การบิดเบือนของวาฮาบีต่อกรณีจัดงานเมาลิดุนบี(กำเนิดศาสดา)

3045

ประสูติท่านศาสดากับกิจกรรมที่ถูกตราเป็นอุตริกรรม
ขณะที่ประเทศอิสลามต่างๆ เช่น อิหร่าน ปากีสถาน อัฟกานิสถาน ประเทศแถบอ่าวเปอร์เซีย และมวลมุสลิมทั้งในยุโรป อเมริกาและในประเทศไทย ต่างพากันจัดงานเฉลิมฉลองรื่นรมย์ ในวันประสูติของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการจัดงานในรูปลักษณะต่างๆนานา ซึ่งถือว่าในความเป็นจริงนั้นเป็นสัจธรรมที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าวันประสูติของท่านศาสดาเป็นวันหนึ่งที่ดีที่สุดและวันสำคัญที่สุดของหน้าประวัติศาสตร์มนุษย์ เพราะเป็นวันที่บรรดาศาสนทูตก่อนหน้านี้ ล้วนแล้วได้แจ้งข่าวดีถึงการมาของท่านศาสดาท่านสุดท้าย ดังนั้นการแสดงความยินดี เฉลิมฉลองของพี่น้องมุสลิมทั้งหลายเป็นเรื่องธรรมชาติตามสัญญาติญาณดั่งเดิม(ฟิตเราะฮ์)อันบริสุทธิ์ของมนุษย์ ซึ่งสิ่งนี้มันเหนือกว่าการยึดมั่นในนิกายเสียด้วยซ้ำ เพราะมนุษย์ที่มีความรักแด่ท่านศาสดา ย่อมมีสิทธิที่จะแสดงความรักของเขาต่อท่านศาสดา ด้วยการสรรเสริญเชิดชูและเทิดเกียรติต่างๆนานา ด้วยการแสดงการเคารพและให้เกียรติ และปรารถนาให้นามของท่านศาสดาคงอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ตลอดกาล แต่เป็นที่น่าเสียดายและรันทดใจยิ่ง ที่มีกลุ่มหนึ่งภายใต้ชื่อลัทธิวะฮาบี โดยในความเป็นจริงแล้วนั้นเป็นลัทธิที่ทำการฟื้นฟูแบบอย่างของตระกูลอุมัยยะห์ ซึ่งเป็นตระกูลที่ถูกสาปแช่งโดยอัลลอฮ์ และท่านศาสดา(ซล) โดยกล่าวอ้างว่า การจัดงานเฉลิมฉลอง วันประสูติของท่านนบีเป็นอุตริกรรม เป็นบิดอะห์ เป็นการตั้งภาคีและนำมาซึ่งการเป็นกุฟร์(ตกศาสนา) โดยที่มนุษย์ผู้มีสติสัมปชัญญะ ต่างงวยงง กับคำฟัตวา คำวินิจฉัยอันวิตถารเช่นนี้ของลัทธิวะฮาบี
ในหนังสือ فتاوي اللجنة الدائمة للبحوث و الإفتاء ซึ่งเป็นตำราที่ใหญ่ที่สุดด้านนิติศาสตร์ของวะฮาบี เป็นตำราที่มีการรวบรวมคำถามต่างๆจากทั่วโลก ซึ่งมีจำนวน 20 เล่ม โดยในเล่มที่3 หน้า 81 กล่าวอย่างชัดเจนว่า การจัดงานเฉลิมฉลองวันประสูติของท่านศาสดา เป็นสิ่งที่ต้องห้าม เพราะเป็นสิ่งอุตริกรรม โดยท่านศาสดา คอลีฟะห์ทั้งสี่ท่าน ศอฮาบะฮ์ และตาบีอีน ไม่เคยจัดงานเฉลิมฉลองดังกล่าวมาเลย
คำวินิจฉัยของบรรดาผู้รู้เหล่านี้ มันกำลังละเล่นกับความรู้สึกของพี่น้องมุสลิมนับพันล้านคน ในขณะที่ผู้ปฏิบัติตามลัทธิวะฮาบีนั้นมีเพียงน้อยนิดและถือเป็นชนส่วนน้อยด้วยซ้ำไป อีกทั้ง ยังเป็นส่วนเกินของประชากรมุสลิมทั่วโลกที่มีความคิดที่นิยมความรุนแรงและมักชอบสร้างความแตกแยกให้กับเกิดขึ้นประชาชาติอิสลาม
ในบทความชิ้นนี้ ต้องการสร้างความเข้าใจให้กับพี่น้องทุกท่าน ในความถูกต้อง ความชอบธรรมของการจัดงานวันประสูติท่านศาสดาและการสรรเสริญสดุดี ศอลาวาตท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) ว่าเป็นสิ่งที่อนุมัติและอนุญาตตามหลักการศาสนาอิสลาม

