หลายสัปดาห์มาแล้วที่ท่าทีต่อต้านรัสเซียของสื่อสหรัฐฯ เงียบลงไป อาจเป็นเพราะหัวหน้าฝ่ายการเมืองหันความสนใจไปหาสิ่งอื่นแทน บรรดาสื่อก็เลยตามกันไป
ช่วงนี้คุณได้อ่านอะไรเกี่ยวกับยูเครนและรัสเซียบ้างไหม?
ผมคิดว่าไม่ ทั้งๆ ที่มีเรื่องเครียดๆ อยู่มากที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งควรค่าแก่การให้ความสนใจอย่างยิ่ง ทั้งในสองประเทศนั้น และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับมันในสหรัฐฯ
ราคาน้ำมันที่ดิ่งลงเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นยุ่งเหยิงและเกิดความไร้เสถียรภาพของอธิปไตย เวเนซูเอล่าใกล้จะหมดแล้ว และผู้ส่งออกน้ำมันรายอื่นอีกมากมายก็กำลังมีปัญหาหนักเพราะพวกเขาขยายงบประมาณแห่งชาติและโครงการทางสังคมไปอย่างโง่เขลาเพื่อให้เข้ากับราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นอะไรที่ทำง่ายตอนขาขึ้นแต่ต้องใช้เล่ห์กลอย่างร้ายกาจตอนขาลง
แต่เมื่อพิจารณาถึงผลกระทบที่มีต่อรัสเซีย จากมุมมองของรัสเซีย ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่ค่าเงินรูเบิลดิ่งลงกับมาตรการที่ขมขื่นไปจนถึงราคาน้ำมันที่ร่วงลงล้วนเป็นความผิดของสหรัฐฯ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ไม่ว่ามันจะถูกต้องหรือไม่เกี่ยวกันเลยก็ตาม นั่นคือมุมมองของชาวรัสเซียในขณะนี้ ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจเลย มันจึงไม่ทำให้พวกเขามีความรู้สึกที่ดีเท่าไหร่กับตะวันตกโดยทั่วไป และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ
ราคาน้ำมันที่ตกต่ำสร้างความยุ่งยากทางเศรษฐกิจและการเงินอย่างแท้จริงให้แก่รัสเซีย เราจะพูดถึงเรื่องนั้นกัน แต่ตอนนี้ผมอยากจะมุ่งเน้นไปที่ความเป็นปรปักษ์อย่างต่อเนื่องของสหรัฐฯ ที่มีต่อรัสเซีย ซึ่งบางเรื่องเป็นที่เปิดเผย และบางเรื่องปิดซ่อนอยู่ ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองที่รุนแรงและอันตรายมากกว่าที่ตะวันตกเตรียมพร้อมอยู่
รัสเซียถูกบีบให้เคลื่อนไหว
ก่อนที่ใครจะพูดว่า “ทำไมคุณจึงปกป้องปูติน? เขาเป็นคนไม่ดีนะ” ผมขอบอกว่าผมได้วิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของรัสเซียและตะวันตกอย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่ประธานาธิบดียานูโควิช ของยูเครนไม่ยอมลงนามในข้อตกลงสมาคมยุโรปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2013
ด้วยน้ำหนักของหลักฐาน มันชัดเจนสำหรับผมที่ตะวันตก/สหรัฐฯ สมควรที่จะถูกตำหนิว่ามีส่วนอย่างมากสำหรับความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับยูเครนและระหว่างรัสเซียกับโลกตะวันตก
