ซุปเปอร์ทูต อาลีซาอูด จะกว้านซื้อปัญญาชนที่มีอิทธิพลของอเมริกา
หากมีการเฝ้าติดตามตรรกะของปีศาจจนถึงวันนี้ จะประจักษ์ชัดว่าตะวันตกและซาอุดิอาระเบีย กำลังตกอยู่ในห้วงอเวจีที่อันตรายที่สุด ทุกองค์ประกอบของเหตุการณ์ความไม่สงบได้มาถึง ณ. จุดหนึ่งที่เหมาะสมแล้ว เช่น เปิดพรมแดน ความพร้อมของอาวุธยุโทปกรณ์ ไร้นโยบาย กฎหมายไร้อภิสิทธิ์ ตำรวจมีการทุจริตและเสื่อมเสียศีลธรรม หมิ่นชนชั้นผู้ปกครอง ส่วนแบ่งของประชากรมีรายได้ต่ำ ประเทศเพื่อนบ้านโกรธเคือง และอันตรายของเยาวชนสุดโต่งจากภายในที่ทวีมากยิ่งขึ้น
นอกเหนือจากองค์ประกอบดังกล่าวแล้ว ในสถานศึกษาของซาอุดิอาระเบีย จะมีกลุ่มบุคคลที่มีความอคติอย่างสูงจำนวนมาก ซึ่งมีความกระวนกระวายอย่างเร่งด่วนในการเข้าร่วมสู้รบในพม่า เวียดนาม กัมพูชา นิการากัว แอ่งโกลา โซมาเลียและเซียร์ราลีโอน เหตุใดซาอุดิอาระเบีย จำต้องหลบหนีจากชะตากรรมเหล่านี้ ???
ไม่มีข้อ จำกัด ในการออกวีซ่าสำหรับชาวซาอุดิอาระเบีย แม้ว่าพวกเขาจะเป็นสมาชิกของอัลกออิดะฮ์ก็ตาม
ถึงแม้ว่าจะมีความเกลียดชังอย่างมากมายก็ตามที แต่มันเป็นความเชื่อที่ว่า จำเป็นต้องให้การสนับสนุนและช่วยเหลือผู้ที่ปกป้องกรุงริยาด บนแผนที่อย่างเป็นทางการของวอชิงตันก็จะมีการแสดงและวงจุดสีแดงที่เรียกว่า “ริยาด” อยู่ ในปี 2003 ซึ่งข้าพเจ้ากำลังเขียนเนื้อหาดังกล่าวนี้ วอชิงตันก็ยังคงยืนกร้านว่า ซาอุดิอาระเบียคือชาติที่มีความมั่นคงที่สุด โดยรัฐบาลกลางสามารถควบคุมชายแดนต่างๆได้เป็นอย่างดี มีการตรึงกองกำลังตำรวจและทหารภายใต้การควบคุมที่มีความซื่อสัตย์มีประสิทธิภาพและความสามารถอย่างสูงและประชาชนในประเทศจะมีกินมีใช้อยู่ดีเป็นสุขและได้รับการศึกษากันอย่างถ้วนหน้า
ข้าพเจ้าจะขอเริ่มต้นจากกระทรวงการต่างประเทศเสียก่อนเป็นลำดับแรกเพราะมีภารกิจที่หนักอึ้งและสำคัญเหนือกว่ารัฐบาลของกรุงวอชิงตันด้วยซ้ำกระทรวงนี้มีบทบาทอย่างสูงในการแพร่คำโกหกครั้งใหญ่ให้กับซาอุดิอาระเบียโดยที่หากได้ยินจุดยืนของซาอุฯต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้แล้วก็จะได้บทสรุปที่ว่าซาอุดิอาระเบียก็เหมือนกับเดนมาร์กนั่นเอง
ตามกฎหมาย จะพิจารณาเพียงแค่การปฏิสัมพันธ์ในด้านวีซ่าของซาอุดิอาระเบียเท่านั้น กระทรวงต่างประเทศมีหน้าที่และรับผิดชอบในการออกวีซ่านอกประเทศโดยผ่านสถานกงสุลและสถานทูตต่างๆ เท่านั้น
ในปี 1951 ตามกฎหมายของผู้อพยพและหนังสือเดินทางโดยเฉพาะ “อัตลักษณ์” ของตัวบุคคลจะมีการบันทึกและอธิบายอย่างชัดเจน ในข้อที่ 214 จะมีการอธิบายว่า ชาวต่างชาติทุกคนที่ถือเป็นคนอพยพ จนกระทั่งมันตรงกันข้ามกับประเด็นดังกล่าวเพื่อสามารถยืนยันให้กับเจ้าหน้าที่ของสถานกงสุล ว่า บุคคลดังกล่าวไม่ได้อยู่ในสถานะของคนอพยพ กล่าวคือ ชาวต่างชาติที่มีเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่สามารถกลับประเทศได้ (ตกงาน คนโสด และล้มละลาย) ไม่มีคุณสมบัติที่จะขอวีซ่า ก็สามารถที่จะพำนักอยู่ในอเมริกาได้