Untitled15

 

อัลกุรอานกับการศอลาวาต (การสรรเสริญศาสดา)
อัลลอฮ์(ซบ) ทรงตรัสว่า

إِنَّ اللَّهَ وَمَلَائِكَتَهُ يُصَلُّونَ عَلَى النَّبِيِّ يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا صَلُّوا عَلَيْهِ وَسَلِّمُوا تَسْلِيماً 

”แท้จริงอัลลอฮ์และมะลาอิกะฮ์ของพระองค์ ทำการศอลาวาตแก่ท่านนบี โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าจงศอลาวาตแก่เขาและจงประสาทสันติแก่เขาอย่างแท้จริงเถิด”
(อัลอะห์ซาบ : 56) 

ท่านอิบนุ กะษีร ได้อธิบายว่า “เป้าหมายจากอายะฮ์นี้ คืออัลลอฮ์ (ซบ) ได้ตรัสแก่ปวงบ่างของพระองค์ ถึงฐานันดรของศาสนทูตของท่านในกลุ่มชนชั้นเบื้องบนด้วยการให้บรรดามะลาอิกะฮ์ทำการศอลาวาตแก่ท่านนบี และพระองค์ยังใช้ให้โลกชั้นล่างทำการศอลาวาตและกล่าวสลามแก่ท่านนบี เพื่อให้การสรรเสริญต่อท่านนบีนั้น ถูกรวบไว้ทั้งโลกเบื้องบนและเบื้องล่างทั้งหมด”

(ตัฟซีร อิบนุกะษีร อธิบายอายะฮ์ที่ 56 ซูเราะฮ์อัลอะห์ซาบ) 

การศอลาวาตต่อท่านนบี (ซล) นั้น สามารถลบล้างบาปได้มากมาย ทำให้เรามีเกียรติ ด้วยการผูกสัมพันธ์ความรักต่อท่านนบี (ซล) ด้วยการศอลาวาตต่อท่านอย่างสม่ำเสมอ
การศอลาวาต คือ การขอต่ออัลลอฮ์ (ซบ)ให้ทรงประสาทพรแก่ท่านนบี (ซล)ของเรา ด้วยการเพิ่มพูนความจำเริญในแง่ของเกียรติตำแหน่งของท่านให้อยู่ในฐานันดรที่สูง 

ความประเสริฐของการศอลาวาตจากฮะดิษ 

การศอลาวาตนั้นเป็นการสนองคำบัญชาใช้ของอัลลอฮ์(ซบ) เป็นการเชื่อมความรักของเราที่มีต่อท่านนบี จนกระทั่งวันกิยามะฮ์เราจะได้เป็นผู้ที่ใกล้ชิดท่านด้วยการศอลาวาตมาก ๆ ยิ่งกว่านั้น อัลลอฮ์ ยังทรงทำให้การศอลาวาตเป็นการเพิ่มพูนความดี ลบล้างความชั่ว และยังยกฐานันดรของเราให้สูงอีกด้วย 

รายงานจากท่านอับดุลลอฮ์ บุตร อัมร์ บิน อาซ ว่า ท่านนบี (ซล)ได้กล่าวว่า

‏مَنْ صَلَّى عَليَّ صَلاةً صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ بِهَا عَشْراً‏
“ผู้ใดทำการศอลาวาตต่อฉันหนึ่งครั้ง อัลลอฮ์ก็จะทรงศอลาวาต(ให้ความเมตตา)แก่เขาด้วยการศอลาวาตของเขานั้นถึงสิบครั้ง”
รายงานโดยมุสลิม(384)

รายงานจากท่านอบูฮุร๊อยเราะฮ์ ว่า ท่านนบี(ซล) ได้กล่าวว่า
‏أوْلى النَّاسِ بي يَوْمَ القِيامَةَ أَكْثَرُهُمْ عَليَّ صَلاةً
“มนุษย์ที่เป็นที่รักยิ่งสำหรับฉันมากที่สุดในวันกิยามะฮ์ คือผู้ที่พวกเขาได้ศอลาวาตต่อฉันมากที่สุด”
รายงานโดยอัตติรมีซีย์ (484)
รายงานจากเอาส์ บุตร เอาส์ ว่า ท่านนบี (ซล) ได้กล่าวว่า

