การบิดเบือนของวาฮาบีต่อการจัดงานเมาลิดุนนบี(ตอน2)

4604

วิพากษ์ทัศนะที่คัดค้านและต่อต้านการจัดงานเมาลิดนบี

เมาลิด หรือเมาลิดุนบี เป็นวันคล้ายวันประสูติของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) ในวันที่ 12 เดือนรอบีอุลเอาวัล หรือ 17 รอบีอุลเอาวัล ตามทัศนะของพี่น้องชีอะห์ ซึ่งมวลมุสลิมและประเทศอิสลามต่างๆ จะร่วมกันจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ มีการประดับประดา ตกแต่งแสงสีตามท้องถนนต่างๆอย่างสวยงาม พร้อมกับการแจกจ่ายอาหารและประพฤติตน ด้วยการกระทำในสิ่งที่ดีงาม มีการจัดงาน จัดมัจญลิสในมัสยิด เพื่อทำการอธิบายถึงวิถีชีวิตและชีวประวัติของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล)พร้อมกับสรรเสริญสดุดีเกียรติคุณของท่านอย่างสมเกียรติ
จะมีก็แต่เพียงลัทธิวะฮาบีเท่านั้น ที่ถือว่าการจัดงานเมาลิดเป็นอุตริกรรม(บิดอะห์) และถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องห้าม คือไม่อนุญาตให้มีการจัดงานดังกล่าว ขณะที่พี่น้องอะห์ลิลซุนนะห์ ยังคงมีการจัดงานเมาลิดอย่างยิ่งใหญ่ ตลอดหน้าประวัติศาสตร์จนถึงวันนี้
อุลามาอ์อะห์ลิลซุนนะห์จำนวนหนึ่ง ได้มีการเขียนตำรับตำราในประเด็น การจัดงาน เมาลิดนบี เป็นการเฉพาะ เช่น อิบนุ ญัซรีย์ อิบนุเญาซีย ซะคอวีย์และอิบนุกาษิร แม้แต่ อุลามาอ์จำนวนหนึ่งเชื่อว่า การกำชับการถือศิลอดในวันจันทร์ที่เป็นมุสตะฮับ ก็เพราะความเป็นสิริมงคลจากการถือกำเนิดของท่านศาสดา มีเพียงประเทศเดียวที่ไม่ปิดราชการหรือกำหนดให้เป็นวันหยุดในวันเมาลิด คือซาอุดิอาระเบีย
ในสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่าน ภายใต้การชี้นำของท่านอิมามโคมัยนี (รฎ) ได้กำหนดให้ระหว่างวันที่ 12-17 รอบีอุลเอาวัลของทุกปี เป็นวันแห่งการเทิดเกียรติท่านศาสดา ร่วมกันระหว่างพี่น้องมุสลิม
ทว่าเป้าหมายหลักของการกำหนดวันดังกล่าวก็เพื่อเป็นปฐมบทและสื่อในการรำลึกถึงชื่ออันประเสริฐ อัคลาก จริยธรรม และการเสียสละต่างๆนานาของท่านศาสดาในการเผยแผ่ศาสนาของพระองค์
เมื่อไม่นานนี้ มุฟตีย์ วะฮาบีสลาฟีแอลจีเรีย عبدالمعز محمد علی الفرکوس ออกมากล่าวอ้างว่า การจัดงานเมาลิด เป็นอุตริกรรมและเป็นนวัตกรรมใหม่ของพี่น้องชีอะห์ และไม่มีหลักฐานใดๆจากตำราของพี่น้องอะห์ลิลซุนนะห์ โดยราชวงศ์ฟาตีมียะห์ เป็นรัฐบาลแรกที่มีการเทิดเกียรติและจัดงานเฉลิมฉลองวันประสูติของท่านศาสดา โดยเลียนแบบพี่น้องคริสต์และยะฮูดี ที่จัดงานเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสและวันขึ้นปีใหม่
เขายังกล่าวย้ำแด่พี่น้องมุสลิม ว่า ผู้ใดที่จัดงานเมาลิดและเฉลิมฉลองวันประสูติของท่านศาสดา เขากำลังเดินอยู่ในแนวทางของชีอะห์ ดังนั้นทุกท่านพึงระวังอย่าเข้าใกล้กับกิจกรรมเหล่านี้ เพื่อรักษาความศรัทธาของตน และห่างไกลจากการตั้งภาคี
شیخ محمد الشریف قاهر ได้โต้คำฟัตวาของมุฟตี วะฮาบีสลาฟีดังกล่าวว่า ทางดารุลอิฟตาอ์ อียิปต์ อนุญาตให้มีการจัดงานเฉลิมฉลองวันประสูติของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) ด้วยการอ่านอัลกุรอาน การเลี้ยงอาหาร การทำทานศอดะเกาะฮ์ การอ่านบทกวีที่ยกย่องสรรเสริญท่านศาสดามุฮัมมัด (ซล)
เขากล่าวย้ำว่า การจัดงานเฉลิมฉลองวันประสูติของบรมศาสดานั้น เป็นอิบาดะห์และเป็นอะมั้ลที่ดีที่สุด ในการแสวงหาความใกล้ชิดยังพระองค์ เพราะเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักที่มีแด่ท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) และการมอบความรักแด่ท่านนั้นก็เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของความศรัทธา
شیخ محمد الشریف قاهر ประธานดารุลอิฟตาอ์ อียิปต์ ออกมาโต้และกล่าวประณามคำฟัตวาดังกล่าวว่า การจัดงานวันประสูติของท่านศาสดาเป็นสัญลักษณ์ของความรักและเป็นการให้คำสัตยาบันอีกครั้งหนึ่งกับท่านศาสดา หากความรัก ความถวิลหาแด่ท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) ในลักษณะเช่นนี้ เป็นสัญลักษณ์ของชีอะห์แล้วไซร์ พึงรู้เถิดว่า “ เราก็คือชีอะห์เช่นกัน”

วิพากษ์ ทัศนะของอุลามาอ์ เกี่ยวกับการจัดงานเมาลิด
อุลามาอ์กลุ่มหนึ่ง(คือลัทธิวะฮาบี) ประกาศชัดว่า การจัดงานเมาลิดนบีทุกรูปแบบเป็นบิดอะห์ และอีกกลุ่มหนึ่งคืออุลามาอ์อะห์ลิลซุนนะห์ถือว่าเป็นสิ่งที่อนุญาต สามารถที่จะกระทำได้