ด้วยอัตราการว่างงานในซาอุฯ ประมาณร้อยละ 30 และการมีรายได้ที่ลดลง ทำให้ชาวซาอุดิอาระเบียเป็นบุคคลที่ต้องอพยพจากประเทศของตนโดยปริยาย (หากไม่ใช่เป็นผู้ปกครองหรือคนรับใช้ของผู้ปกครอง) ชาวซาอุดิอาระเบียที่หลงเหลืออยู่ในอเมริกาก็จะต้องพบเจอกับความท้าทายของภยันตรายในการแสวงหาปัจจัยยังชีพพอสมควร ซึ่งตามเงื่อนไขของกฎหมายแล้วพวกเขาไม่มีสิทธิที่จะกลับยังประเทศของตนเองได้ และสิ่งนี้มันยิ่งสร้างความเลวร้ายเพิ่มมากขึ้น
ในเหตุการณ์ 11 กันยา 2001 ชาวซาอุดิอาระเบียมีส่วนร่วมในการก่อเหตุวินาศกรรมครั้งนั้นด้วย สำหรับการขอวีซ่านั้นไม่จำเป็นต้องไปให้สัมภาษณ์ในสถานทูตอเมริกาในกรุงริยาดหรือสถานกงสุลในญิดดะฮ์แต่อย่างใด แต่จะอาศัยระบบ “เอ็กซ์เพรสวีซ่า” ชาวซาอุดิอาระเบียเพียงแค่ส่งหนังสือเดินทางและค่าวีซ่าผ่านตัวแทนการเดินทางชาวซาอุดิอาระเบียเท่านั้น ซึ่งตัวแทนดังกล่าว ก็คือ เจ้าหน้าที่และตัวแทนของรัฐบาลอเมริกานั้นเอง และสามารถออกวีซ่าในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น ชาวซาอุดิอาระเบียที่มีทรัพยสินเงินทองก็สามารถเดินทางไปยังกรุงนิวยอร์กได้เสมอ โดยอาศัยการเดินทางทางอากาศมุ่งสู่เป้าหมาย
ซาอุฯ คือผู้ก่อการร้ายโลกสมัยใหม่
กระทรวงต่างประเทศได้ออกวีซ่าให้กับชาวซาอุดิอาระเบียที่ว่างงานจำนวน 15 คน ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายของประเทศอย่างชัดเจน ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า ความมักง่ายในประเด็นนี้ มันเป็นการอนุญาตให้ผู้มีอำนาจกำหนดทิศทางและเป้าหมายในการบุกโจมตีเรา
อุซามะห์ บิน ลาเดน ถือกำเนิดในประเทศซาอุดิอาระเบีย ในปี 1995 ได้ก่อเหตุลอบวางระเบิดสังหารพลเมืองซาอุดิอาระเบีย ใกล้กับหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ ในปี 1996 ได้โจมตีหอ คุบัร ในปี 2000 ชาวซาอุดิอาระเบียสองคนได้ทำการลักเครื่องบิน ชาวซาอุดิอาระเบียอยู่เบื้องหลังในการก่อเหตุระเบิดเรือรบ “โคล์” ชาวซาอุดิอาระเบียนับร้อยคนที่เข้าร่วมกลุ่มก่อการร้ายตั้งแต่ในเชชเนีย แทนซาเนียและเคนย่า กระทรวงต่างประเทศต้องการหลักฐานที่มากไปกว่านี้อีกหรือ ที่จะพิสูจน์และเป็นหลักฐานยืนยันว่า ชาวซาอุดิอาระเบียเป็นผู้ก่อการ้ายแห่งโลกสมัยใหม่ และไม่เพียงพออีกหรือที่จะทำการสอบสวนและเฝ้าติดตามบุคคลดังกล่าวอย่างใกล้ชิด?? ด้วยเหตุนี้รูปแบบในการบริหารเรื่องวิซ่ามันเอื้อต่ออุซามะห์ บิน ลาเดนอย่างมากในการเข้าไปแทรกซึมในอเมริกา