‏إِنَّ مِنْ أفْضَلِ أيَّامِكُمْ يَوْمَ الجُمُعَةِ، فأكْثِروُا عَليَّ مِنَ الصَّلاةِ فِيهِ، فإنَّ صَلاتَكُمْ مَعْرُوضَةٌ عَليَّ‏”‏ فقالوا‏:‏ يا رسول اللّه‏!‏ وكيف تُعرض صلاتنا عليك وقد أرَمْتَ‏؟‏ قال‏:‏ ‏”‏إنَّ اللّه حَرَّمَ على الأرض أجْسادَ الأنْبِياءِ‏

”แท้จริงส่วนหนึ่งจากวันที่ประเสริฐยิ่งนั้น คือวันศุกร์ ดังนั้น พวกท่านจงศอลาวาตต่อฉันในวันศุกร์ให้มาก ๆ เพราะการศอลาวาตของพวกท่านนั้นจะถูกนำเสนอแก่ฉัน พวกเขาถามว่า โอ้ รอซูลุลลอฮ์ การศอลาวาตของเราจะถูกนำเสนอต่อท่านได้อย่างไร ในเมื่อกระดูกของท่านพุเปื่อย(ตอนอยู่ในกุบูร)? ท่านนบี ตอบว่า แท้จริงอัลลอฮ์ทรงห้ามแผ่นดิน(กัดกิน)บรรดาเรือนร่างของนบี”
“รายงานโดยอบูดาวูด (1047) และท่านอิบนุ มาญะฮ์ (1085) ฮะดิษศอฮิห์” 

รายงานจากท่าน อนัส ว่า ท่านนบี (ซล) ได้กล่าวว่า

مَنْ صَلَّى عَليَّ وَاحِدَةً صَلَّى اللهَ عَلَيْهِ عَشَرَ صَلَوَاتِ، وَحَطَّ عَنْهُ عَشَرَ خَطِيْئَاتٍ، وَرَفَعَ لَهُ عَشَرَ دَرَجَاتٍ 

”ผู้ใดทำการศอลาวาตแก่ฉัน 1 ครั้ง อัลลอฮ์ก็จักทรงศอลาวาตให้แก่เขา 10 ครั้ง และพระองค์ทรงลบล้าง 10 บาปจากเขา และพระองค์ทรงยกเกียรติแก่เขาถึง 10 ฐานันดร”

รายงานโดยอิมามอะห์มัด ท่านอัลบุคอรีย์ในหนังสืออัลอะดับอัลมุร๊อด และท่านอันนะซาอีย์ ดู หนังสือญาเมียะอฺ อัศศ่อฆีร ของท่านอิมามอัสสะยูฏีย์ ฮะดิษที่ (8810) ฮะดิษนี้ซอฮิห์
ผู้ที่ไม่ศอลาวาตคือผู้ตระหนี่

ความจริงการศอลาวาตต่อท่านนบี (ซล) นั้น มิใช่มนุษย์เป็นผู้ทำการศอลาวาตให้ แต่ทว่าอัลลอฮ์(ซบ) ต่างหากที่เป็นผู้ศอลาวาตแก่ท่านนบี ดังนั้น เมื่อได้มีการเอ่ยนามของท่านนบี (ซล)แล้วเขาไม่ทำการกล่าวศอลาวาต ถือว่าเขาเป็นผู้อัปโชค ตระหนี่ถี่เหนียว ยิ่งกว่านั้นเขายังตระหนี่ในสิ่งที่ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของเขาอีกด้วย เนื่องจากการศอลาวาตเป็นของอัลลอฮ์ ซึ่งเรามักจะกล่าวเริ่มศอลาวาตว่า โอ้ อัลลอฮ์โปรดทรงศอลาวาตแก่ท่านนบีด้วยเถิด… ฉะนั้นการที่เราไม่ศอลาวาต ก็แสดงว่าเราไม่ปรารถนาให้อัลลอฮ์ ทรงประสาทพรแก่ท่านน ซึ่งเป็นความตระหนี่ที่จะหาอะไรมาเทียบเคียงไม่ได้อีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศอลาวาตนั้นเรามิได้เน้นเพื่อต้องการผลบุญ แต่เราต้องการที่สร้างแสดงความรักต่อท่านนบี ที่มีอยู่ในหัวใจของเรา ซึ่งท่านนบี (ซล) นั้น เป็นผู้รักห่วง หวังดี และเมตตายิ่งต่อเราประชาชาติอิสลาม ดังนั้นเราไม่ทำการซอลาวาตต่อท่านได้อย่างไร?