ทัศนะของฝ่ายต่อต้านการจัดงานเมาลิด
ตามทัศนะของฝ่ายต่อต้านการจัดงานเมาลิดนบี ถือว่าการจัดงานดังกล่าวเป็นบิดอะห์ ดังนั้นการจัดงานเมาลิดทุกรูปแบบ ไม่ว่าในงานนั้นจะมีสิ่งดีงามสักเพียงใดก็ตาม ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม
เหตุผลที่สำคัญมีดังนี้

การจัดงานเมาลิดไม่มีปรากฏในยุคสมัยของท่านศาสดา ศอฮาบะห์ และบรรดาตาบีอีน และสิ่งที่ไม่มีปรากฏในยุคสมัยเหล่านี้ถือว่าเป็นบิดอะห์ เช่น อะบูบักร์ ญบิร อัลญาซาอีรีย์ เขียนในหนังสือ
الإنصاف فیما قیل فی المولد من الغلو والإجحاف
ความว่า สิ่งใดที่ไม่มีในยุคสมัยของท่านศาสดา(ซ.ล) และสมัยศอฮาบะห์ ไม่อาจนับว่าเป็นศาสนา และสำหรับในสมัยของบุคคลหลังจากนั้น ก็ไม่อาจที่จะนับว่าเป็นเรื่องของเป็นศาสนาได้เช่นเดียวกัน
การจัดงานเฉลิมฉลองวันเมาลิด ที่เป็นที่ปฏิบัติกันของพี่น้องมุสลิมในวันนี้ ไม่เคยมีปรากฏในยุคสมัยของท่านศาสดา ศอฮาบะห์ และประชาชาติผู้ประเสริฐในยุคต้นๆ เพิ่งมาเกิดในยุคต้นของศตวรรษที่ 7 เป็นศตวรรษที่เกิดฟิตนะห์อย่างมาก ดังนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะถือว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องศาสนา การจัดงานเมาลิดเป็นอุตริกรรมและหลงทาง

.ประเทศอิสลามบางประเทศ ในงานเมาลิดมีสิ่งที่ไม่ดีงามปะปน และมีการทำบาปอยู่ด้วย (มุนกะรอต) เช่น การปะปนระหว่างชายและหญิง การละเล่น การแสดง การใช้เครื่องดนตรีที่ต้องห้าม การฟุ่มเฟือย การดื่มมึนเมา และอื่นๆๆๆ ซึ่งการมีอยู่ของมุนกะรอตต่างๆเหล่านี้ในงานเมาลิดยิ่งทำให้เป็นสิ่งต้องห้ามมากยิ่งขึ้น

.ในการจัดงานงานเมาลิด จะมีการอ่านบัรซันญี ที่บางครั้งจะส่อไปในลักษณะการตั้งภาคี หรือเป็นการสรรเสริญท่านศาสดาแบบสุดโต่งเกินความเป็นจริง หรือไม่สอดคล้องกับหลักพื้นฐานของความศรัทธาและศาสนา
เช่นจะอ่านบทบัรซันญีว่า
یا أکْرَمَ الرُّسْلِ مالِی مَنْ أَلوذُ به سِواکَ عندَ حلولِ الحادِثِ العَمِمِ
ความว่า โอ้ท่านศาสดาผู้สูงทรงและมีเกียรติยิ่ง ฉันไม่มีผู้ใดอีกแล้วนอกจากท่านในการพึ่งพิงอาศัยช่วยเหลือในยามพบเจอกับอุปสรรค์ปัญหา
ซึ่งความหมายของบทสรรเสริญดังกล่าวมีความขัดแย้งอย่างชัดแจ้งกับหลักศรัทธาในเรื่องเตาฮีด

๔. การจัดงานเมาลิดจะทำให้พี่น้องมุสลิมหลงลืม อีดที่สำคัญกว่าที่ถูกบัญญัติในหลักศาสนา คือ อีดฟิฏร์และอีดอัฏฮา
มีอุลามาอ์ในอดีตจำนวนหนึ่งที่สนับสนุนทัศนะดังกล่าว เช่น
ตาญุดดีน อุมัร บิน อาลีบิน อัลฟากะฮานีย์ (ฮ.ศ 654 -734 ) ในยุคปัจจุบัน เช่น เชค อับดุลรอฮ์มาน บิน ฮะซัน อาลีเชค เชค อับดุลซิส บิน บาส เชค ฮะมูด บิน อับดุลลอฮ์ อัลตุวัยญารีย์ เชค มุฮัมมัด ศอและห์ อัลอุศัยมีน เชคอับดุลลอฮ์ บิน ญับรัยน์ และเชค ศอและห์ บิน เฟาซาน อัลเฟาซาน จากอุลาอ์ของซาอุดิอาระเบีย

ข้อสังเกต สิ่งที่เป็นหลักฐานสำหรับกลุ่มผู้ต่อต้านการจัดงานเมาลิด ว่าเป็นบิดอะห์ เช่น ฟากิฮานี เขียนในหนังสือ المورد فی الکلام على عمل المولد ในศตวรรษที่7 ,8 ว่า
เพราะมุนกะรอตและมาอาศีย(สิ่งไม่ดีงาม)จำนวนมากได้ปะปนกับการจัดงานเมาลิด ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้ จึงต้องปฏิเสธ และห้ามจัดงานเมาลิด

 

Masjid Nabawi Madina (4)

 

 

ทัศนะของผู้สนับสนุนการจัดงานเมาลิด
เหตุผลของกลุ่มผู้สนับสนุนจัดงานเมาลิด
บรรดานักการศาสนาอุลามาอ์ส่วนใหญ่ มีความเชื่อว่า
ประการแรก คือ ในหลักศาสนบัญญัติอิสลาม ทุกสิ่งวางอยู่บนพื้นฐานของหลัก อิบาฮะฮ์ นั้นหมายความว่า ทุกสิ่งเป็นที่อนุญาต มุบาห์ เว้นแต่มีบทบัญญัติสั่งห้ามเป็นการเฉพาะ ดังนั้นผู้ที่มีความเชื่อมั่นว่าเป็นสิ่งที่ฮะลาล ไม่จำเป็นต้องหาหลักฐานมาประกอบ แต่สำหรับผู้ที่มีความเชื่อว่าสิ่งๆหนึ่งเป็นสิ่งที่ฮะรามสำหรับเขา จำต้องหาหลักฐานที่ก่อให้เกิดความเชื่อมันและความมั่นใจ
ดังนั้นการจัดงานเมาลิด จึงอาศัยหรือยึดหลักของกฎดังกล่าวเป็นที่ตั้ง ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการพิสูจน์ใดๆอีกต่อไป

