกเปลี่ยนมาตามชื่อตระกูลอัซซาอุ๊ด อันอัปยศ) .. ถือเป็นความอัปยศของตระกูลชั่วช้าที่ยังคงรอการชำระ และน่าอัปอายของเหล่าชนชาวอาหรับจนถึงปัจจุบัน / และหลักฐานชิ้นเดียวกันนี้ถูกเจ้าหน้าที่ในสำนักจุฬาราชมนตรีไทย กองงานเมาลิดกลาง”ห้ามวาง”เผยแพร่ให้ศรัทธาชนได้รับรู้ ในงานเมาลิดกลางปีล่าสุด 1435 .. นับเป็นความอัปยศที่ยังสืบทอดอยู่ปัจจุบัน
โดยจดหมายดังกล่าวมีความว่า:
“ข้าพเจ้าซุลต่านอับดุลอะซีซ บุตรอับดุลเราะห์มาน อัลสะอุ๊ด อัลไฟซอล ข้าพเจ้ายอมรับและรับทราบต่อเซอร์เพอร์ซี่ ค็อกซฺ ผู้แทนสหราชอาณาจักรนับพันครั้งว่า ข้าพเจ้าไม่คัดค้านที่จะมอบแผ่นดินปาเลสไตน์ให้ชาวยิวผู้น่าสงสารหรือแม้แต่ ผู้ไม่ใช่ชาวยิว และข้าพเจ้าจะไม่มีวันละเมิดข้อตกลง (กับสหราชอาณาจักร)”
พร้อมลายเซ็นต์ประทับตราซุลต่านอับดุลอาซีซ
“I am the Sultan Abdul Aziz Bin Abdul Rahman Al Saud al-Faisal and I conceded and acknowledged a thousand times to Sir Percy Cox, delegate of Great Britain, that I have no objection to giving Palestine to the poor Jews or even to non-Jews, and I will never ever violate their [the UK] orders,” read the note signed by King Abdul Aziz
และนอกจากนี้ ยังมีหลักฐาน และความชัดเจนอย่างมากมายที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ซาอุดิอาระเบีย ได้ดำเนินนโยบาย การเมืองระหว่างประเทศตะวันตก อย่างกับพี่น้องผองเพื่อนกล่าวคือ ตั้งแต่สมัยสงครามโลกจนถึงปัจจุบัน เรื่องที่ชัดที่สุด ใกล้ตัวที่สุดกลับมองไม่เห็น ราวกับ เส้นผมบังภูเขา และถ้าหากว่า การปราบปรามกลุ่มการร้ายตามชายขอบอัฟกานิสถาน หรืออิรัก ให้ประโยชน์กับอิหร่านจริง วันนี้ ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่า ศึก อิรักในอดีต ไม่ใช่ศึกที่สามารถขจัดกลุ่มก่อการร้ายได้ เป็นเพียงแค่โฆณษณาชวนเชื่อ เพราะอิหร่าน ก็ยังต้องทำศึกกับกลุ่มตักฟีรีย์เหล่านี้อยู่
และถ้าหากว่า อิหร่าน ต้องการฆ่าซุนนี่ อย่างที่เชคท่านได้กล่าวไว้ ทำไมเรากลับได้ยิน คำสั่งของผู้นำสูงสุดที่สั่งให้ ให้เกียรติต่อบรรดาสาวกของศาสดา หรือคำฟัตวาล่าสุดที่กล่าวว่า “มันผู้ใด จงใจสร้างความแตกแยกระหว่างชีอะฮ์ และซุนนี่ ขอยืนยันว่ามันผู้นั้น คือผู้รับใช้ของอเมริกา อังกฤษ และไซออนิสต์ ซึ่งได้สร้างกลุ่มดาอิชและอัลกออิดะฮ์ขึ้นมา “
และทำไม เราถึงได้เห็นว่า มีผู้รู้ หรือ อุลามาของอะฮลิซุนนะฮ์ อย่างมากมาย ที่ประกาศให้ รักษาความสัมพันธ์ระหว่าง ชีอะฮ และซุนนี่ อาทิเช่น เชคอาลี ญุมอัต, เชค คอลิด อัลมุลลา ประธานสมาคมอุลามาชาวซุนนี่ในอิรัก ได้กล่าวใน คำปราศัยล่าสุดว่า “ อัลกออิดะฮ และISIS ได้สังหารอุลามาชั้นสูงของซุนนะฮ ในอิรักมากกว่า 300 คน” หรือ มุลลา อับดุลเราะฮมาน มุฟตีย์ใหญ่ในอิหร่าน และผู้รู้หลายท่าน ที่ร่วมมือ กับชีอะฮ ในศึกตักฟีรีย์ หรือแม่แต่ ฮามาส นักรบชาวซุนนี่ ก็ออกมาขอบคุณต่ออิหร่านที่ให้การช่วยเหลือในการทำศึกกับอิสราเอล ในสงคราม 50 วัน และครั้งล่าสุด แม้แต่ผู้นำ อิหร่านเอง ก็ได้ประกาศว่าจะส่งอาวุธให้ชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสแบงค์ เตรียมพร้อมทำศึกกับอิสราเอล
ผู้เขียนคิดว่า แค่นี้ก็เป็นการเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่า สิ่งที่เชคริฎออ้างอิง ไม่ตรงกับความเป็นจริงแต่อย่างใด!!