อัลลอฮ์ ทรงตรัสยืนยันไว้ว่า

لَقَدْ جَاءكُمْ رَسُولٌ مِّنْ أَنفُسِكُمْ عَزِيزٌ عَلَيْهِ مَا عَنِتُّمْ حَرِيصٌ عَلَيْكُم بِالْمُؤْمِنِينَ رَؤُوفٌ رَّحِيمٌ

”โดยแท้จริง ได้มีศาสนทูตหนึ่งจากเผ่าพันธุ์ของพวกเจ้ามา (ประกาศสัจธรรม) สู่พวกเจ้า เขามีความกังวลในสิ่งที่พวกเจ้าทุกข์ร้อน เขามีความหวังดีต่อพวกเจ้า อีกทั้งเป็นผู้ปรานีและเมตตายิ่งแก่บรรดาศรัทธาชนทั้งมวล” อัตเตาบะฮ์ 128

รายงานจากท่านอบูฮุร๊อยเราะฮ์ ว่า ท่านนบี (ซล) ได้กล่าวว่า

‏رغِمَ أنْفُ رَجُلٍ ذُكِرْتُ عِنْدَهُ فَلَمْ يُصَلِّ عَليَّ‏

”ชายคนหนึ่งนั้นจะต่ำต้อย เมื่อฉันได้ถูกเอ่ยขึ้น ณ ที่เขา แล้วเขาไม่ยอมทำการซอลาวาตแก่ฉัน” รายงานโดยติรมีซีย์ (3539) ฮะดิษหะซัน

รายงานจากท่านอะลี ว่า ท่านนบี ได้กล่าวว่า

‏البَخِيلُ مَنْ ذُكِرْتُ عِنْدَهُ فَلَمْ يُصَلِّ عَليَّ‏

”ผู้ที่ตระหนี่นั้น คือผู้ที่ฉันถูกเอ่ยขึ้นมา ณ ที่เขา แล้วเขาก็ไม่ทำการศอลาวาตต่อฉัน” รายงานโดยติรมีซีย์ (3540) ฮะดิษ หะซันซอฮิห์

วิธีการศอลาวาต

รายงานจากท่านอบี ดัรดาอฺ ท่านนบี (ซล) ได้กล่าวว่า

مَنْ صَلَّى عَليَّ حِيْنَ يُصْبِحُ عَشَراً، وَحِيْنَ يُمْسِيْ عَشَراً أَدْرَكَتْهُ شَفَاعَتِيْ يَوْمَ الْقِيَامَةِ
”ผู้ใดทำการศอลาวาตต่อฉันในยามเช้า 10 ครั้ง และในยามเย็น 10 ครั้ง การชะฟาอะฮ์(การช่วยเหลือของฉัน) จะได้ประสบกับเขาในวันกิยามะฮ์”
“รายงานโดยฏ๊อบรอนีย์ ด้วยสองสายสืบ ซึ่งมีหนึ่งสายสืบที่มีสายรายงานที่ดี ( มัจญ์มะอฺ อัซซะวาอิด ของท่านอัลฮัยษะมีย์ (10/120) ท่านอิมามอัสสะยูฏีย์ กล่าวว่า เป็นฮะดิษหะซัน ดู หนังสือ อัลญาเมี๊ยะอฺอัศศ่อฆีรฮะดิษที่ (8811 ) 

การศอลาวาตประจำวันด้วยถ้วยคำที่ดีที่สุด คือ ถ้อยคำที่เราได้กล่าวตอนหลังอ่านตะชะฮุดในนมาซ 

اَللَّهُمَّ صَلِّ عَلىَ مُحَمَّدٍ وَعَلىَ آلِ مُحَمَّدٍ كَمَا صَلَّيْتَ عَلىَ إِبْرَاهِيْمَ وَعَلىَ آلِ إِبْرَاهِيْمَ وَبَارِكْ عَلىَ مُحَمَّدٍ وَعَلىَ آلِ مُحَمَّدٍ كَمَا بَارَكْتَ عَلىَ إِبْرَاهِيْمَ وَعَلىَ آلِ إِبْرَاهِيْمَ فِيْ الْعَالَمِيْنَ إِنَّكَ حَمِيْدٌ مَجِيْدٌ

หรือกล่าวสั้น ๆ ว่า 
اَللَّهُمَّ صَلِّ عَلىَ مُحَمَّدٍ وَعَلىَ آلِ مُحَمَّدٍ

ดังนั้นจากการอธิบายข้างต้น ทั้งจากหลักฐานอัลกุรอานและฮะดิษ หรือวัจนะของท่านศาสดา(ซล) เป็นที่ประจักษ์ในความสำคัญของการศอลาวาตแด่ท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) การศอลาวาตสามารถกระทำได้อยู่ตลอดเวลามิได้กำหนดเวลาเฉพาะ โดยเฉพาะในช่วงการจัดงานเมาลิด(เฉลิมฉลองวันประสูติของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) นั้นพี่น้องมุสลิมต่างพากันสรรเสริญสดุดีและศอลาตแด่ท่านอย่างยิ่งใหญ่ในรูปแบบต่างๆ เพื่อแสวงหาความใกล้ชิดและแสดงออกถึงความรักที่มีแด่ท่านศาสดามุฮัมมัดอย่างพร้อมเพรียงกัน
แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายและรันทดใจยิ่งที่มีกลุ่มหนึ่งที่อ้างตนเป็นผู้ปฏิบัติตามท่านศาสดา(ซล) แต่กลับปฏิเสธรูปแบบของการจัดงานเมาลิด และการศอลาวาตแด่ท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) นั้นคือกลุ่มวะฮาบี