ตะวันตกเองที่ให้การสนับสนุนการเลือกสรรอันธพาล นีโอนาซี และกลุ่มคลั่งชาติที่ยึดอำนาจทำรัฐประหารจากยานูโควิชที่ได้รับเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย เราสามารถโต้แย้งได้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่เขาเป็นเด็กดีหรือไม่ แต่นั่นไม่อยู่ในประเด็น และเป็นละครในมือของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งต้องการจะหันเหความสนใจออกไปจากเหตุการณ์ที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างยิ่งที่นำไปสู่การโค่นล้มเขา
สหรัฐฯ ทำอย่างเดียวกันกับที่ทำกับซัดดัม ถ้าคุณจำได้ มันเป็นการหันเหความสนใจจากการดำเนินการของสหรัฐฯ ไปยังลักษณะนิสัยของคนที่ยืนอยู่ในวิถีกระสุนของการดำเนินการนั้น
ในความเห็นของผม ถ้ายานูโควิชไม่ได้ถูกขับไล่ด้วยความรุนแรง ยูเครนตอนนี้คงจะสงบสุข รัสเซียไม่ต้องเข้าไปแทรกแซง และก็จะไม่มีสงครามกลางเมืองในยูเครน และความตึงเครียดระหว่างตะวันตกกับรัสเซียก็จะลดลงอย่างมาก
ในส่วนของกระทรวงต่างประเทศของรัฐบาลโอบาม่าใช้ความพยายามในการแทรกแซงยูเครนอย่างหนักมือเกินไป ซึ่งเป็นเรื่องน่ารังเกียจไม่น้อยไปกว่าที่เฮ็นรี่ คิสซิงเจอร์จะเรียกการกระทำของสหรัฐฯ ว่าเป็น “ความผิดพลาดร้ายแรง”
[quote_box_center]
คิสซิงเจอร์เตือน “ความผิดพลาดร้ายแรง” ของตะวันตกที่อาจนำไปสู่สงครามเย็นครั้งใหม่
10 พฤศจิกายน 2014
อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เฮ็นรี่ คิสซิงเจอร์ ประเมินสถานการณ์ทางภูมิศาสตร์การเมืองครั้งใหม่ที่กำลังก่อเป็นรูปร่างขึ้นท่ามกลางวิกฤติของยูเครน โดยเตือนถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามเย็นครั้งใหม่ และเรียกท่าทีของตะวันตกต่อวิกฤตครั้งนี้ว่าเป็น “ความผิดพลาดร้ายแรง”
นักการทูตวัย 91 ปี ได้อธิบายลักษณะถึงความสัมพันธ์อันตึงเครียดนี้ว่าเป็นการแสดงให้เห็นถึงอันตรายของ “สงครามเย็นอีกครั้งหนึ่ง”
“อันตรายนี้มีอยู่ และเราไม่สามารถเมินเฉยกับมันได้” คิสซิงเจอร์กล่าว เขาเตือนว่าการเมินเฉยต่ออันตรายนี้ต่อไปอีก อาจส่งผลให้เกิด “โศกนาฏกรรม” เขาบอกกับ Der Spiegel ของเยอรมนี
(แหล่งข่าว http://rt.com)
[/quote_box_center]
เมื่อแม้แต่เฮ็นรี่ คิสซิงเจอร์ยังคิดว่าคุณใช้อำนาจดิบอย่างบ้าระห่ำเกินไป คุณก็ทำมากเกินไปจริงๆ
เมื่อพิจารณาดูลำดับเหตุการณ์ที่นำไปสู่ความสัมพันธ์อันเย็นชาที่สุดของสหรัฐฯ – รัสเซีย นับตั้งแต่จมลึกอยู่ในสงครามเย็น ผมเห็นว่ารัสเซียมีความอดกลั้นอย่างยิ่งและไม่มีปฏิกิริยามากเกินไปกับการยั่วยุหลายต่อหลายครั้ง
ถึงแม้จะมีความนิ่งสงบในหน้าหนึ่งของรายงานข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ของรัสเซีย แต่ยังคงมีการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อต่อต้านรัสเซียดำเนินอยู่ในสื่อตะวันตก
เต้นแทงโก้ต้องใช้สองคน
[quote_box_center]
prop·a·gan·da
พรอพพะแกนดา
คำนาม – วิจารณ์ไปในทางที่ไม่ดี
[/quote_box_center]
ข้อมูล ที่มีอคติหรือทำให้เข้าใจผิด ใช้เพื่อส่งเสริมหรือเผยแพร่มูลเหตุทางการเมืองโดยเฉพาะหรือความคิดเห็น