๒.ไม่ใช่ว่าทุกการปฏิบัติที่ไม่มีในยุคสมัยของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) จะถูกตราว่าบิดอะห์หมดทุกเรื่อง เพราะบิดอะห์ แบ่งออกเป็นสอง ซึ่งหากไม่แยกแยะความหมายของสองประเภทนี้ให้ดีเสียก่อน จะทำให้เกิดความเสียหายและความสับสนอย่างร้ายแรง คือบิดอะห์ในเชิงรากศัพท์ และเชิงวิชาการ อิศติละฮ์
ความแตกต่างระหว่างบิดอะห์ในอิบาดะห์ กับบิดอะห์ในประเพณีปฏิบัติ
บิดอะห์ในอิบาดะห์ มีหลักพื้นฐานตรงที่ว่า “คำสั่งปฏิบัติ และคำสั่งห้าม” และบิดอะห์ในประเพณีปฏิบัติ คือ “มีหลักพื้นฐานที่วางอยู่บนหลักอนุญาต(มุบาห์)”
๒.๑.ผู้สนับสนุนการจัดงานเมาลิด จะยกเหตุผลว่า ถึงแม้นว่า ขอบเขตระหว่างอิบาดะห์กับประเพณีจะมีความละเอียดอ่อนที่ไม่สามารถแยกอธิบายได้อย่างง่ายดาย แต่ก็ไม่สามารถกล่าวได้ยังชัดเจนว่าการจัดงานเมาลิดเป็นส่วนหนึ่งของอิบาดะห์ เมื่อปฏิบัติไปแล้วเป็นการนำเอาสิ่งใหม่และกำหนดเข้าสู่ศาสนาอิสลาม ทว่าเป็นเพียงประเพณีที่ยึดปฏิบัติกันมา ที่พี่น้องประชาชนได้ทำขึ้นมา และตามหลักชัรอีรก็เป็นที่อนุมัติ โดยที่ในงานจะต้องไม่มีการกระทำในสิ่งที่ไม่ดีงาม เป็นฮะราม และประชาชนต้องไม่ศรัทธาว่าเป็นส่วนหนึ่งของซุนนะห์ มิฉะนั้นแล้วถือว่าไม่อนุญาต
๒.๒ การจัดงานเมาลิด ไม่ใช่ว่าไม่มีหลักฐานที่มาที่ไปแต่อย่างใด (ซึ่งจะนำเสนอในช่วงท้ายของบทความ เช่นทัศนะของ อิบนุ ฮาญัรอัสกาลานี (ฮ.ศ. 773 – ฮ.ศ. 852)
แน่นอนว่า บรรดาศอฮาบะห์ ไม่มีการจัดงานเฉลิมฉลองวันเมาลิดท่านศาสดา วันฮิจเราะห์ หรือวันที่มีชัยชนะในสงคราม แต่ความแตกต่างระหว่างเรากับพวกเขาคือ พวกเขาเหล่านั้นเห็นเหตุการณ์ หรืออยู่ในเหตุการณ์ และเข้าร่วมในเหตุการณ์นั้นด้วย โดยที่หัวใจของพวกเขายังคงรำลึกท่านศาสดาอยู่เสมอ
สะอัด บิน อะบี วากอศ เล่าว่า เราจะมีการเล่าเรื่องศึกสงครามต่างๆของท่านศาสดาให้กับลูกหลานของเรา พร้อมกับสอนโองการที่ประทานลงมา แต่เมื่อถึงยุคสมัยหนึ่งพวกเขาเหล่านั้นก็ลืมเลือนสิ่งต่างๆเหล่านี้ และพี่น้องประชาชนต่างตระหนักว่าจำต้องมีการฟื้นฟูสิ่งเหล่านี้เสียใหม่ ดังนั้นจึงมีการจัดงานเฉลิมฉลองดังกล่าวขึ้นมา
แม้นว่าการจัดงานเมาลิด จะมีสิ่งไม่ดีงาม มุนกะรอต ปะปนอยู่ก็ตาม แต่ไม่ใช่ว่า จะต้องมีการปฏิเสธหรือคัดค้านการจัดงานเมาลิดทั้งหมด ซึ่งจำต้องมีการยกระดับงานให้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ ในอีดฟิฎร์และอีดกุรอาน พี่น้องจำนวนมากก็มีการกระทำที่ปะปนสิ่งไม่ดีงามต่างๆอย่างมากมาย
ผู้สนับสนุนทัศนะดังกล่าว กล่าวเสริมว่า มันจะเป็นสิ่งผิดหรือ ที่เราควรจะใช้ประโยชน์ของเดือนนี้ เพื่อการบรรยายธรรม อ่านบทกวี บทกลอน สรรเสริญสดุดี ท่านศาสดา และอ่านชีวประวัติของท่าน อีกทั้งเพื่อให้เป็นเดือนแห่งการเรียกร้องให้มุสลิมรำลึกและแสดงความรักแด่ท่านศาสดาให้มากขึ้น ถามว่า การปฏิบัติเช่นนี้มันผิดและค้านกับหลักชะรีอัตประการใดหรือ???
อย่างเช่น การจัดงานวันที่ 17 เดือนรอมฎอน วันที่ท่านศาสดามีชัยในสงครามบะดัร ด้วยการนำเสนอเรื่องราวแห่งสงครามและแสดงความยินดีในชัยชนะ ถามว่าสิ่งนี้มันผิดหลักชัรอีย์ด้วยหรือ???
๓.ถึงแม้ว่าอุลามาอ์ผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมากในอดีต จะกล่าวกันว่า การจัดงานเมาลิด ไม่มีอยู่ในสมัยท่านศาสดา ศอฮาบะห์ และตาบีอีน และบรรดาผู้ต่อต้านงานเมาลิด เช่น เชคอะบู บักร์ อัลญาซาอีรีย์ ได้นำเอาทัศนะดังกล่าวเป็นบรรทัดฐานของตนในการคัดค้านการจัดงานเมาลิด แต่ถ้าเราพิจารณาอย่างละเอียดในทัศนะของอุลามาอ์ดังกล่าว จะพบว่า พวกเขาไม่ได้คัดค้านกับหลักการแห่งการจัดงานเมาลิด แต่การคัดค้านของพวกเขานั้นเป็นการคัดค้านกับการเฉลิมฉลองที่ปะปนกับสิ่งที่เป็นมุนกะรอตต่างหาก