ต่อมาเชคริฎอได้วิจารณ์ การศึกระหว่าง ฮิสบุลเลาะฮ์ กับ อิสราเอล ว่า
“การปะทะระหว่าง ฮิซบุลเลาะฮ์ กับอิสราเอลตลอดอดีตนั้นก็เป็นการปะทะที่มีกติกากรอบและขอบเขต เสมือนเป็นการเล่นเกมระหว่างสองฝ่าย เพราะกลุ่มฮิซบุลเลาะฮ์ที่เฝ้าชายแดนทางใต้ของเลบานอน (ซึ่งติดกับชายแดนตอนเหนือของประเทศอิสราเอล) ได้ทำหน้าที่ปราบปรามทุกกลุ่มที่ต้องการปฏิบัติการถล่มหรือระเบิดพลีชีพทางตอนบนของอิสราเอล จึงนับเป็นตำรวจตระเวนชายแดนที่อาสาปกป้องดินแดนของอิสราเอล”
ในการศึก การสงคราม ทุกคนต้องวางยุทธศาสตร์ในการทำศึก เพราะหากพลาดเพียงจุดเดียวอาจทำให้พ่ายศึกใหญ่อย่างไม่คาดฝัน ผู้เขียนไม่คิดว่า ท่านเชคจะไม่รู้ข้อนี้ การศึกแต่อดีตจนถึงตอนนี้ กฎก็ยังเป็นกฎเดิม แม่ทัพจะสั่งทหารให้ไปทำศึกโดยสูญเปล่า แต่น่าเสียดายที่ท่านเชค ตีความไปว่า ฮิซบุลเลาะฮ์เป็นตำรวจตระเวนชายแดน ปกป้องอิสราเอล เสียนี่!!
คำถามคือ วันหนึ่งรบกับอิสราเอล อีกวันหนึ่ง มาปกป้อง มันไม่เข้ากับสติปัญญาของมนุษย์ไปหน่อยหรือ ที่จะบอกว่า ฮิซบุลเลาะฮ์ปกป้องอิสราเอล ไม่ให้ถูกถล่ม ในขณะที่ฮิซบุลเลาะฮ์กลับเป็นฝ่ายถล่มอิสราเอลเสียเอง น่าแปลกครับ ที่ท่านเชค ตีความไปทางนี้ เพราะทุกวันนี้ ทุกครั้งที่อิสราเอล ได้ข่าวว่าฮิซบุลเลาะฮ์เตรียมจัดทัพรบ กองทัพไซออนิสต์ ต้องรีบปลุกทหารเข้าประจำการเตรียมพร้อมเสมอ
และก็น่าแปลกอีกที่ท่านเชค มีความเห็นเช่นนี้ เพราะกลุ่มที่ช่วยฮามาสรบศึกล่าสุด กับอิสราเอล ก็คือฮิซบุลเลาะฮ์ !!!
ต่อมาเชคริฎอได้วิจารณ์ว่า ฮิซบุลเลาะฮ์ไม่ได้รบเพื่ออิสลามหรือเพื่อมุสลิม แต่รบเพื่อชื่อเสียง!!! โดยเชคริฏอกล่าวว่า
“บางคนอาจสับสนว่าการถล่มอย่างรุนแรงและมีผู้เสียชีวิตมากขนาดนี้ จะเรียกว่าเป็นเกมได้อย่างไร แท้จริงการที่มีความเสียหายเกิดขึ้นกับฝ่ายประเทศเลบานอนนั้นไม่ใช่หมายรวมว่าฮิซบุลเลาะฮ์เสียหายอยู่ฝ่ายเดียว เพราะมีกลุ่มซุนนีและศาสนาอื่นที่ร่วมอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นด้วย และฮิซบุลเลาะฮ์ก็ไม่ได้กังวลมากนักเกี่ยวกับจำนวนผู้เสียชีวิต เพราะชาวเลบานอนมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ และความเสียหายนี้จะเป็นเครื่องมือสำหรับฮิซบุลเลาะฮ์ในการเรียกร้องความสงสารและการสนับสนุนจากโลกมุสลิมทั้งหลาย ซึ่งใครที่ติดตามสถานการณ์จะพบว่าฮิซบุลเลาะฮ์ได้ใช้สื่อมวลชนในทำนองนี้อย่างคุ้มค่า ไม่ใช่เฉพาะโฆษณาความเป็นวีรบุรุษของตน แต่ยังโฆษณาความเชื่อของลัทธิชีอะฮ์ไปด้วย ซึ่งข้อสรุปที่หนีไม่พ้นในเหตุการณ์นี้คือ ฮิซบุลเลาะฮ์ไม่ได้ญิฮาดเพื่ออิสลาม และไม่ใช่ญิฮาดเพื่อมุสลิม แต่สร้างสถานการณ์เพื่อผลประโยชน์ให้แก่ตนเองและประเทศอิหร่าน ประโยชน์ที่ประเทศอิหร่านได้มาคือข้อต่อรองกับประเทศมหาอำนาจที่กำลังเล่นงานอิหร่านเกี่ยวกับปัญหาอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งอิหร่านสามารถบอกกับประเทศมหาอำนาจได้ว่า