การสนับสนุนของวอชิงตันต่อระบอบซาอุดิอาระเบีย ในการตัดสินของศาลยุติธรรมโลก
กระทรวงต่างประเทศของอเมริกาเปิดโอกาสให้กับผู้ปกครองซาอุดิอาระเบีย เพื่อสามารถกระทำอะไรก็ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ทางกระทรวงต่างประเทศก็จะคอยปกป้องและให้การสนับสนุนซาอุฯในองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ กระทรวงต่างประเทศไม่สนใจต่อเหตุการณ์ระเบิด ณ. หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติและหอ คุบัร กรณีตัวอย่างนี้ ในรายงานของกระทรวงต่างประเทศ เมื่อปี 1999 ได้ย้ำในประเด็น รูปแบบการก่อการร้ายสากล โดยสำหรับซาอุดิอาระเบียแล้วย้ำถึง ประเด็น ซาอุต้องมุ่งมั่นต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายทุกระดับขั้น และในรายงานกล่าวเสริมว่า ทางการซาอุฯ ยังคงตรวจสอบและสอบสวนคดีระเบิดรอบหอ อัลคุบัร เมื่อปี 1996 อย่างต่อเนื่อง
แต่เรารู้ว่านี้คือการลวงโลกครั้งใหญ่ ซึ่งนาเญฟ ก็ไม่เคยติดตามสอบสวนแฟ้มคดีนี้แม้แต่น้อย แต่ในปี 1999 มันเกิดเหตุการณ์ต่างนานาอย่างมากมาย ซึ่งทางรัฐบาลได้ปกปิดไม่ให้เราได้รับรู้ และในปีเดียวกันนั้นเอง นาเญฟ ได้ทำการปล่อยนักการศาสนาสองคนซึ่งเป็นนักโทษในคดีสังหารชาวอเมริกัน ในเวลานั้นเองพวกเขาได้เข้าร่วมสมทบกับบุคคลอีก 15 คนเข้ารับการฝึกอบรมในมัสยิดของซาอุดิอาระเบีย
ปฏิกิริยาของซาอุดิอาระเบียต่อการถูกคุกคาม
ทางทำเนียบขาวจะไม่เปิดเผยความจริงแก่พลเมืองอเมริกันที่เดินทางมายังซาอุดิอาระเบีย แต่ก็มีคำเตือนให้พวกเขาออกจากซาอุดิอาระเบีย ขณะที่ข้าพเจ้าได้พูดกับเพื่อนร่วมงาน ว่า วันนี้ซาอุดิอาระเบียต้องล่มสลาย พวกเขาต่างไม่เชื่อและยังเยาะเย้ยข้าพเจ้าอีกด้วย พร้อมกับเอ่ยพูดว่า มันจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะครอบครัวผู้ปกครองซาอุดิอาระเบียเหมือนกับนิ้วมือ เมื่อเห็นว่ากำลังเผชิญหน้ากับภัยคุกคามก็จะกำมือกลายเป็นกำปั้นในทันที แต่ข้อเท็จจริงคือ เมื่อราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียถูกคุกคาม ก็จะแสดงปฏิกิริยา และจะส่งเสริมสนับสนุนทางการเงินให้กับกลุ่มหัวรุนแรงสุดโต่ง ขณะเดียวกันอเมริกาก็ยังออกวิซ่าให้กับซาอุดิอาระเบียเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
ความร่วมมือธุรกิจน้ำมันกับตอลิบันในการคุ้มครองความปลอดภัยแก่บิน ลาเดน