ทัศนะของอุลามาอ์ ที่มีจุดยืนที่ชัดเจนต่อประเด็นเมาลิด

๑.ท่านอิหม่ามอัสสุยูฏีย์ได้ถ่ายทอดคำฟัตวาของท่านชัยคุลอิสลาม อัลหาฟิซฺ อิบนุ หะญัร อัลอัสเกาะลานีย์ ความว่า “ท่านชัยคุลอิสลาม ปราชญ์หะดีษแห่งยุคสมัย อะบุลฟัฎล์ อะห์มัด บิน หะญัร ได้ถูกถามเกี่ยวกับเรื่องการทำเมาลิด
ท่านชัยคุลอิสลามตอบว่า รากฐานเดิมของการทำเมาลิดเป็นสิ่งริเริ่มทำขึ้นมาใหม่ ที่มิได้ถูกถ่ายทอดจากสะละฟุศศอลิห์คนใดจากยุคสามร้อยปี และเมาลิดนั้นแม้ไม่มีการถ่ายทอดจากสะลัฟก็ตาม แต่ก็ผนวกไว้ซึ่งบรรดาความดีงามและสิ่งที่ตรงกันข้าม (ความไม่ดี) ดังนั้นผู้ใดที่แสวงหาการทำเมาลิดโดยมีส่วนที่ประกอบไปด้วยความดีงามและห่างไกลจากสิ่งที่ตรงกันข้ามนั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ดี ที่เริ่มทำขึ้นมา(2) และหากมิเป็นเช่นนั้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีในการริเริ่มทำขึ้นมา
แท้จริงได้ปรากฏแก่ข้าพเจ้า โดยการสังเคราะห์วินิจฉัยหลักการออกมาจากหลักฐานที่ถูกต้อง คือหลักฐานที่ยืนยันไว้ในหะดีษอัลบุคอรีย์และมุสลิมว่า
قَدِمَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَیْهِ وَسَلَّمَ الْمَدِینَهَ، فَوَجَدَ الْیَهُودَ یَصُومُونَ یَوْمَ عَاشُورَاءَ، فَسُئِلُوا عَنْ ذَلِکَ؟ فَقَالُوا: هَذَا الْیَوْمُ الَّذِی أَظْهَرَ اللَّهُ فِیهِ مُوسَى وَبَنِی إِسْرَائِیلَ عَلَى فِرْعَوْنَ، فَنَحْنُ نَصُومُهُ تَعْظِیمًا لَهُ
“แท้จริงท่านนบีได้มาที่นครมะดีนะฮ์ แล้วท่านพบว่าพวกยิวกำลังถือศีลอดในวันอาชูรออฺ ท่านนะบีย์จึงถามพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงกล่าวว่า วันอาชูรออฺเป็นวันที่อัลเลาะฮ์ทรงทำให้ฟิรเอาน์จมน้ำและทำให้ นบีมูซา (อ) รอดพ้นจากภยันตราย ฉะนั้นพวกเราจึงทำการถือศีลอดเพื่อขอบคุณอัลเลาะฮ์ ” ดังนั้นสิ่งที่ได้รับจากหะดีษคือ มีการขอบคุณ (ชุโกร) ต่ออัลเลาะฮ์เนื่องจากความโปรดปรานที่พระองค์ทรงประทานให้ในวันที่เฉพาะไม่ว่าความโปรดปรานนั้นจะเป็นการประทานนิอฺมัตหรือให้พ้นภัยบะลาอฺ และสิ่งดังกล่าวนั้น(6) ได้หวนกลับมากระทำเฉกเช่นวันดังกล่าวในทุกปี
และการขอบคุณต่ออัลเลาะฮ์นั้น เกิดขึ้นได้ด้วยการกระทำอิบาดะฮ์ประเภท เช่น การซุญูด การถือศีลอด การบริจาคทาน การอ่านอัลกุรอาน และไม่มีนิอฺมัตใดที่จะยิ่งใหญ่มากไปกว่านิอฺมัตแห่งการกำเนิดของท่านนบีในวันดังกล่าว ผู้เป็นนบีแห่งความเมตตา
เมื่อเรายอมรับหลักการดังกล่าว ก็สมควรกำหนดวัน(8) เป็นการเฉพาะเพื่อให้สอดคล้องกับเรื่องราวของท่านนบีมูซาในวันอาชูรออฺ และผู้ที่ไม่มีมุมมองดังกล่าว เขาก็จะไม่ใส่ใจในการเจาะจงวันในเดือน (รอบิอุลเอาวัล) เพื่อการทำเมาลิด แต่มีบางกลุ่มได้เปิดกว้าง โดยพวกเขาได้กำหนดการทำเมาลิดให้อยู่ในวันใดวันหนึ่งภายในปีนั้น และในวันนั้นก็มีการกระทำ (ที่เหมือน กับการทำเมาลิด) ในวัน (ที่สิบสองเดือนรอบิอุลเอาวัล) ดังนั้น นี่ก็คือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับรากฐานของการทำเมาลิด
สำหรับสิ่งที่จะนำมาทำเมาลิดนั้น สมควรจำกัดบนการกระทำที่บ่งชี้ถึงการขอบคุณ (ชุโกร) ต่ออัลเลาะฮ์ตามนัยยะที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เช่น การอ่านอัลกุรอาน การเลี้ยงอาหาร การทำทานศอดะเกาะฮ์ การอ่านบทกวี ที่ยกย่องท่านนบี และบทกวีที่ทำให้จิตใจไม่หมกมุ่นดุนยา อีกทั้งยังเป็นการขัดเกลาจิตใจให้ไปสู่การกระทำความดีงามและปฏิบัติอิบาดะฮ์เพื่ออาคิเราะฮ์ สำหรับสิ่งที่เสริมตามมาจากสิ่งดังกล่าว เช่น การฟัง (ท่วงทำนองบทกวี) การละเล่น และอื่นๆ สมควรที่จะพูดว่าสิ่งดังกล่าวเป็นเรื่องมุบาห์ เนื่องจากทำให้มีความเบิกบานใจในวันดังกล่าว ก็ถือว่าไม่เป็นไรที่จะนำเข้ามาผนวกไว้ และสิ่งที่ฮะรอมหรือมักรุฮ์ นั้น ก็ต้องถูกห้ามปราม และสิ่งที่คิลาฟเอาลา ก็สมควรถูกห้ามปรามเฉกเช่นเดียวกัน
2 คำฟัตวาของท่านอัลหาฟิซฺ อิหม่าม อัสสุยูฏีย์ (ฮ.ศ. 849 – ฮ.ศ. 911)
ท่านอิมามอัสสะยูฏีย์ ได้กล่าวว่า
รากฐานเดิมของการทำเมาลิดนั้น หมายถึง การที่บรรดาผู้คนรวมตัวกัน และมีการอ่านอายะฮ์ที่ง่ายๆ จากอัลกุรอาน มีการเล่าหะดิษที่รายงานเกี่ยวกับการเริ่มภารกิจของท่านนบี และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการกำเนิดของท่านนบี จากบรรดาสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และมีการเลี้ยงอาหาร เพื่อพวกเขาจะได้รับประทานกัน แล้วพวกเขาก็แยกย้ายกันไปโดยไม่ได้เพิ่มมากไปกว่าสิ่งดังกล่าว ซึ่งมันเป็นการกระทำที่ดี ที่ถูกริเริ่มขึ้นมา ซึ่งผู้ที่กระทำจะได้รับผลบุญ เพราะมันเป็นการให้เกียตริท่านนบี และเป็นการแสดงออกซึ่งความปีติยินดีในการประสูติอันมีเกียรติของท่านนบี
3 ฟัตวาของท่านชัยคุลอิสลาม อิหม่าม อิบนุหะญัร อัลฮัยตะมีย์ (ฮ.ศ. 909 – ฮ.ศ. 974)
ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุ ฮะญัร อัลฮัยตะมีย์ ได้ถูกถามว่า: ฮุกุ่มเมาลิดและการซิกรุลลอฮ์ที่ผู้คนมากมายได้กระทำในสมัยนี้ เป็นซุนนะฮ์ เป็นคุณความดี หรือเป็นบิดอะฮ์?
ถ้าหาก ท่านกล่าวว่า มันเป็นคุณความดี แล้วมีคำกล่าวของสะลัฟหรือตัวบทจากฮะดีษหรือไม่? และการรวมตัวสำหรับสิ่งที่เป็นบิดอะฮ์มุบาห์( เป็นสิ่งที่อนุญาตหรือไม่?
ท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุ ฮะญัร อัลฮัยตะมีย์ ได้ตอบว่า
การทำเมาลิดและการซิกรุลลอฮ์ที่ได้กระทำขึ้นมาตามทัศนะของเรานั้น ส่วนมากได้ครอบคลุมถึงความดีงาม เช่น การศอดะเกาะฮ์ การซิกรุลลอฮ์ การกล่าวศอละวาตและสลาม และการสรรเสริญท่านรอซูลุลอฮ์
และการทำเมาลิดย่อมอยู่บนความชั่วได้เหมือนกัน ยิ่งกว่านั้น ยังรวมไว้ซึ่งสิ่งฮะรอมทั้งหลาย ทั้งนี้หากมีการมองกันระหว่างสตรีกับผู้ชายอื่น และบางเมาลิดก็ไม่มีการกระทำสิ่งฮะรอมเกิดขึ้น แต่หากมีก็เป็นไปได้น้อยมาก จึงไม่สงสัยเลยว่า เมาลิดประเภทแรกนั้น(16) เป็นสิ่งที่ต้องห้าม เพราะมีหลักนิติศาสตร์ได้ยืนยันว่า
أَنَّ دَرْءَ الْمَفَاسِدِ مُقَدَّمٌ عَلَى جَلْبِ الْمَصَالِحِ
“การป้องกันผลเสียที่จะเกิดขึ้น ย่อมอยู่ก่อนการได้มาซึ่งผลประโยชน์””
ดังนั้นผู้ใดที่ทราบว่ามีความชั่วเกิดขึ้นในสิ่งที่เขาได้กระทำ เขาย่อมเป็นผู้ฝ่าฝืนและกระทำบาป และสมมติว่าเขาได้กระทำความดีงามในเมาลิดดังกล่าว แต่บางครั้งความดีงามไม่สามารถเทียบเท่ากับความชั่วได้ ดังนั้นท่านไม่เห็นดอกหรือว่า ท่านรอซูลุลลอฮ์ ถือว่าเพียงพอสำหรับการทำความดีงามด้วยสิ่งที่สะดวกเท่าที่สามารถจะกระทำได้ แต่ท่านรอซูลุลลอฮ์ ได้ตัดไฟแต่ต้นลมจากสิ่งฮะรอมทั้งหมดทุกประเภท โดยท่านร่อซูลุลลอฮ์ ได้กล่าวว่า
إِذَا أَمَرْتُكُمْ بِأَمْرٍ فَأْتُوْا مِنْهُ مَا اسْتَطَعْتُمْ ، وَإِذَا نَهَيْتُكُمْ عَنْ شَيْءٍ فَاجْتَنِبُوْهُ