เราไม่ใช่ประเทศธรรมดาๆ เราเป็นประเทศที่มีอำนาจกว้างขวางเหมือนกัน และสามารถสร้างสถานการณ์ที่อาจกระทบความมั่นคงของประเทศที่เป็นพันธมิตรกับอเมริกาด้วย (คือประเทศอิสราเอล) ประโยชน์ที่กลุ่มฮิซบุลเลาะฮ์จะได้จากสถานการณ์นี้คือ ความเชื่อถือที่ชาวเลบานอนจะให้แก่ฮิซบุลเลาะฮ์ เพราะแน่นอนในบรรดาพรรคและกลุ่มที่มีอำนาจในเลบานอนนั้นมีอยู่กลุ่มเดียวที่คะแนนขึ้นสูงมากในช่วงสถานการณ์นี้ เพราะฮิซบุลเลาะฮ์ได้เหมารับผิดชอบปกป้องดินแดนเลบานอนและอาสาทำหน้าที่ตอบโต้ประเทศอิสราเอลแทนประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ซีเรีย อิหร่าน และเลบานอนด้วย ภาพพจน์คือโลกมุสลิมไม่มีใครสามารถเผชิญหน้ากับอิสราเอลนอกจากฮิซบุลเลาะฮ์ (ซึ่งเป็นเครื่องมือของอิหร่าน) ซึ่งจะเป็นข้อสรุปในอนาคตว่า กลุ่มชีอะฮ์เท่านั้นที่มีผลงานในการต่อต้านศัตรูอิสลาม “
ฮิซบุลเลาะฮ์ ถูกอธิบายไปในทิศทางว่า รบกับอิสราเอล เพื่อเรียกคะแนนสงสาร หรือ เพื่อสร้างสถานการณ์เพื่อผลประโยชน์ให้กับตนเอง และอิหร่าน ตามที่ เชคริฎอ ได้อธิบายไว้ ผู้เขียนคิดว่า เชคริฎอ ไม่ได้วิจารณ์ อย่างซื่อตรงใดๆ เพราะ ถ้าเราดูประวัติศาสตร์จะเห็นว่า ฮิซบุลเลาะฮ์เกิดขึ้นมาด้วยความต้องการที่ต่อสู้กับอิสราเอล โดยชนกลุ่มน้อยจำนวนหนึ่ง ไม่ใช่ สร้างขึ้นแล้ว ก็ดัง หรือไม่มีผลงานใดๆ แต่พวกเขา ตายจริง สู้จริง และพลีจริง สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องเกินเลย เพราะถ้าศึกษาก็จะรู้ว่า ผู้นำฮิซบุลเลาะฮ์ก่อนจะถึงยุคของซัยยิด ฮะซัน นัศรุลเลาะฮ์นั้น ถูกลอบสังหารมาแล้วหลายคน !!
ตัวอย่าง สงครามในปี 2006 หรือสงคราม 33 วัน และการที่ชาวเลบานอน ยอมรับในฮิซบุลเลาะฮ์ ก็ไม่ใช่เพราะความสงสาร เราต้องฟังจากปากของคนเลบานอน เอง ว่า พวกเขามีมุมมองต่อฮิซบุลเลาะฮ์ อย่างไร ขอสรุปๆ สั้น ว่า ถ้าถามชาวเลบานอน ถึงยุคฮิซบุลเลาะฮ์รบกับ อิสราเอล ทุกคนจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาได้ปกป้องพวกเราชาวเลบานอนอย่างสุดกำลัง หรือไม่ก็เถิดทูนฮิซบุลเลาะฮ์ราวกับกองทัพเสรีชน และก็น่าแปลก ช่วงที่เลบานอนเดือดร้อน ชาติอาหรับหายไปอยู่ไหน? ชาติอาหรับ เคยสงสารซุนนี่จริงหรือ ? หรือ กลุ่มที่ญิฮาดเพื่ออิสลาม และมุสลิม คือ กลุ่มไหนก็ได้ที่ไม่ได้รบกับอิสราเอล และหันมาฆ่ามุสลิมด้วยกัน?
“ในส่วนคำกล่าวที่ว่า “ภาพพจน์คือโลกมุสลิมไม่มีใครสามารถเผชิญหน้ากับอิสราเอลนอกจากฮิซบุลเลาะฮ์ (ซึ่งเป็นเครื่องมือของอิหร่าน) ซึ่งจะเป็นข้อสรุปในอนาคตว่า กลุ่มชีอะฮ์เท่านั้นที่มีผลงานในการต่อต้านศัตรูอิสลาม ”
ถ้าโลกมุสลิมของท่านเชคริฎอ คือ มุฟตีย์วะฮาบีอย่างท่านอาลีเชค หรือ กษัตริย์ซาอุฯ หรือ กษัตริย์บาห์เรน หรือ อียิปต์ หรือ อัลกออิดะฮ์ หรือ ตอลีบัน หรือ ISIS แล้วละก็… เช่นนั้น เราคงได้เห็นแล้วว่า ป่านฉะนี้เลบานอนกลายเป็นของอิสราเอลไปแล้ว!!