การโฆษณาชวนเชื่อที่จะให้ได้ผลดี จะต้องมีความร่วมมือกันอย่างเหนียวแน่นระหว่างรัฐกับสื่อ บทบาทของสื่อคือการเผยแพร่การโฆษณาชวนเชื่อนั้นก่อนเป็นอันดับแรก และอันดับที่สองคือการละเลยที่จะมองลึกเข้าไปหรือรายงานสิ่งใดที่อาจจะทำให้เกิดคำถามขึ้นกับมัน จำเป็นต้องมีบาปทั้งในการละเว้นไม่กระทำและการลงมือกระทำ
ข่าวดีก็คืออินเทอร์เน็ตเป็นกำลังยิ่งใหญ่ที่เท่าเทียมกัน และเราสามารถค้นพบข้อเท็จจริงที่ไม่สะดวกง่ายดายขึ้นมาด้วยการขุดค้นเพียงเล็กน้อยที่ทำให้การโฆษณาชวนเชื่อนั้นทื่อไป แต่ข่าวร้ายคือคนจำนวนมากยังคงรับข่าวสารทั้งหมดจากแหล่งข่าวที่ได้ชื่อว่า “เป็นทางการ”
นี่คือการโฆษณาชวนเชื่อที่ไม่มีการเจือปนในความเอื้อเฟื้อของ Bloomberg หมายเหตุไว้ว่ามันพิมพ์เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ในช่วงวันเวลาที่ข่าวยังคงเงียบอยู่ ซึ่งไม่น่าจะเกิดการโต้แย้งขึ้น
[quote_box_center]
เจาะลึกการขยายไปยังรัสเซียอย่างลับๆ ของโอบาม่า
31 ธันวาคม 2014
รัฐบาลของประธานาธิบดีบารัก โอบาม่า กำลังทำงานหลังฉากมาเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในการทำงานใหม่กับรัสเซีย ถึงแม้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน จะแสดงความสนใจเพียงเล็กน้อยในการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับวอชิงตัน หรือหยุดการรุกรานยูเครนเพื่อนบ้าน
ในการพูดคุยกับลาฟรอฟ เคอร์รี่ได้ยื่นข้อเสนอแก่รัสเซียซึ่งจะเป็นการปูทางไปสู่การออกมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจที่หนักหน่วงที่สุดบางประการ เงื่อนไขของเคอร์รี่ประกอบด้วยการที่รัสเซียจะต้องยึดมั่นกับข้อตกลงมินสค์ในเดือนกันยายน (September’s Minsk agreement) และหยุดให้การสนับสนุนทางทหารโดยตรงแก่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนชาวยูเครน
(แหล่งข่าว www.bloombergview.com)
[/quote_box_center]
จังหวะของเรื่องนี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว สหรัฐฯ เองที่เป็นฝ่ายพยายามมีเหตุผล แต่รัสเซียแสดงความสนใจเพียงน้อยในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ นั่นคือสิ่งที่ผู้อ่านเข้าใจ
อีกอย่างหนึ่งคือ รัสเซียให้การสนับสนุนทางทหารโดยตรงแก่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนในยูเครน และยังมีอีกเรื่องหนึ่งคือ ปูตินเองแสดงความสนใจเพียงเล็กน้อยในการหยุดการรุกราน
นั่นคือเนื้อเรื่องหลัก สหรัฐฯ ต้องการที่จะยื่นมือออกไป ปูตินเป็นคนไม่ดี เหมือนซัดดัม… จำเขาได้ไหม? ตามรายงานชิ้นนี้ สหรัฐฯ เป็นฝ่ายที่มีเหตุมีผล และรัสเซียเองที่ก่อให้เกิดความยุ่งยาก
เรื่องของสหรัฐฯ ยังดำเนินต่อไป โดยอ้างซ้ำๆ ว่ารัสเซียให้การสนับสนุนอาวุธแก่ฝ่ายแบ่งแยกดินแดน ดังที่เราจะเห็นในที่นี่มาตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2014
[quote_box_center]