มุฮัมมัด บินวะฮาบ คือผู้ที่รังเกียจการศอลาวาตต่อท่านนบี
ตามหลักฐานที่ปรากฏ ระบุว่า
มูฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ รังเกียจการศอลาวาตต่อท่านนบี และเขาจะเป็นทุกข์เป็นร้อนเมื่อได้ยินมัน
ในคืนวันศุกร์ เขาจะห้ามไม่ให้มีการศอลาวาตต่อท่านนบี และห้ามศอลาวาตเสียงดังบนมิมบัร ถ้าหากใครทำเช่นนั้น เขาจะทำร้าย และลงโทษอย่างรุนแรง ต่อบุคคลที่กระทำสิ่งดังกล่าว จนกระทั่งที่ว่า มูฮัมหมัด บิน อับดุลวะฮาบ คนนี้ ได้ฆ่าชายตาบอด ซึ่งเขาเป็นมุอัซซิน(คนกล่าวอะซาน)ที่มีคุณธรรมคนหนึ่ง มีเสียงที่ไพเราะ แต่มูฮัมหมัด บิน อับดุลวะฮาบ กลับห้ามเขาไม่ให้ทำการศอลาวาตบนประภาคาร ถัดจากอะซาน แต่ชายผู้นี้ไม่ยอมหยุด และได้ทำการศอลาวาตต่อท่านนบี ในที่สุดมูฮัมหมัด บิน อับดุลวะฮาบ จึงสั่งให้ฆ่าชายผู้นี้ซะ และแล้วชายตาบอดผู้นี้ก็ถูกสังหาร
حتى أن رجلا صالحا كان أعمى و كان مؤذنا و صلى على النبي صلى الله عليه و سلم بعد الأذان بعد أن كان المنع منهم، فأتوا به إلى إبن عبد الوهاب فأمر به أن يقتل فقتل و لو تتبعت لك ما كانوا يفعلونه من أمثال ذلك لملأت الدفاتر و الأوراق.
(หนังสือ فتنة الوهابية หน้า 20 )

 

raudhoh

 

ทำไมพี่น้องมุสลิมต้องจัดงานเฉลิมฉลองให้กับท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) ด้วย ???

 

การให้เกียรติและรำลึกถึงบ่าวที่ดีของอัลลอฮ์ เช่น การจัดพิธีเฉลิมฉลองเนื่องในวันเกิด ตามทัศนะของนักปราชญ์แล้ว เป็นที่ชัดเจน ทว่าเพื่อขจัดความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ขอนำเสนอเหตุผลบางประการทางหลักชัรอีย์(ศาสนาบัญญัติ)
1 การจัดงานเฉลิมฉลองเป็นสื่อแห่งความรัก
อัลกุรอานได้กล่าวเชิญชวนให้บรรดามุสลิมทั้งหลาย มีความรักต่อบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ (ลูกหลานชั้นใกล้ชิด) ของท่านศาสดา (ซล) ว่า
قُل لاَّآ أَسْـءَلُکُمْ عَلَیْهِ أَجْرًا إِلاَّ الْمَوَدَّةَ فِى الْقُرْبَى
“จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ฉันมิได้ขอรางวัลตอบแทนใด ๆ เพื่อการนี้ นอกเสียจากความรักที่มีต่อลูกหลาน” (ซูเราะฮ์ อัซซูรอ โองการที่ ๒๓)
ไม่เป็นที่สงสัยว่าการจัดงานเฉลิมฉลองให้กับบรรดาเอาลิยาของอัลลอฮ์ (ซบ.) เป็นภาพลักษณ์หนึ่งแห่งความรักของประชาชนที่มีต่อบรรดาท่านเหล่านั้น ซึ่งหากพิจารณาอย่างละเอียดจะพบว่าเป็นที่ยอมรับของอัลกุรอาน
โองการนี้พระองค์ทรงกำชับว่า การมอบความรักแด่วงศ์วานของศาสดามุฮัมมัด (ซล) นั้น เป็นการตอบแทนคุณของท่านในการเผยแพร่พระดำรัสของพระองค์ เราจึงแสดงความกตัญญูกตเวทิตาคุณพวกท่านในทุกรูปแบบ ไม่ว่างานเฉลิมฉลองคล้ายวันกำเนิด การจัดงานไว้อาลัยรำลึกถึงพวกท่านในวันกลับคืนสู่พระเมตตาแห่งอัลลอฮฺ (ซ.บ.) เหล่านี้ล้วนเป็นการแสดงให้เห็นถึงความรัก อาลัยในเกียรติยศ คุณงามความดีของพวกท่านทั้งสิ้น การแสดงออกดังกล่าวของผู้ศรัทธาจึงเป็นการตอบแทนบุญคุณอันหาที่สุดมิได้ของท่านศาสดา (ซล) ที่ท่านได้นำพจนาถแห่งอัลลอฮฺ (ซ.บ.) เผยแพร่กับประชาชาติทั้งหลาย