คนเหล่านี้ เมื่อถึงเวลาสำคัญ คนเหล่านี้ที่พูดเชิญชวน เรียกร้องให้มุสลิม ทำการญิฮาด กลับไม่สั่งให้ต่อสู้กับอิสราเอล และยังไม่มีความพยายามที่จะก่อตั้งกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อทำสงครามกับอิสราเอล เสียด้วยซ้ำไป กาลเวลาได้เป็นพยานแก่เราสำหรับข้อนี้ เราเคยได้ยินกันบ้างไหมครับ ว่า กษัตริย์ซาอุประกาศว่า เราตั้งกลุ่มกองกำลังเพื่อต่อสู้กับอิสราเอล แล้วในเวลานี้ หรือ เราเคยได้ยินไหมว่า มุฟตีย์วะฮาบีย์ ประกาศให้ต่อสู้กับอิสราเอล? ไม่เลย!! เรากลับได้ยินตรงข้าม เช่นคำประกาศว่า การต่อสู้กับอิสราเอลถือเป็นบาป หรือ ไม่มีความเห็นจากเรื่องนี้ พวกเขาเงียบทำไม ?
ต่อมาท่านเชค กล่าวต่อว่า “แต่ข้อเท็จจริงที่ผู้วิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิดจะเห็นได้ชัดคือ อิหร่านและฮิซบุลเลาะฮ์ไม่มีนโยบายและไม่เคยมีประวัติในการทำสงครามกับประเทศอิสราเอล และกลุ่มชีอะฮ์ดังกล่าวพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับอิสราเอลและอเมริกาเพื่อถล่มกลุ่มซุนนีดังที่เคยปรากฏในประเทศอัฟกานิสถานและอิรัก ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ขบวนการของ มุคตะดา อัศศอด ผู้นำชีอะฮ์ในอิรักได้แสดงนโยบายของกลุ่ม มุคตะดา อัศศอด ว่า “เราพร้อมที่จะร่วมมือกับกลุ่มฮิซบุลเลาะฮ์ในการต่อต้านอเมริกาและอิสรออีล ในขณะเดียวกันเราก็พร้อมที่จะร่วมมือกับอเมริกาและอิสรออีลเพื่อถล่มกลุ่มมุญาฮิดีนซุนนีที่ประเทศอิรัก” ประชาชนส่วนมากไม่รู้ว่ากลุ่มชีอะฮฺในอิรักได้สังหารชาวซุนนีไปจำนวนมากกว่าหนึ่งแสนคน ตามแถลงการณ์ของอัชชัยคฺฮาริษ อัฎฎอรียฺ (เลขาธิการคณะอุละมาอฺมุสลิมีนในประเทศอิรัก ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของกลุ่มซุนนี) และผลงานของประเทศอิหร่านในการสังหารชาวซุนนะฮฺภายในประเทศอิหร่านก็เป็นที่รู้กันอย่างดีในวงนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งกล่าวได้ว่าในอิหร่านนั้น ชาวยิว ชาวคริสต์ และศาสนาอื่นๆ มีสิทธิมากกว่าชาวซุนนะฮฺ “
ผู้เขียนจะขอวิจารณ์ในประโยคแรกที่ว่า “แต่ข้อเท็จจริงที่ผู้วิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิดจะเห็นได้ชัดคือ อิหร่านและฮิซบุลเลาะฮ์ไม่มีนโยบายและไม่เคยมีประวัติในการทำสงครามกับประเทศอิสราเอล”
นี่เป็นการไม่ซื่อตรงในการนำเสนอข้อมูล มีหลักฐานมากมายที่พิสูจน์ว่า กลุ่มที่ทำสงครามกับอิสราเอล มากที่สุด และยาวนานที่สุด ไม่พ้นใครนอกจากอิหร่าน และฮิซบุลเลาะฮ์
ในอดีต สงคราม 33 วัน เป็นสงคราม ที่อิสราเอล เตรียมปฏิบัติการในการจับกุมกลุ่มผู้ต่อสู้ เป็นจำนวนนับหมื่นคน ในเลบานอน สงครามในครั้งนั้น เป็นการนำเสนอ เพื่อเปิดช่องทางโจมตี กลุ่มนักรบ ในประเทศนี้ (เลบานอน) เป้าหมาย ของ สงคราม 33 วัน คือ เหล่าบรรดาผู้นำหลัก ของกลุ่ม มุกอวิมะฮ ทั้งใน เลบานอน ปาเลสไตน์ และซีเรีย โดยหวังจะที่เข้าควมคุม แหล่งผลิตน้ำมัน ในประเทศ จากนั้นค่อยเหยียบปาเลสไตน์ให้จมดิน และการกำจัดชาวปาเลสไตน์ ก็เป็นความปราถนา อีกประการหนึ่ง ในการทำสงคราม 33 วัน ของ ไซออนิสต์