สหรัฐฯ กล่าว รัสเซียให้อาวุธกบฏยูเครน OSCE เฝ้าระวังการสงบศึก
2 ธันวาคม 2014
เยนส์ สโทนเทนเบิร์ก เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ กล่าวหารัสเซียว่าส่งรถถัง ระบบป้องกันทางอากาศชั้นสูง และอาวุธหนักอื่นๆ ข้ามชายแดนให้แก่กลุ่มกบฏยูเครน
รัสเซียปฏิเสธความเกี่ยวข้องในความขัดแย้ง
“นับตั้งแต่มีข้อตกลงหยุดยิงที่มินสค์ เมื่อ 5 กันยายน รัสเซียได้ส่งรถถังหลายร้อยคัน” รถลำเลียงพลหุ้มเกราะ และยานพาหนะอื่นๆ ที่ใช้ในกองทัพให้แก่ฝ่ายแบ่งแยกดินแดนสนับสนุนรัสเซียในยูเครนโดยตรง เคอร์รี่กล่าว
กองกำลังทหารัสเซียยังคงปฏิบัติการภายในยูเครนตะวันออก ที่ที่พวกเขาทำการ “ออกคำสั่งและควบคุม” กลุ่มแยกดินแดนที่พวกเขาหนุนหลังอยู่ เขากล่าวเสริม
(แหล่งข่าว http://www.globalresearch.ca)
[/quote_box_center]
คำกล่าวหาจากเลขาธิการนาโต้ และจากนายจอห์น เคอร์รี่ กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ก็คือว่า รัสเซียมีกองกำลังทหารอยู่ในยูเครน และพวกเขาได้ส่งรถถัง รถลำเลียงพลหุ้มเกราะ และยานพาหนะอื่นๆ ที่ใช้ในกองทัพให้เป็นจำนวนหลายร้อยคัน
พร้อมกับหายนะที่เกิดกับ MH-17 เราต้องเรียกเรื่องนี้ว่าเป็นกรณีสุนัขที่ไม่เห่าอีกกรณีหนึ่ง
ภาพเหล่านั้นอยู่ที่ไหน?
อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ถูกอ้างถึงในที่นี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะปิดบังจากทางอากาศ
การถ่ายรูปคุณภาพสูงของวัตถุเช่นนั้นเป็นเรื่องเด็กๆ สำหรับดาวเทียมของกองทัพในปัจจุบัน และแม้แต่สำหรับพลเรือนด้วย
การกล่าวหามหาอำนาจใหญ่ของโลกว่าดำเนินการไม่รอบคอบอย่างนี้ อย่างน้อยควรจะต้องมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการล้มไม่เป็นท่าในการเตือนเรื่องอาวุธมีอานุภาพทำลายล้างสูงที่นำมาเล่นที่สหประชาชาติจนนำไปสู่การรุกรานอิรักของรัฐบาลบุช 2 อย่างน้อยที่สุดที่คุณทำได้ก็คือนำภาพของยานพาหนะในกองทัพและอาวุธหนักดังกล่าวมาเปิดเผย
แต่ไม่มีเลย และเหตุผลที่ไม่มีภาพมาแสดงก็เพราะมันไม่มีอยู่เลย ถ้ามันมี คุณแน่ใจได้ 100% เลยว่า พวกเขาจะต้องนำมาเปิดเผยและเผยแพร่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทาง CNN จนทุกคนสามารถแยกลักษณะรถถัง T-72 จากรถลำเลียงพลหุ้มเกราะที่รัสเซียผลิตได้
เกี่ยวกับชาวรัสเซีย “ที่ไม่เต็มใจ”
เรามาดูเหตุผลว่าทำไมรัสเซียจึงไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะญาติดีกับสหรัฐฯ ในเวลานี้กันอย่างใกล้ชิดขึ้นอีกหน่อย
ด้วยความทรงระยะสั้นของเรา เราจำได้ว่าสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ได้ผ่านมติต่อต้านรัสเซียชิ้นสำคัญเมื่อเดือนที่แล้ว ที่สามารถถูกคนมีเหตุผลมองว่าเป็นการประกาศสงครามได้อย่างง่ายดาย