2 การจัดงานเฉลิมฉลองวันเกิดให้ท่านศาสดา (ซล)เป็นการเทิดเกียรติท่านศาสดา
อัลกุรอาน นอกจากจะให้ช่วยเหลือท่านแล้วยังได้กล่าวยกย่องเกียรติยศของท่านศาสดาและถือว่า ตำแหน่งอันสูงส่งของท่านเป็นมาตรฐานของความดีงามและความเจริญรุ่งเรือง
فَالَّذِینَ آمَنُوا بِهِ وَعَزَّرُوهُ وَنَصَرُوهُ وَاتَّبَعُوا النُّورَ الَّذِی أُنزِلَ مَعَهُ أُوْلَئِکَ هُمْ الْمُفْلِحُونَ
“ดังนั้นบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อเขา ให้ความสำคัญและช่วยเหลือเขา และปฏิบัติตามรัศมีที่ถูกประทานลงมาพร้อมกับเขา แน่นอนชนเหล่านี้แหละคือผู้ประสบความสำเร็จ” (ซูเราะฮ์ อัลอะอฺรอฟ โองการที่ ๑๕๗ )
โองการข้างต้นได้กล่าวอย่างชัดเจนว่าการให้เกียรติกับท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ในทัศนะของอิสลามเป็นที่ยอมรับ ตลอดจนการจัดพิธีเฉลิมฉลองเพื่อเป็นการรำลึกถึงความรุ่งเรืองที่ท่านเป็นผู้สถาปนาไว้ และพึงรักษาให้สิ่งนี้ดำรงอยู่ตลอดไปแน่นอนเป็นที่พึงพอพระทัยของอัลลอฮ์ (ซบ.) เนื่องจากโองการข้างต้นได้อธิบายถึงคุณลักษณะของผู้ประสบความสำเร็จไว้ ๔ ประการดังนี้
๑. มีศรัทธามั่นคง (อัลละซีนะอามะนู) โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย
๒. เป็นผู้ปฏิบัติตามรัศมี (วัตตะบะอุนนูรอลละซีอุนซิละมะอะฮู) และปฏิบัติตามรัศมีที่ถูกประทานลงมาพร้อมกับเขา
๓. เป็นผู้ให้การช่วยเหลือท่านศาสดา (วะนะเซาะรูฮู) และช่วยเหลือเขา
๔. เป็นผู้ให้ความสำคัญต่อตำแหน่งของท่านศาสดา (วะอัซซะรูฮุ) ให้ความสำคัญ
ด้วยเหตุนี้ การให้เกียรติและยกย่องฐานันดรของท่านศาสดา(ซล) นอกเหนือไปจากการช่วยเหลือ และการปฏิบัติตามคำสั่งของท่าน ถือว่าเป็นความจำเป็น ส่วนการให้ความสำคัญต่อท่าน เท่ากับได้ปฏิบัติตามอัลกุรอาน ที่กล่าวว่า (วะอัซซะรูฮุ)
3 การจัดงานเฉลิมฉลองเท่ากับเป็นการปฏิบัติตามพระผู้เป็นเจ้า
อัลลอฮ์ (ซบ.) ได้ให้ความสำคัญแก่ท่านศาสดา (ซล.) ว่า
وَرَفَعْنَا لَكَ ذِكْرَكَ
“และเราได้ยกย่องการรำลึกแก่เจ้าแล้ว” (ซูเราะฮ์ อัช-ชัรห์ โองการที่ ๔)
โองการได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่าอัลลอฮ์ (ซบ.) ทรงต้องการให้ความรุ่งโรจน์และภาพลักษณ์ของท่านศาสดาขจรไกลไปทั่วทั้งโลก ดังนั้น  จะเห็นว่าพระองค์ได้ทำการยกย่องท่านศาสดา (ซล) ด้วยพระองค์เอง เมื่ออัลกุรอานยืนยันว่าพระองค์ได้ยกย่องฐานันดรอันสูงศักดิ์ ซึ่งเป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์ และมีเกียรติยิ่งแก่ท่านศาสดา มุสลิมในฐานะที่เป็นผู้ปฏิบัติตามอัลกุรอานของพระองค์ จึงได้แสดงการยกย่องท่านตามพระองค์ เป็นที่ชัดเจนว่าจุดประสงค์ของบรรดามุสลิมในการจัดพิธีเฉลิมฉลองรำลึกถึงท่านศาสดา (ซล) ไม่ได้มีสิ่งใดเกินเลยไปจากการยกย่องเกียรติยศของท่าน
4 การประทานอัลกุรอาน มิได้เล็กน้อยไปกว่าการประทานอาหาร
อัลกุรอานได้กล่าวถึงคำพูดของท่านศาสดาอีซา (อ.) ว่า
اللَّهُمَّ رَبَّنَا أَنزِلْ عَلَیْنَا مَائِدَةً مِنْ السَّمَاءِ تَکُونُ لَنَا عِیدا لاَِوَّلِنَا وَآخِرِنَا وَآیَةً مِنْکَ وَارْزُقْنَا وَأَنْتَ خَیرُ الرَّازِقِینَ