ฮิซบุลเลาะฮ์รบกับอิสราเอล หลายครั้ง ผู้นำถูกสังหาร บุคคลสำคัญ ถูกสังหารมากมาย จนกระทั่งได้ชัยในสงคราม 33 วัน ในสงคราม นี้โดยมีอิหร่านเป็นผู้ช่วยเหลือ และฮามาส ก็รบกับอิสราเอล โดยมีอิหร่าน เป็นผู้ช่วยเหลือ ทั้งด้านข่าวสาร และอาวุธยุทโธปกรณ์ เช่นกัน
ประการต่อมาท่านเชคได้อ้างว่า “และกลุ่มชีอะฮฺดังกล่าวพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับอิสรออีลและอเมริกาเพื่อถล่มกลุ่มซุนนีดังที่เคยปรากฏในประเทศอัฟกานิสถานและอิรัก ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ขบวนการของ มุคตะดา อัศศอด ผู้นำชีอะฮฺในอิรักได้แสดงนโยบายของกลุ่ม มุคตะดา อัศศอด ว่า “เราพร้อมที่จะร่วมมือกับกลุ่มฮิซบุลเลาะฮ์ในการต่อต้านอเมริกาและอิสราเอล ในขณะเดียวกันเราก็พร้อมที่จะร่วมมือกับอเมริกาและอิสรออีลเพื่อถล่มกลุ่มมุญาฮิดีนซุนนีที่ประเทศอิรัก”
ข้ออ้างดังกล่าวของท่านเชค กับความเป็นจริง กลับเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม ท่านเชคอ้างว่า “เพื่อถล่มซุนนี่” ผู้เขียนไม่ทราบว่า ซุนนี่ ที่ท่านหมายถึง คือ ISIS หรือ กลุ่มตักฟีรีย์ และถ้าหากเป็นเช่นนั้น กาลปัจจุบันก็ได้พิสูจน์แล้วว่า กลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ไม่ใช่ และ USA ก็ถูกปฏิเสธในการขอความร่วมมือจากชีอะฮ และซัยยิด มุกตะดา ศอดร์ เอง ก็เพิ่งออกมาประกาศล่าสุดว่า เราจะกลับมา ถ้าสหรัฐริอ่านคิดส่งทหารมาอิรักอีก นั่นแปลว่า ท่านเชคพยายามจำกัดความว่า ถ้าชีอะฮ์ ไม่ถล่มซุนนี่ ก็ถล่มสหรัฐ แต่กาลปัจจุบัน มันได้พิสูจน์ว่า ชีอะฮ ไม่ได้ร่วมมือ กับสหรัฐ ในการสังหารซุนนี่ และ พวกที่ถูกสังหารก็ไม่ใช่ซุนนี่
สรุปได้ว่า ข้ออ้างดังกล่าว เป็นการนำเส้นแบ่งภาพลวงตากับความจริง มาผสมกัน จนทำให้คนเข้าใจว่า ถ้าชีอะฮ ไม่รบกับซุนนี่ ก็รบกับ สหรัฐ ทั้งๆ ที่ล่าสุด ประธาน อุลามาอะฮลิซุนนะฮ เชค คอลิด ออกมาประกาศ สนับสนุน การญิฮาดของกลุ่ม อัลฮัมดุชชะบีย์ ของชีอะฮ และยังได้กล่าวอีกว่า พวกเขาคือผุ้ปกป้องชาติ และยังมี ผู้รู้กว่า 70 ประเทศทั่วโลกรวมทั้งซุนนี่ และชีอะฮ ที่ได้ออกมาปฏิเสธ กลุ่มตักฟีรีย์เหล่านี้ ซึ่ง ผู้เขียนได้ นำเสนอในบทความเรื่อง ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตักฟีรีย์ และกองทางบรรณาธิการก็ได้เสนอ บทความหัวข้อ ISIS เป็นซุนนี่หรือ ? จะทำให้ เข้าใจถึงเรื่องราวได้ดียิ่งขึ้น
ต่อมาท่านเชคริฎอได้กล่าวว่า
ประชาชนส่วนมากไม่รู้ว่ากลุ่มชีอะฮ์ในอิรักได้สังหารชาวซุนนีไปจำนวนมากกว่าหนึ่งแสนคน ตามแถลงการณ์ของอัชชัยคฺฮาริษ อัฎฎอรียฺ (เลขาธิการคณะอุละมาอฺมุสลิมีนในประเทศอิรัก ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของกลุ่มซุนนี) และผลงานของประเทศอิหร่านในการสังหารชาวซุนนะฮฺภายในประเทศอิหร่านก็เป็นที่รู้กันอย่างดีในวงนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งกล่าวได้ว่าในอิหร่านนั้น ชาวยิว ชาวคริสต์ และศาสนาอื่นๆ มีสิทธิมากกว่าชาวซุนนะฮฺ