“เมื่อฉันได้ใช้พวกท่านด้วยคำสั่งหนึ่ง พวกท่านก็จงนำมันมาปฏิบัติเท่าที่มีความสามารถ และเมื่อฉันได้ห้ามพวกท่านจากสิ่งหนึ่ง พวกท่านก็จงห่างไกลมันเถิด”
ดังนั้นท่านจงใคร่ครวญ แล้วจะทราบว่า สิ่งฮะรอมนั้น หากแม้จะน้อยก็ตาม ก็จะไม่ได้รับการผ่อนปรนใดๆ เลย และความดีนั้นเพียงพอด้วยการกระทำสิ่งง่ายๆ และสะดวกเท่าที่สามารถ
สำหรับเมาลิด ประเภทที่สองนั้น(18) เป็นซุนนะฮ์ เพราะมีบรรดาฮะดีษที่ได้รายงานเกี่ยวกับการ ซิกรุลลอฮ์ตามนัยยะเฉพาะเจาะจง (มัคศูเศาะฮ์) และนัยยะโดยเปิดกว้าง (อามมะฮ์) เช่นคำกล่าวขอท่านรอซูลุลอฮ์ ที่ว่า
لاَ يَقْعُدُ قَوْمٌ يَذْكُرُوْنَ اللهَ عَزَّ وَجَلَّ إِلَّا حَفَّتْهُمُ المَلاَئِكَةُ، وَغَشِيَتْهُمُ الرَّحْمَةُ، وَنَزَلَتْ عَلَيْهِمُ السَّكِيْنَةُ، وَذَكَرَهُمُ اللهُ فِيْمَنْ عِنْدَهُ