อเมริการู้ดีว่า ซาอุดิอาระเบียต้องการดำเนินโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจากอัฟกานิสถาน เอเชียกลาง ถึงปากีสถาน และสร้างแหล่งหลบภัยที่ปลอดภัยให้แก่บินลาเดน ในขณะที่อเมริกาก็ยืนเคียงข้างซาอุดิอาระเบีย พร้อมกับเรียกร้องส่งเสริมให้บริษัทต่างๆของอเมริกาเข้าร่วมในโครงการดังกล่าวนี้ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของโครงการนี้ก็ขึ้นอยู่กับการแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงในอัฟกานิสถานด้วย เนื่องจากบริเวณพื้นที่ของประเทศที่จะมีการวางท่อก๊าซนั้นเป็นเขตอิทธิพลของกลุ่มตอลิบันนั่นเอง
ในปี 1997 อเมริกาได้ส่งบุคคลหนึ่ง (ชื่อของเขาถูกลบออกแล้ว) เข้าสู่หน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติมให้กับข้าพเจ้าโดยเฉพาะประเด็นโครงการ “ ท่อส่งก๊าซยูโนเเคล (Unocal) ” ซึ่งเป็นโครงการท่อส่งก๊าซที่รัฐบาลตอลิบันคัดค้านไม่ยินยอมให้ผ่านดินแดนอัฟกานิสถาน
เรื่องมีอยู่ว่า สาธารณรัฐต่างๆที่อยู่ในเอเชียกลาง ที่เคยตกอยู่ในสหภาพโซเวียต ( อาเซอร์ไบจาร์ คาซัสถาน เติรก์เมนิสถาน และอุซเบกิสถาน) ล้วนเป็นประเทศที่มีทัพยากรทางธรรมชาติมหาศาลอันได้แก่ น้ำมันและก๊าซ ซึ่งประเทศดังกล่าวไม่มีชายแดนติดกับทะแล และมีความจำเป็นที่จะต้องส่งออกทัพยากรเหล่านี้สู่ตลาดโลก จากความจำเป็นนี้เองจึงเกิดโครงการสัมปทานส่งท่อก๊าซขึ้นมา
มีหลายช่องทางด้วยการที่จะส่งท่อก๊าซครั้งนี้และจากประเด็นการเมืองที่เข้ามาเกี่ยวข้องทำให้การดำเนินโครงการสัมปทานครั้งนี้เป็นไปได้สูงขึ้น
อิหร่านคือเส้นทางที่ใกล้ที่สุด ซึ่งอิหร่านถูกอเมริกาคว่ำบาตร แต่ก็ยังมีอีกช่องทางหนึ่งคือผ่านรัสเซียและจีน และเส้นทางนี้อเมริกาเองได้คัดค้านและไม่ยินยอม ด้วยเหตุนี้ ทางบริษัทน้ำมันของอเมริกา ยูโนเเคล เสนอให้มีการส่งท่อก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจากเติรก์เมนิสถานผ่านอัฟกานิสถานและปากีสถาน
แม้นว่าจะเกิดสงครามภายในอัฟกานิสถานและอิทธิพลของตอลิบันในประเทศนี้ ทางบริษัทยูโนแคล ก็มีความพยายามที่จะให้โครงการดังกล่าวดำเนินการต่อไป ทางบริษัทมีการคำนวณค่าใช้จ่ายในการสัมปทานท่อก๊าซครั้งนี้จากเติรก์เมนิสถานถึงปากีสถาน ประมาณ สองพันล้านดอลลาร์ และท่อน้ำมันคาดว่าจะใช้งบประมาณ 2.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งการลงทุนครั้งมหาศาลที่เสี่ยงอันตรายครั้งนี้เกิดขึ้นในประเทศที่กำลังจะเกิดสงครามภายใน
ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ปี 1998 มีบุคคลหนึ่ง (ชื่อถูกลบออกแล้ว) ได้เสนอให้บริษัทยูโนแคลเปลี่ยนมาใช้เส้นทางจาก เตริก์กันดี – สบียน โบลแดก และมาลงทุนในมัสยิดและโรงเรียนต่างของกันดาฮาร์ ในภูมิภาคแทน หากบริษัทยูโนแคลดำเนินการตามข้อเสนอดังกล่าวนี้ มันจะเกิดโจทย์คำถามสำหรับข้าพเจ้าว่าในทันทีว่า มันเป็นการเอื้อและปูทางหลบหนีให้กับอุซามะห์ บิน ลาเดิน หรือไม่ ???