“อีซาบุตรของมัรยัม ได้กล่าวว่า โอ้ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า พระผู้อภิบาลของเรา โปรดประทานอาหารจากฟากฟ้าลงมาแก่พวกเรา เพื่อจะได้เป็นวันรื่นเริงแก่พวกเราทั้งหมด ตั้งแต่คนแรกของพวกเราถึงคนสุดท้าย และเพื่อเป็นสัญญาณหนึ่งจากพระองค์  โปรดประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกเรา พระองค์คือผู้ที่ดีเยี่ยมในหมู่ผู้ประทานปัจจัยยังชีพทั้งหลาย”
(ซูเราะฮ์ อัลมาอิดะฮฺ โองการ ที่ ๑๑๗)
ท่านศาสดาอีซา (อ.) ได้เสนอต่ออัลลอฮ์ ว่า ให้พระองค์ประทานอาหารจากฟากฟ้าแก่พวกเขา เพื่อจะได้จัดให้วันนั้นเป็นวันอีด (วันรื่นเริง)
คำถาม ? ขณะที่ท่านศาสดาอีซา (อ.) ได้รับริซกีซึ่งเป็นอาหารที่ถูกประทานจากฟากฟ้าและเป็นสาเหตุทำให้ร่างกายเจริญเติบโตมีความอิ่มหนำสำราญ ท่านได้จัดเฉลิมฉลองวันนั้นให้เป็นวันอีดทันที และวันนี้เนื่องจากเป็นวันแห่งการประทานอัลกุรอานหรือวันประสูติของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ผู้ซึ่งได้ช่วยเหลือให้มนุษย์รอดพ้นจากสภาพของความเป็นเดรัจฉาน และได้ให้ชีวิตใหม่แก่สังคมมนุษย์ ถ้าหากมุสลิมจะจัดพิธีเฉลิมฉลอง หรือมอบให้เป็นวันอีดแก่มวลมุสลิมทั้งหลายถือว่าเป็นชิริกและอุตริกรรม(บิดอะฮ์)กระนั้นหรือ
5 แบบฉบับของมุสลิม ผู้ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาอิสลามนับตั้งแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน ได้มีการจัดพิธีเฉลิมฉลองรื่นเริงเพื่อรำลึกถึงท่านศาสดา (ซล) มาโดยตลอด เช่น ท่านฮูเซ็น บิน มุฮัมมัด ดิยาร บิกรีย์ ได้บันทึกไว้ในหนังสือตารีคุลเคาะมีซ ว่า
“บรรดามุสลิมได้จัดพิธีเฉลิมฉลองเนื่องในเดือนประสูติของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ได้มีการเลี้ยงฉลอง มีการบริจาคทานในคืนนั้น สร้างความสนุกสนานรื่นเริง ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศแห่งการทำคุณงามความดีต่าง ๆ ได้ให้ความสำคัญต่อการอ่านสาส์นรำลึกถึงวันประสูติของท่าน ความเมตตาและความจำเริญต่าง ๆ ของเขาเป็นที่ประจักษ์แก่ชนทั้งหลาย” (ฮุซัยน์ บิน มุฮัมมัด  บิน ฮะซัน ดิยารบิกรีย์ ตารีคุลเคาะมีซ พิมพ์ที่เบรุต เล่มที่ ๑ หน้าที่ ๒๒๓ )
จากคำพูดข้างต้นทำให้ได้รับรู้กฎทั่ว ๆ ไปว่า การจัดพิธีเฉลิมฉลองเพื่อรำลึกถึงท่านศาสดา (ซล) ในทัศนะของอัลกุรอานและแบบฉบับของบรรดามุสลิมถือว่าอนุญาต ดังนั้น เป็นที่แน่ชัดว่าคำพูดที่กล่าวหาว่าการกระทำดังกล่าวผิด เป็นชิริก และบิดอะฮ์จึงเป็นคำพูดที่ไม่มีรากที่มา เนื่องจากว่า บิดอะฮ์ นั้นหมายถึงการให้กระทำบางส่วนหรือทั้งหมดของภารกิจนั้น โดยที่ไม่ได้อิงอาศัยอัลกุรอานแม้แต่นิดเดียว ขณะที่กฎเกณฑ์ของเรื่องที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้ได้อิงอาศัยอยู่กับอัลกุรอาน และแบบฉบับดั้งเดิมของบรรดามุสลิมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
การจัดงานเฉลิมฉลองลักษณะเช่นนี้เพียงเพื่อแสดงความเคารพ และยกย่องเกียรติคุณของบ่าวผู้มีความบริสุทธิ์ของอัลลอฮฺ (ซบ.) และด้วยความเชื่อที่ว่าพวกเขาก็ต้องแสดงความเคารพภักดีและพึ่งพิงพระองค์ด้วยเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ การกระทำที่กล่าวมาถือว่าเข้ากันกับรากของความเป็นเอกภาพแห่งพระผู้เป็นเจ้า และทำให้รู้ว่าคำกล่าวอ้างของบางคนที่ว่า การจัดพิธีเฉลิมฉลองรื่นเริงเนื่องในวันประสูติของท่านศาสดา (ซล) เป็นชิริกและบิดอะฮ์นั้น ไม่ถูกต้องและไม่มีรากฐานที่มาของคำพูดเว้นเสียแต่ว่ามีอคติที่ฝังแน่นอยู่ภายในจิตใจ