“ไม่มีชนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด ทำการนั่งซิกรุลลอฮ์ อัซซะวะญัลลา นอกจากว่า บรรดามะลาอิกะฮ์จะห้อมล้อมพวกเขา ความเมตตาจะแผ่คลุมพวกเขา ความสงบสุขก็ได้ลงมาบนพวกเขา และอัลเลาะฮ์ก็ทรงเอ่ยถึงพวกเขาแก่ผู้ที่อยู่ ณ พระองค์”
ได้มีรายงานจากท่านรอซูลุลลอฮ์ ว่า ท่านได้เคยออกไปยัง ที่ชุมนุมของบรรดาศอฮาบะฮ์ แล้วท่านรอซูลุลเลาะฮ์กล่าวว่า อะไรที่ทำให้พวกท่านนั่งอยู่ชุมนุมกันอยู่ ?
บรรดาศอฮาบะฮ์กล่าวว่า เราได้นั่งเพื่อซิกรุลเลาะฮ์ และทำการสรรเสริญอัลเลาะฮ์ เนื่องจากพระองค์ทรงชี้นำให้เราเข้ารับอิสลามและทรงประทานความโปรดปรานแก่เรา ท่านรอซูลุลลอฮ์ ได้กล่าวแก่เหล่าศอฮาบะฮ์ว่า
أَتَانِي ‏جِبْرِيلُ ‏ ‏فَأَخْبَرَنِي أَنَّ اللَّهَ عَزَّ وَجَلَّ ‏يُبَاهِي بِكُمْ الْمَلَائِكَةَ

“ท่านญิบรีลได้มาหาฉัน แล้วบอกกับฉันว่า แท้จริงอัลเลาะฮ์ ทรงยกย่องพวกท่านต่อมะลาอิกะฮ์”
ในสองฮะดีษนี้ เป็นหลักฐานที่ ชี้ชัด ถึงความประเสริฐของการรวมตัวและนั่ง (ล้อมวง) กระทำความดีงาม และบรรดาผู้นั่งทั้งหลายก็อยู่บนความดีงามเช่นกัน และอัลเลาะฮ์ทรงยกย่องพวกเขาต่อบรรดามะลาอิกะฮ์ ความสงบสุขก็จะลงมาบนพวกเขา ความเมตตาของอัลเลาะฮ์ก็จะห้อมล้อมพวกเขาไว้ และอัลเลาะฮ์ ก็เอ่ยยกย่องพวกเขาต่อบรรดามะลาอิกะฮ์ ดังนั้นไม่มีความประเสริฐใดที่จะมีเกียรติยิ่งกว่านี้อีกแล้ว

สิ่งที่ได้รับจากคำฟัตวาของปราชญ์อะฮ์ลิสซุนนะฮ์ดังกล่าว คือ

1 . การทำเมาลิดเป็นรูปแบบที่ไม่มีในสมัยของท่านนบีและสะละฟุศศอลิห์ แต่เนื้องานของ เมาลิดมีหลักการจากซุนนะฮ์นบี
2 . การทำเมาลิดมีทั้งรูปแบบที่ดีและรูปแบบที่ไม่ดี รูปแบบที่ดีคือเมาลิดที่ประกอบไปด้วยความดีงามต่างๆ และไม่ขัดกับหลักศาสนา ส่วนเมาลิดรูปแบบที่ไม่ดี คือเมาลิดที่มีสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาปะปน
3 . เป้าหมายของการทำเมาลิด คือการแสดงความรู้สึกเบิกบานใจและขอบคุณต่ออัลเลาะฮ์เป็นพิเศษอันเนื่องจากพระองค์ทรงให้ท่านนบี ถือกำเนิดมา เพื่อเป็นความเมตตาแก่มวลมนุษย์ชาติ และได้ชี้นำพวกเราทั้งหลายให้อยู่ในทางนำของอัลเลาะฮ์ ความรู้สึกเช่นนี้สมควรมีแก่ผู้ที่ทำเมาลิดทุกคน
4 . การทำเมาลิดไม่จำเป็นต้องเจาะจงวันที่สิบสองเดือนร่อบีอุลเอาวัลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ให้กระทำได้ตลอดทั้งปี แต่การจัดในวันประสูติและเดือนรอบีอุลเอาวัลย่อมมีความประเสริฐกว่าวันและเดือนอื่นๆ

ถาม บรรดามุฟตีย์และอุลามาอ์วะฮาบี เหตุใดพิธีเต้นรำดาบในวันชาติซาอุเป็นที่อนุมัติ แต่การจัดงานเมาลิด เป็นสิ่งต้องห้าม
งานเฉลิมฉลองพิธีกรรม “ญาดารียะห์” ในซาอุฯ จะมีพิธีเต้นรำดาบและการแสดงละเล่น อันเป็นงานประจำปีของซาอุฯ แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลซาอุฯได้สั่งห้ามการจัดพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ เช่น จัดงานเมาลิด…. และยังถือว่าสิ่งนี้เป็นบิดอะห์ !!!
ตามรายงานข่าว ได้เผยแพร่ภาพ กรณีที่ มงกุฎราชกุมาร เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ แห่งอังกฤษ เข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองประเพณีวัฒนธรรม “ญาดารียะห์” ซึ่ง ได้สวมใส่ชุดอาหรับท้องถิ่น พร้อมกับถือดาบ ได้เต้นรำดาบ กับคณะราชวงค์ซาอุฯ วาลิด บิน ฏอลาล ผู้ว่าการกรุงริยาด
งานเฉลิมฉลองพิธีกรรม “ญาดารียะห์” ในซาอุฯ จะมีพิธีเต้นรำดาบและการแสดงละเล่น อันเป็นงานประจำปีของซาอุฯ แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลซาอุฯได้สั่งห้ามการจัดพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ เช่น จัดงานเมาลิด…. และยังถือว่าสิ่งนี้เป็นบิดอะห์ !!!
งานเฉลิมฉลองพิธีกรรม “ญาดารียะห์” แห่งชาติซาอุฯ จะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ระหว่างวันที่ 12- 28 กุมภาพันธ์ เป็นเวลา 17 วัน ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่ยาวที่สุดในโลก
สิ่งนี้ไม่ใช่บิดอะห์หรือ ????? สิ่งนี้ในยุคสมัยนนบีและศอฮาบะห์ เคยมีดอกหรือ???