กฎหมายอัปมงคลฉบับนี้ผ่านสภาเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2014 และเรียกชื่อว่า “การประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำของสหพันธรัฐรัสเซีย ภายใต้การปกครองของประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ซึ่งได้ดำเนินนโยบายรุกรานประเทศเพื่อนบ้านโดยมีเป้าหมายเพื่อครอบงำทางการเมืองและเศรษฐกิจ”
รอน พอล ได้แสดงความคิดเห็นถึงปัญหาที่มากับมตินี้ไว้อย่างดีว่า
[quote_box_center]
สภาคองเกรสที่ขาดการไตร่ตรอง “ประกาศสงคราม” กับรัสเซีย
4 ธันวาคม 2014
เหล่านี้คือมติประเภทที่ผมได้จับตามองอย่างใกล้ชิดในสภาคองเกรส สิ่งที่ถูกร่างออกมาเสมือนเป็นแถลงการณ์ความคิดเห็น “ที่ไร้พิษภัย” มักจะนำไปสู่การคว่ำบาตรและสงคราม ผมจำได้ว่าในปี 1998 มีการถกเถียงกันอย่างหนักเกี่ยวกับพระราชบัญญัติปลดปล่อยอิรัก เหมือนที่ผมบอกตอนนั้น ผมรู้ว่ามันจะนำไปสู่สงคราม ผมไม่ได้คัดค้านพระราชบัญญัตินั้นเพราะผมชื่นชมซัดดัม ฮุสเซน เหมือนตอนนี้ที่ผมไม่ได้ชื่นชมปูตินหรือผู้นำการเมืองต่างชาติคนใด แต่เป็นเพราะตอนนั้นผมรู้ว่าการทำสงครามกับอิรักอีกจะไม่แก้ปัญหาอะไร และจะยิ่งทำให้เรื่องมันแย่เข้าไปอีก เราทุกคนรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น
นั่นจึงทำให้ผมยากที่จะเชื่อว่าพวกเขากำลังออกห่างจากมันอีกครั้ง และครั้งนี้มีความเสี่ยงสูงกว่า เป็นการกระตุ้นสงครามกับรัสเซียที่สามารถส่งผลในการทำลายล้างทั้งหมด
ถ้ามีใครคิดว่าผมพูดเกินไปเกี่ยวกับความเลวร้ายของมติฉบับนี้ ผมขอนำเสนอตัวอย่างบางส่วนจากกฎหมายนี้
มตินี้ (ย่อหน้าที่ 3) กล่าวหาว่ารัสเซียรุกรานยูเครน และประณามรัสเซียว่าละเมิดอธิปไตยของยูเครน ถ้อยคำนี้นำเสนอขึ้นมาโดยไม่มีหลักฐานใดๆ ของเรื่องนั้น แน่นอนว่าด้วยดาวเทียมสมัยใหม่ของเราที่สามารถอ่านแผ่นป้ายทะเบียนจากอวกาศได้ เราน่าจะมีวีดิโอหรือภาพการรุกรานของรัสเซียนี้ แต่ไม่มีการนำเสนอเลย
ส่วนเรื่องการละเมิดอธิปไตยของยูเครน ทำไมมันจึงไม่เป็นการละเมิดอธิปไตยของยูเครนสำหรับการที่สหรัฐฯ เข้าไปมีส่วนร่วมในการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประเทศนั้นอย่างที่มันทำในเดือนกุมภาพันธ์? เราทั้งหมดได้ยินเทปที่เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศวางแผนกับทูตสหรัฐฯ ในยูเครนเพื่อโค่นล้มรัฐบาล เราได้ยินผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ วิคตอเรีย นูแลนด์ คุยโวว่าสหรัฐฯ ได้ใช้เงินไป 5 พันล้านดอลล่าร์ ในการเปลี่ยนการปกครองในยูเครน ทำไมเรื่องนั้นจึงไม่เป็นไร?
มตินี้ (ย่อหน้าที่ 11) กล่าวหาประชาชนในยูเครนตะวันออกว่าจัด “การเลือกตั้งที่ฉ้อฉลและผิดกฎหมาย” ในเดือนพฤศจิกายน ทำไมทุกครั้งที่การเลือกตั้งไม่เป็นผลตามความต้องการของรัฐบาลสหรัฐฯ พวกเขาจะต้องบอกว่ามัน “ผิดกฎหมาย” และ “ฉ้อฉล”? ประชาชนในยูเครนตะวันออกไม่ได้รับอนุญาตให้ตัดสินใจด้วยตัวเองหรอกหรือ? นั่นไม่ใช่สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานหรอกหรือ?