คำถามคือ สังหารตอนไหน? เหตุการณ์ใด? สังหารทำไม? ถ้าซุนนี่ ที่ท่านเชคหมายถึง คือ ผู้สนับสนุนอำนาจเก่าของซัดดัม ผู้เขียนคิดว่า นี่เป็นเอาคำว่า “ซุนนี่” มาบิดเบือนเนื้อหาในประวัติศาสตร์ เพราะทุกวันนี้ ซุนนี ในอิรัก ออกมาปกป้อง และต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับชีอะฮ เพื่อเผชิญหน้ากับตักฟีรีย์ นอกจากนี้ ตัวบุคลที่ เชค ได้นำเสนอ และอ้างอิงคำพูด คือ เชค ฮาริษ อัฎฎอรีย์ ก็คือ มุฟตีย์ ISIS ในปัจจุบันที่ถูกขับออกจากสมาคมอุลามาประเทศอิรัค และได้หลบหนีไปกบดานอยู่ในตุรกี เนื่องจากพยายาม ฟัตวา สร้างความแตกแยก และการฟัตวาสนับสนุนกลุ่ม ISIS และยังเป็นหนึ่งในต้นตอ ของผู้สร้างฟิตนะฮ และหายนะในอิรัก นอกจากนี้ อุลามาอะฮลิซุนนะฮ เองยังถืออีกว่า ดารี คือ ผู้สร้างหายนะในอิรักตอนนี้
คำกล่าวอ้างนี้ เป็นการกล่าวหา และผสมเรื่องราวเพื่อยุยงให้เกิดความเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัดมากที่สุด เพราะชาวซุนนี่ ที่เชคริฎอพูดถึง ไม่ได้ถูกลดสิทธิ สองมาตรฐานอย่างที่ได้กล่าวหาไว้ ข้อพิสูจน์ง่ายที่สุด คือ อิรัก ในปัจจุบัน ซุนนี่ ในอิรัก ต่างเห็นพ้องต้องกัน กับชีอะฮ ว่า ศัตรูที่อันตราย ศัตรู่ร่วมกันระหว่างซุนนี่ และชีอะฮ คือ “ISIS”
และในส่วนอิหร่าน ยังมีเมื่องใหญ่ๆ ที่ซุนนี่ส่วนมากอาศัยอยู่ กล่าวคือ บางจังหวัด เป็นจังหวดของซุนนี่ อย่าง กูเดสตอน หรือ กัรมอนชาฮ ส่วนยิวที่เข้ามาอยู่อาศัยในอิหร่าน ตั้งถิ่นฐานตั้งแต่อพยพจาก บาบิโลน ซึ่งมีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน ไม่ใช่ยิวอิสราเอล อย่างที่ท่านเชคพยายามนำเสนอ นอกจากนี้ยังมีชาวโซโรเอสเตอร์ และคริสต์ อาศัยอยู่ และไม่มีกฎหมายใดในอิหร่านที่ชี้ว่า ศาสนาหนึ่งศาสนาใด จะมีสิทธิเหนือกว่า
และผู้เขียนคิดว่า ท่านเชคไม่ทราบถึง กองตรวจ และผู้รักษาการในอิหร่าน เลยว่า บางจังหวัด ก็มีตำรวจและทหารที่เป็นซุนนี่ ประกอบอาชีพ ครู หรือ นักศึกษาซุนนี่ที่เข้ารับการศึกษาในมหาวิทยาลัย เหมือนคนปกติทั่วไป และประเด็นเรื่องการกดขี่ซุนนี่ในอิหร่าน มันไม่มีรายงาน หรือข้อเท็จจริงที่ให้ความกระจ่างได้อย่างชัดเจนว่า อิหร่านเป็นเช่นนั้น ผู้เขียนเคยพบชาวอะฮลิซุนนะฮ ในอิหร่าน อาศัยใช้ชีวิตอยู่ไม่แตกต่างจากชาวชีอะฮ และยังได้เคยพาเพื่อนนักศึกษาชาวซุนนะฮ มาเปิดหูเปิดตา พวกเขาเองยังบอกกับผู้เขียนว่า “เรื่องที่เราได้ยินว่า มันไม่ใช่ความจริงเลย”
ในอิหร่านมีประชากร ชาวอะฮลิซุนนะฮ ประมาณ 5,307,142 และมีมัสยิดตามจังหวัดต่างๆ อาทิ เช่น คุรอซาน บาโลเชสถาน ฟารซ เคริดิสถาน กัรมาน กัรมอนชาฮ กีลาน ฮารมอเซกอน ประมาณ 10,344 หลัง นั่นเป็นตัวเลขที่ชัดเจน และยืนยันว่า อิหร่านไม่ได้วางตัวสองมาตรฐานต่อซุนนี่
ในประเทศอิหร่าน มีชาวยิวประมาณ ตามคำประกาศของ NJPS อยู่ที่ 20,000 หรือ 25,000 คน