อะไรคือเป้าหมายในการบิดเบือนการจัดงานเมาลิด
ท่านศาสดานบีมุฮัมมัด(ซล) มีความเมตตากรุณาเป็นที่ตั้ง หนึ่งในความเมตตานั้นคือความศรัทธา หากนำความเมตตานี้ไปสั่งสอนแก่มวลมนุษยชาติ ทุกคนก็จะรักท่านศาสดา แม้ว่าอาจจะไม่ได้นับถือศาสนาอิสลามก็ตาม
อิสลามสอนให้มนุษย์ต้องเป็นผู้เสียสละ ต้องให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ มองมนุษย์อย่างเป็นมนุษย์ ให้รู้จักการให้อภัยซึ่งกันและกัน ต้องไม่เห็นแก่ตัว ทั้งหมดนี้ต้องนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างแท้จริง ดังเช่นจริยวัตรของท่านที่ครองตนให้มนุษยชาติได้ยอมรับมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ หาใช่เพียงแต่เป็นวาทกรรมที่สวยหรูเท่านั้น!!!!
ปัจจุบันนี้เราได้รับข่าวสารจากโลกตะวันตกอยู่เป็นนิจว่า บุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น บรรดาดารานักแสดง ศิลปิน นักกีฬาส่วนหนึ่งต่างยอมรับในจริยวัตรของท่านศาสดา จนนำไปสู่การยอมรับศาสนาอิสลามในที่สุด ทั้งนี้จริยวัตร แห่งความเมตตานั้นป็นสื่อสัมพันธ์อันสูงสุด
แต่ปัญหาของมุสลิมในปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถนำความเมตตาของท่านศาสดาไปสู่เพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้ทั้งหมด เป็นเพราะการปฏิบัติตนของมุสลิมเองที่เป็นปัญหาอุปสรรคอยู่ด้วย เช่นการปรากฏตัวของกลุ่มชนหนึ่งที่บอกว่าตนนับถือศาสนาอิสลามได้ประพฤติตน สวนทางกับคำสอนในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานและจริยวัตรของท่านศาสดา นำเอาอิสลามไปใช้ในรูปแบบของความรุนแรง ความโหดเหี้ยมน่าสะพรึงกลัว เป็นที่จงเกลียดจงชังและขยะแขยงแก่วิญญูชน อันนำไปสู่ความเสียหายของผู้ที่นับถือศาสนาโดยรวม
ชาติที่เป็นศัตรูของศาสนาอิสลาม เกรงกลัวที่สุด ก็คือแบบฉบับการครองตนและจริยวัตรอันสูงส่งของท่านศาสดา จริยวัตรของท่านเป็นสิ่งที่ไม่สามารถปรุงแต่งขึ้นมาได้ และหากประวัติศาสตร์จะอุปโลกน์กันขึ้น ชีวประวัติคงไม่ยืนหยัดท้าทายความเป็นเพชรแท้แห่งศาสดามาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ พวกเขากลัวว่าหากจริยวัตรของท่านศาสดาเผยแพร่ไปมากเท่าใด คนก็จะยอมรับในอิสลามมากเท่านั้น
ศัตรูของศาสนาอิสลามทุกยุคทุกสมัยจึงต้องการทำลายล้างความเกรียงไกรแห่งจริยวัตรของท่านศาสดานี้มาโดยตลอด เช่น อังกฤษสนับสนุนลัทธิวะฮาบี แล้วให้สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ชุบเลี้ยงดูแลมาตลอด จุดประสงค์หลักของลัทธินี้คือการทำลายจริยวัตรอันสูงส่งของท่านศาสดาให้ได้ เพราะนี้คือจุดแข็งที่ศัตรูเกรงกลัวที่สุด
กรณีของการรื้อสุสาน คงมิกล้าไปรื้อสุสานของท่านศาสดาก่อน แต่เริ่มกระทำอุตริกรรมด้วยการวินิจฉัยว่าการเยี่ยมเยียนสุสานเป็นสิ่งต้องห้าม จึงเริ่มรื้อทำลายสุสานของบิดามารดาเสียก่อน แล้วค่อยพัฒนาไปสู่การรื้อทำลายสุสานของเอาลิยาอฺ อัมบิยาอฺ ของอัลลอฮฺ(ซบ) ที่จริงแล้วสุสานของบุคคลที่มีความประเสริฐ มีเกียรติยศ มีอยู่เป็นจำนวนมาก นั่นคือการปูทางเข้าไปสู่การทำลายสุสานของท่านศาสดาในที่สุด
วิธีการอันแยบยลของลัทธิวะฮาบีคือคำสอนที่เริ่มต้นจากการห้ามทำบุญกับผู้เสียชีวิต สอนให้ปฏิเสธการทำบุญให้กับบิดามารดา กับบุคคลธรรมดาไปก่อนแล้วค่อยพัฒนาไปสู่การห้ามรำลึกถึงการสดุดีเพื่อแสดงมุทิตาจิตกับผู้มีพระคุณ แน่นอนที่สุดว่าเมื่อสอนให้คนไม่รู้จักบุญคุณคน ไม่มีสัมมาคาราวะ และไม่ตะวัซซุลกับท่านศาสดานั่นก็คือการทำลายรากฐานอิสลามอันบริสุทธิ์นั่นเอง
การปฏิเสธที่จะจัดงานเมาลิดเพื่อน้อมรำลึกถึงจริยวัตรอันประเสริฐของท่านศาสดา ปฏิเสธการศอลาวาต จึงเป็นการสนับสนุนแนวความคิดที่จะทำลายศาสนาอิสลามของโลกตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เพราะเมื่อสอนให้มุสลิมเข้าใจว่าการน้อมรำลึกถึงท่านศาสดาเป็นอุตริกรรมแล้ว ก็เท่ากับว่าเป็นการปฏิบัติตนไปสู่การตกนรกนั่นเอง