มตินี้ (ย่อหน้าที่ 13) เรียกร้องให้ถอนกองกำลังรัสเซียออกไปจากยูเครน ถึงแม้รัฐบาลสหรัฐฯ จะไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่ากองทัพรัสเซียเคยอยู่ในยูเครน ย่อหน้านี้ยังเร่งเร้าให้รัฐบาลในกรุงเคียฟกลับไปใช้ปฏิบัติการทางทหารกับดินแดนในภาคตะวันออกที่กำลังเรียกร้องเอกราช
(แหล่งข่าว http://www.ronpaulinstitute.org)
[/quote_box_center]
ถ้ากลับกัน ให้บรรดาผู้ออกกฎหมายชาวรัสเซียเป็นฝ่ายผ่านมติที่ประณามสหรัฐฯ ว่ากระทำสิ่งผิดกฎหมายต่างๆ นานาโดยที่ไม่มีหลักฐานมานำเสนอเลย ผมคิดว่าเราทุกคนคงรู้ว่าผู้นำทางการเมืองของสหรัฐฯ จะเป็นฟืนเป็นไฟขนาดไหนที่ถูกหมิ่นประมาท
ลองคิดถึงเรื่องนี้จากมุมมองของรัสเซีย พวกเขารู้ดีอย่างยิ่งว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่รอน พอล ผู้มีเกียรติพูดถึงนั้นเป็นเรื่องจริง มีการรัฐประหารอย่างผิดกฎหมายภายหลังการเลือกตั้งตามกฎหมาย สหรัฐฯ รับรองว่าการรัฐประหารนั้นชอบด้วยกฎหมายแต่การเลือกตั้งผิดกฎหมาย แล้วยังมาพูดเสียงดังถึงความสำคัญของระบอบประชาธิปไตย
ที่เลวร้ายกว่านั้น สหรัฐฯ ยังออกคำสั่งว่า เงื่อนไขสำคัญในการที่มันจะยกเลิกการคว่ำบาตรรัสเซียก็คือ รัสเซียจะต้องถอนทหารออกจากยูเครน และหยุดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์มากมายไปที่นั่น แต่จนถึงวันนี้ มันยังไม่มีหลักฐานที่หนักแน่นสักชิ้นเดียวมาสนับสนุนข้อกล่าวหาเหล่านั้น
ส่วนสิ่งที่เลวร้ายพอๆ กับกฎหมายฉบับนั้นก็คือ วุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ยกระดับการทุ่มเทหลังจากนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น คือเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2014 ได้ออกพระราชบัญญัติ S.2828 สนับสนุนเสรีภาพของยูเครน ปี 2014
[quote_box_center]
นาโต้-สหรัฐฯ ส่งอาวุธให้ยูเครน แผนการก้าวรุกต่อรัสเซีย
15 ธันวาคม 2014
พระราชบัญญัติสนับสนุนเสรีภาพของยูเครน ปี 2014 อนุญาตให้ส่งความช่วยเหลือที่เป็นอาวุธและไม่ใช่อาวุธ นอกเหนือจากสิ่งที่ส่งไปให้แล้ว
รวมทั้งเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร เสื้อเกราะ กล้องตรวจการณ์เวลากลางคืน รถฮัมวี่ เรด้าร์ หน่วยตรวจจับสกัดลูกปืนครก กล้องส่องทางไกล เรือกเล็ก และเครื่องมือเครื่องใช้อื่นๆ อีกมากมาย
สไนเปอร์และปืนยาว เครื่องยิงระเบิดมือ ปืนครกและลูกกระสุน เครื่องยิงจรวด มิสไซล์ต่อต้านรถถัง