แม้กระทั่งในปี 1998 หลังจากที่มีการบุกโจมตีสถานทูตอเมริกาในแทนซาเนียและเคนย่า ล้วนแล้วถูกบัญชาการจากอุซามะห์ บินลาเดน ทั้งสิ้นซึ่งขณะนั้นเขาพำนักอยู่ในอัฟกานิสถาน และซาอุดิอาระเบียก็ยังคงให้กับสนับสนุนแขกคนพิเศษหรือตอลิบันของเขาอย่างต่อเนื่อง
ซาอุดิอาระเบียให้เงินสนับสนุนนับพันล้านดอลลาร์แก่ตอลิบัน และการสนับสนุนช่วยเหลือทางการเงินที่ยังคงมีต่อเนื่อง แม้แต่หลังจากเหตุการณ์วินาศกรรมตึกเวิลด์แทรกเซ็นเตอร์และแพนตากอน ขณะเดียวกันทางกระทรวงต่างประเทศอเมริกาก็ไม่เคยออกมาร้องเรียนในเรื่องนี้เลย ด้วยเหตุผลอันนี้อย่าได้มองข้ามการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติการของอเมริกาต่อเหตุการณ์ 11 กันยา ที่ได้ละเลยในการสัมภาษณ์พลเมื่อชาวซาอุดิอาระเบียก่อนจะออกวีซ่า
บันดัร บินสุลตาน คือ ซุปเปอร์ทูต
คณะกรรมการซีไอเอ ทราบมาก่อนล่วงหน้าแล้วว่า ประตูของทำเนียบขาวจะให้การต้อนรับ บันดัร บินสุลตาน ทูตของซาอุดิอาระเบีย อยู่เสมอ ขณะที่บรรดาสายลับต่างๆต่างเฝ้ารอนับแรมเดือนที่จะเห็นการพบปะส่วนตัว สิ่งที่บันดารดำเนินการในการพบปะกับประธานาธิบดีอเมริกานั้นคือการยื่นข้อเสนอที่เร่งด่วนเท่านั้น
บันดัร ไม่ใช่บุคคลสามารถที่ใครสามารถพูดคุยหยอกล้อเล่นกันได้ แม้แต่หัวหน้าซีไอเอก็ยังไม่สามารถคุยหยอกล้อกับเขาได้ ครั้งที่บันดัรเกิดความครางแคลนสงสัยในตัวหัวหน้าข่าวกรองกลางของเมริกา ที่กดดันทางการซาอุดิอาระเบีย เขาร้องเรียนประธานาธิบดีในทันที หลังจากนั้นหน่วยงานก็จะถูกกดดันอย่างหนัก
การลงทุนของซาอุดิอาระเบียในอเมริกา
ในทศวรรษที่ 90 อเมริกาและชาติยุโรปจะมีต้นทุนการจ่ายเงินค่าน้ำมันน้อยกว่าชาติในเอเชีย
ในความเป็นจริงซาอุดิอาระเบียก็มีการลงทุนในสินค้าอุปโภคของสหรัฐอเมริกาด้วย
ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำมันได้ให้ข้อมูลกับข้าพเจ้าเมื่อเดือนกันยายน ปี 2001 โดยเฉพาะความแตกต่างในราคาน้ำมันระหว่างตลาดตะวันตกกับเอเชีย หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญบอกกับข้าพเจ้าว่า (เอเชียจะมีการจ่ายภาษีน้ำมันของตนอย่างง่ายดาย และจะไม่มีการลดราคาน้ำมันที่ส่งออกให้กับอเมริกาแต่อย่างใด) เหตุเช่นนี้ทำให้ซาอุดิอาระเบียที่ไม่สามารถคว้าโอกาสนี้ จึงต้องสูญเสียผลกำไรในตลาดน้ำมันโลกอย่างมหาศาล
หากในช่วงบ่ายหลังเหตุการณ์ 11 กันยา ซาอุมีการส่งออกน้ำมันของตนเองสู่ตลาดโลกเพียงน้อยนิด โดยอาศัยการล็อบบี้ของอเมริกา ก็จะสามารถที่จะได้กำไรอย่างมหาศาล ซึ่งกรณีเช่นนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อปี 1990 เหตุการณ์สงครามอิรัก คูเวต ที่ซาอุดิอาระเบียและพันธมิตร ได้ทำการชดเชยน้ำมันที่ขาดไปจากอิรักและคูเวต ประมาณ 5 ล้านบาร์เรลต่อวันทยอยขายสู่ตลาดน้ำมันโลก
ซึ่งหากพวกเขาต้องการให้น้ำมันแตะราคาที่ลิตรละ 100 ดอลลาร์ ต่อบาร์เรล ก็เป็นได้สูง โดยอาศัยช่องทาง “พายุแห่งทะเลทราย” ก็สามารถโกยกำไรได้อย่างมหาศาล แต่ตรงกันข้ามในการเผชิญหน้าต้องพบกับอุปสรรค์ปัญหาทางการเงิน เมื่อซาอุดิอาระเบียเพิ่มยอดส่งออกน้ำมันแต่กลับต้องสูญเสียรายได้อย่างมหาศาล ทว่าซาอุดิอาระเบียไม่ต้องการให้อเมริกาลืมว่า ชาติใดเป็นผู้ผลิตจำหน่ายน้ำมันรายหลักในประเทศ
ด้วยเหตุผลนี้ไม่เพียงแต่อเมริกาที่ไม่ต้องการผลิตน้ำมันเพิ่ม แต่กลับดื้อดานทนรับฟังการวิพากษ์วิจารณ์ ต่างๆนานาจากชาติในเอเชียต่อไป……..
โปรดรออ่านต่อตอนต่อไป
โดย อิบรอเฮง อาแว
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เจาะประเด็นลึกจากหนังสือ SLEEPING WITH THE DEVIL (นอนกับปีศาจ) เปิดโปงผู้ก่อการร้ายตัวจริงในตะวันออกกลาง (ตอนที่1)