ต่อมา ท่านเชคริดอ ได้กล่าวว่า “จากข้อมูลข้างต้นผมไม่ต้องการให้ผู้อ่านเข้าใจว่า ผมยินดีที่จะให้ประเทศอิสราเอลได้รับชัยชนะ เพราะความประสงค์เช่นนี้ไม่เป็นความประสงค์ของบรรดาผู้ศรัทธาที่มีอุดมการณ์ ผมสนับสนุนทุกวิถีทางที่จะเป็นการถล่มและยับยั้งอุบายของประเทศอิสราเอลในตะวันออกกลาง ทั้งนี้ถ้าชาวซุนนะฮฺทั่วโลกต้องการต่อต้านประเทศอิสราเอลก็มีทางเลือกที่เป็นขบวนการต่อต้านอิสราเอลอื่นจากฮิซบุลเลาะฮ์ กล่าวคือ การสนับสนุนฮิซบุลเลาะฮ์ (ในฐานะที่เป็นตัวแทนของชีอะฮฺ) นั้นไม่ถูกต้องและจะไม่สัมฤทธิ์ผล เพราะเป้าหมายของฮิซบุลเลาะฮ์ไม่ใช่เป้าหมายของชาวซุนนะฮฺทั่วโลก ดังนั้น ไม่เป็นจุดยืนที่แปลกประหลาดถ้าเราประกาศว่า ไม่สนับสนุนฮิซบุลเลาะฮ์และไม่อยากให้อิสราเอลได้รับชัยชนะในสงครามนี้ แต่เราต้องการให้มีขบวนการของซุนนะฮฺเองที่ทำหน้าที่ต่อต้านประเทศอิสราเอล ซึ่งปัจจุบันนี้มีทางเลือกหลายกลุ่ม แต่ไม่เป็นที่นิยมในสายตาโลกมุสลิม เพราะถูกระบุในแบล๊คลิสต์ของอเมริกาว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย อาทิเช่น กลุ่มฮามาส กลุ่มญิฮาดอิสลามียฺ (ประเทศปาเลสไตน์) และกลุ่มอิควานมุสลิมีน (ประเทศเลบานอน)
การสนับสนุนฮิซบุลเลาะฮ์จะสัมฤทธิผล อย่างแน่นอนครับ และนี่ไม่ใช่ คำกล่าวของผู้เขียนเอง แต่เป็นคำกล่าวของศัตรู คือ เมื่อใดที่ ซุนนี่ และ ชีอะฮ ร่วมมือ กัน ศัตรูจะพ่ายแพ้ทันที ในส่วนขบวนการ ของซุนนะฮ อย่างฮามาส เอง ก็ยังมีการสนับสนุนจากชีอะฮ อยู่ ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม หลักฐานก็พิสูจน์ให้เห็นในการนี้ นอกจากนี้กลุ่มที่จะได้ผลประโยชน์มากที่สุดจากความขัดแย้งคือ ศัตรูของอิสลาม อย่างอิสราเอล และสหรัฐอเมริกา สามารถตามอ่านบทความ หัวข้อ อิสราเอลได้อะไร จากความขัดแย้ง “ซุนนี-ชีอะฮ์” ในตะวันออกกลาง??
ต่อมา ท่านเชคกล่าวว่า
“ความขัดแย้งระหว่างซุนนีกับชีอะฮฺอยู่ในระดับความมั่นคงที่ต้องจัดการทุกเวลา หมดยุคแล้วสำหรับคำพูดที่ว่า ความขัดแย้งกับชีอะฮฺเก็บไว้ก่อน เพราะมีศัตรูที่ฉกาจกว่าชีอะฮฺ เพราะความขัดแย้งดังกล่าวไม่เคยถูกพิจารณาอย่างเป็นธรรม มิหนำซ้ำจะถูกเก็บโดยตลอดและบางกลุ่มจะพยายามกลบความขัดแย้งดังกล่าวเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ถึงแม้ว่าหลักการศาสนาจะเสียหายก็ตาม “
ในยุคนี้ ทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้สังคมมุสลิม สามรถต่อกรกับศัตรูได้ คือ เอกภาพในสังคม และการละทิ้งความขัดแย้งดังกล่าว ก็จะสร้างผลประโยชน์กับมุสลิมเอง และข้อพิสูจน์ในประเด็นนี้ ก็คือ อิรัค !! เมื่อซุนนี่ และชีอะฮ จับมือกัน ต่อสู้กับ หุ่นเชิดของสหรัฐอย่าง ISIS