ลัทธิวะฮาบีไม่ได้นำเสนอศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์ที่มีท่านนบีมุฮัมมัด(ซล) เป็นศาสดา แต่นำเสนออิสลามที่ได้รับการปรุงแต่งบิดเบือนโดยบนีอุมัยยะฮฺ โดยลูกหลานของอะบูซุฟยาน
มุสลิมกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ระหว่างสองอิสลามคืออิสลามอันบริสุทธิ์แห่งมุฮัมมะดีและอิสลามแห่งซุฟยานีหรืออิสลามอเมริกานั่นเอง แนวความคิดอิสลามแห่งซุฟยานีคืออิสลามที่ถูกปรุงแต่งโดยลูกหลานของอะบูซุฟยาน แน่นอนว่าต้องแตกต่างจากอิสลามแห่งมุฮัมมะดีที่มีคำสอนสืบทอดโดยอะฮฺลุลบัยตฺ(อ) จริยวัตรของท่านศาสดาถูกบนีอุมัยยะฮฺและผู้สืบทอดอำนาจได้บิดเบือนข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์มากมาย
มุมมองของลัทธิวะฮาบีมองว่า ท่านศาสดาก็เหมือนกับบุรุษไปรษณีย์ที่นำส่งสาส์นจากอัลลอฮฺ(ซบ) เสร็จแล้วก็เป็นอันหมดหน้าที่กันไป ต่างจากมุมมองของมุสลิมผู้ศรัทธาที่ให้ความสำคัญยิ่งต่อจริยวัตรอันประเสริฐของท่านศาสดา โดยเฉพาะพี่น้องซุนนีเมื่อถึงตอนกล่าว ศอลาวาต ก็พร้อมกันยืนขึ้นแสดงความกตัญญูกตเวทิตาคุณ พร้อมกับประพรมแป้งหอมและเครื่องหอมอื่นๆ เพื่อความสุนทรียภาพประโลมจิตใจให้ชุ่มฉ่ำอิ่มเอิบกับจริยวัตรอันประเสริฐนั้น
มีฮะดิษและริวายะฮฺที่พวกเราเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า แม้ท่านศาสดากลับคืนสู่พระเมตตาแห่งอัลลอฮฺ(ซบ) ไปแล้ว แต่ท่านยังดำรงชีวิตอยู่นิรันดร์ ดังนั้นความรักความเทิดทูนการสดุดี การแสดงความกตัญญูกตเวทิตาคุณ และการแสดงมุทิตาจิต ท่านศาสดาได้รับรู้ถึงสิ่งที่มุสลิมได้แสดงออกเป็นอย่างดี
หากมุสลิมหลงประเด็นไปตามมุมมองของลัทธิวะฮาบี หากท่านศาสดาเป็นแค่บุรุษไปรษณีย์ ก็ย่อมมีบุรุษไปรษณีย์ท่านอื่นนำสาส์นจากพระองค์อัลลอฮฺ(ซบ) มาเผยแพร่ต่อไป ถ้าคอลีฟะฮฺในยุคต้นๆ ที่เป็นคอลีฟะฮรอชิดีนก็พอทำเนา แต่ถ้าเกิดเป็นคอลิฟะฮฺตั้งแต่ยุคอาลิซาอูดที่ปกครองแผ่นดินฮิญาซของท่านนบีแล้วเปลี่ยนชื่อไปตามตระกูลของตนว่าซาอุดิอาระเบีย ถ้าบรรดาฏอฆูตต่างๆเหล่านี้อ้างตนว่าเป็นคอลีฟะฮฺ ดังเช่นคอลิฟะฮฺอีกหลายประเทศในบริเวณอ่าวอาหรับ อะไรจะเกิดขึ้นกับพี่น้องมุสลิม!!! โชคดีที่พี่น้องซุนนีกับพี่น้องชีอะห์ ยังมีความผูกพันกับจริยวัตรของท่านศาสดาอย่างลึกซึ้ง จึงได้ร่วมกันจัดงานสดุดีโดยพร้อมเพรียงกันในเดือนรอบีอุลเอาวัลมาโดยตลอด จนถูกลัทธิวะฮาบีใส่ร้ายต่างๆ นานา บ้างก็ประกาศว่าเป็นเมาลิดของชีอะฮฺ อัลฮัมดุลิลลาฮฺด้วยการใส่ร้ายนี้อาจนำไปสู่ความผูกพันระหว่างพี่น้องชีอะฮฺกับพี่น้องซุนนีมากขึ้น เพราะทั้งสองนิกายมีความผูกพันต่อกันได้นั้นก็โดยสายใยแห่งความผูกพันต่อท่านศาสดาเป็นปฐมบท
มุมมองที่เห็นว่าท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล) เป็นเพียงบุรุษไปรษณีย์ เพื่อชี้ว่าจะมีผู้ส่งสาส์น คนต่อๆ ไปไม่สิ้นสุด การปลูกฝังแนวความคิดนี้เพื่อที่จะให้ลูกหลานของตนได้สืบทอดอำนาจ แล้วนำไปสู่การบิดเบือนอิสลามอันบริสุทธิ์จากท่านศาสดาเป็นผู้นำมาสั่งสอนตามโองการของพระองค์อัลลอฮฺ(ซบ)
การปิดล้อมสุสานท่านศาสดาไม่อนุญาตให้พี่น้องมุสลิมเข้าคาราวะเยี่ยมเยียนสุสานเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของพวกเขาเป็นอย่างดี
สรุปแล้ว การจัดงานเมาลิดสามารถที่จะทำได้และได้รับผลบุญอย่างแน่นอน อันเป็นการเทิดทูน เทิดเกียรติท่านศาสดา(ซล) เพื่อแสดงความรักความเทิดทูนการสดุดี การแสดงความกตัญญูกตเวทิตาคุณ และการแสดงมุทิตาจิตท่านศาสดา(ซล) และในปีนี้พี่น้องมุสลิมทั่วทั้งโลกต่างร่วมกันจัดงานอย่างยิ่งใหญ่เพื่อประกาศให้ชาวโลกรับรู้ว่า เรารักนบี………..