เหตุไฉนการจัดงานเฉลิมฉลองวันชาติซาอุฯจึงเป็นที่อนุญาตแต่การจัดงานเมาลิดเป็นบิดอะห์ ?????
คณะกรรมาธิการมุฟตีถาวรซาอุฯ ได้กล่าวในประเด็นการจัดงานเฉลิมฉลองวันชาติว่า หากการจัดงานเฉลิมฉลองเพื่อผลประโยชน์ของชาติ และเพื่อเป็นเกียรติในกิจกรรมภายในประเทศ เช่น สัปดาห์วันตำรวจ วันแรงงานแห่งชาติ วันเปิดภาคเรียนใหม่ของการศึกษา และงานอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน หากไม่มีเจตนาเพื่อแสวงหาความใกล้ชิดและอิบาดะฮแล้ว อนุญาตให้จัดงานเฉลิมฉลองในวันเหล่านั้นได้ แต่ไม่ครอบคลุมไปถึงการสั่งห้ามการจัดงานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันถือกำเนิดและวันไว้อาลัยในการกลับคืนสู่พระเมตตาแห่งอัลลอฮฺ (ซ.บ.) ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซล ) และวงศ์วานแต่อย่างใด
ทัศนะความคิดดังกล่าว ชี้ให้เห็นถึง ความอคติ ความโง่เขลาเบาปัญญาของวะฮาบีขัดแย้งกับหลักการและเหตุผลข้อเท็จจริง ขัดกับหลักสัญชาตญาณ (ฟิฏรอฮฺ) ของมนุษย์ผู้ศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง ในความเป็นจริงแล้วไม่มีความแตกต่างอันใดในการจัดงานเฉลิมฉลองในรูปแบบดังกล่าว กับการจัดงานวันวิลาดัต (วันประสูติ) กับการจัดงานเฉลิมฉลองอื่นๆ เช่น งานเฉลิมฉลองของรัฐบาล เพราะบุคคลที่จัดงานวันเกิดให้กับบุตรหลานของตน ในมิติแห่งอิสลามนั้นคงไม่มีผู้ใดเจตนาจะจัดงานเฉลิมฉลองขึ้นเพื่อแสวงหาความใกล้ชิดและทำอิบาดะฮฺแด่พระองค์!!!!
ถาม มุฟตี วะฮาบี ว่า ท่านนบี(ซล) และบรรดาศอฮาบะฮ์ มีงานสัปดาห์วันตำรวจ วันแรงงานแห่งชาติ วันเปิดภาคเรียนใหม่ของการศึกษา หรือ ??? การจัดงานเช่นนี้ไม่เป็นบิดอะฮ์หรือ ??? แล้วท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) เคยจัดงานเช่นนี้ด้วยหรือ ????

อ่านต่อ ตอนที่ 2 ……..