เชคยังได้กล่าวต่ออีกว่า “หะซัน นัศรุลเลาะฮ์ ได้ออกฟัตวาว่า กลุ่มวะฮาบีไม่เกี่ยวกับอิสลามแต่อย่างใด และเคยมีบทบาทเข่นฆ่าชาวซุนนีในสงครามระหว่างกลุ่มต่างๆ ที่ขัดแย้งทางการเมืองภายในเลบานอน เพราะฉะนั้นในทัศนะของผมไม่เห็นด้วยที่จะยอมให้เห็นว่า หะซัน นัศรุลเลาะฮื เป็นวีรบุรุษของประชาชาติ เพราะเป็นบุคคลที่ทำร้ายอิสลามอย่างชัดเจน ทำนองเดียวกับกลุ่มชีอะฮฺในประเทศไทยที่มีอะกีดะฮฺ จุดยืน และนโยบาย เป็นกันหนึ่งอันเดียวกับอิหร่านและฮิซบุลเลาะฮ์ ซึ่งไม่เคยมีความเป็นธรรมกับชาวซุนนีในประเทศไทยมาโดยตลอด และความแตกแยกในภาคใต้ก็เพราะกลุ่มชีอะฮฺที่ทำให้ประชาชนกลายเป็นสองฝ่ายสองซีกที่ไม่เห็นพ้องกัน สถานทูตอิหร่านในประเทศไทยก็มีบทบาทสูงในการสร้างความแตกแยกในสังคมมุสลิมไทย เพราะมีเป้าหมายที่ต้องการขยายลัทธิชีอะฮฺและได้กระทำทุกวิถีทางเพื่อให้ชื่อเสียงของชีอะฮฺปรากฏในทุกสนาม กระนั้นสำหรับชาวซุนนะฮฺเป็นที่ประจักษ์แจ้งว่าปัญหาชีอะฮฺไกล่เกลี่ยไม่ได้ หรือประนีประนอมให้เป็นกลางไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะการเห็นชอบกับกลุ่มนี้ก็เสมือนว่าได้สละสิทธิ์ในความเป็นมุสลิมอย่างแท้จริง”
เกี่ยวกับ ซัยยิด ฮะซัน นัศรุลลอฮ คำกล่าวที่ว่า “หะซัน นัศรุลลอฮฺ ได้ออกฟัตวาว่า กลุ่มวะฮาบีไม่เกี่ยวกับอิสลามแต่อย่างใด และเคยมีบทบาทเข่นฆ่าชาวซุนนีในสงครามระหว่างกลุ่มต่างๆที่ขัดแย้งทางการเมืองภายในเลบานอน ” เป็นเรื่องจริง ท่านสามารถตรวจสอบข้อมูลได้จากประวัติศาสตร์เลบานอน ในรอบ 20 ปี จะเข้าใจว่า กลุ่มวะฮาบี มีบทบาทในการลอบสังหาร ประชาชนอย่างมากมาย เพราะไม่ต้องการให้เกิดการสมานฉันท์ระหว่างซุนนี่และชีอะฮ
ต่อมาท่านเชค ได้กล่าววิจารณ์ชีอะฮไทยว่าเป็น สาเหตุของความแตกแยก โดยได้กล่าวว่า “ทำนองเดียวกับกลุ่มชีอะฮฺในประเทศไทยที่มีอะกีดะฮฺ จุดยืน และนโยบาย เป็นกันหนึ่งอันเดียวกับอิหร่านและฮิซบุลเลาะฮ์ซึ่งไม่เคยมีความเป็นธรรมกับชาวซุนนีในประเทศไทยมาโดยตลอด และความแตกแยกในภาคใต้ก็เพราะกลุ่มชีอะฮฺที่ทำให้ประชาชนกลายเป็นสองฝ่ายสองซีกที่ไม่เห็นพ้องกัน สถานทูตอิหร่านในประเทศไทยก็มีบทบาทสูงในการสร้างความแตกแยกในสังคมมุสลิมไทย เพราะมีเป้าหมายที่ต้องการขยายลัทธิชีอะฮฺและได้กระทำทุกวิถีทางเพื่อให้ชื่อเสียงของชีอะฮฺปรากฏในทุกสนาม กระนั้นสำหรับชาวซุนนะฮฺเป็นที่ประจักษ์แจ้งว่าปัญหาชีอะฮฺไกล่เกลี่ยไม่ได้ หรือประนีประนอมให้เป็นกลางไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะการเห็นชอบกับกลุ่มนี้ก็เสมือนว่าได้สละสิทธิ์ในความเป็นมุสลิมอย่างแท้จริง
ท่านเชคได้โยนความผิดให้ชีอะฮในไทย ว่า เป็นกลุ่มที่สร้างความแตกแยกในประเทศ ทั้งๆที่ ชีอะฮไทยแสดงจุดยืนในการแสวงหาเอกภาพมาโดยตลอด และยังได้โยนความผิดอย่างไร้หลักฐานว่า ชีอะฮไทยคือ สาเหตุของปัญหาในภาคใต้ทั้งๆที่ความเป็นจริง กลุ่มที่ สร้างความแตกแยกกลับเป็นกลุ่มที่แสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง ล่าสุด ก็มีข่าวออกมาว่า คนในเครื่องแบบ อยู่เบื้องหลัง และเป็นตัวหลักที่ คอยสร้างความปั่นปวนในภาคใต้ นี่จึงเป็นกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด
คำถาม คือ ทำไมผู้รู้วะฮาบีถึงได้พยายามหล่อเลี้ยงไฟแห่งความขัดแย้งนี้ให้ยังคงคุกรุ่นและรุ่มร้อนอยู่ต่อไป??