กฎหมาย UFSA “อนุญาตให้ (โอบาม่า) จัดเตรียมมาตราต่างๆ ในการต่อสู้คดี การบริการในการป้องกันตัว และการฝึกฝนรัฐบาลยูเครนเพื่อจุดประสงค์ในการต่อต้านอาวุธร้ายแรง และสร้างอธิปไตยและความมั่นคงในเขตแดนของยูเครนขึ้นมาใหม่…”
“รวมทั้งอาวุธต่อสู้รถถังและรถหุ้มเกราะ อาวุธและกระสุนของลูกเรือ เรดาร์ต่อต้านกองปืนใหญ่ เพื่อระบุและหาเป้าหมายกองปืนใหญ่ ควบคุมการยิง ค้นหาระยะ และอุปกรณ์ทางสายตา การนำทาง และการควบคุม เครื่องบินโดรน และข้อบังคับด้านความปลอดภัย และอุปกรณ์ในการสื่อสาร”
(แหล่งข่าว http://www.globalresearch.ca)
[/quote_box_center]
หลังจากว่ากล่าวรัสเซียที่ให้ความช่วยเหลือทางทหาร โดยที่สหรัฐฯ ไม่ได้ให้หลักฐานที่หนักแน่นเพื่อสนับสนุนข้อกล่าวหานั้นเลย สหรัฐฯ ได้ผ่านพระราชบัญญัติที่มีความมุ่งหมายที่จะสนับสนุนความช่วยเหลือทางทหารทุกรูปแบบแก่ผู้มีอำนาจฝ่ายปกครองในเคียฟ
กฎหมายฉบับนี้อาจจะเรียกชื่อง่ายๆ ว่าเป็น พระราชบัญญัติ “ทำตามที่เราพูด ไม่ใช่ตามที่เราทำ” ด้วยเหตุผลบางประการ ชาวรัสเซียไม่ค่อยประทับใจกับท่าทีนั้น
โฆษกกะทรวงต่างประเทศของรัสเซีย นายอเล็กซานเดอร์ ลูคาเชวิช กล่าวตอบโต้ว่า
“ทั้งสองสภาของสภาคองเกรสสหรัฐฯ ได้รับรองพระราชบัญญัติสนับสนุนเสรีภาพของยูเครน โดยข้ามการอภิปรายและลงมติตามระเบียบ ข้อความที่เป็นการเผชิญหน้าอย่างเปิดเผยของกฎหมายฉบับใหม่นี้ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากก่อให้เกิดความเสียใจอย่างสุดซึ้ง”
“อีกครั้งหนึ่งที่วอชิงตันกำลังปรับระดับการกล่าวหารัสเซียโดยไม่มีหลักฐานและข่มขู่ที่จะใช้มาตรการคว่ำบาตรมากขึ้น ในขณะเดียวกันมันกำลังทำเอาความขัดแย้งของยูเครนและซีเรียมาปนเข้าด้วยกัน ซึ่งสหรัฐฯ เป็นสื่อในการขยายตัว ถึงขนาดที่มันต้องอ้างอิงสนธิสัญญา INF ถึงแม้ว่ายังเป็นที่สงสัยว่าอเมริกาทำยึดมั่นกับมันหรือไม่ก็ตาม
ในขณะเดียวกัน มันได้ให้สัญญากับกรุงเคียฟว่าจะให้อาวุธในการปฏิบัติการทางทหารในดอนบาสส์ และยอมรับอย่างเปิดเผยว่ามันตั้งใจที่จะใช้องค์กรอิสระในการสร้างผลกระทบกับความเปลี่ยนแปลงภายในประเทศของรัสเซีย”
“ถึงแม้จะปรากฏชัดว่าความท้าทายต่อความมั่นคงระหว่างประเทศต้องใช้ความพยายามร่วมกันของรัสเซียและอเมริกา สมาชิกสภานิติบัญญัติของอเมริกาปฏิบัติตามการบริหารของประธานาธิบดีโอบาม่าด้วยการทำลายพื้นฐานของการเป็นหุ้นส่วนกัน ความสัมพันธ์ทวิภาคีถูกทำลายอย่างรุนแรงไม่น้อยไปกว่าคำแปรญัตติที่โด่งดังของแจ้กสัน-แวนิค ที่ได้ความเห็นชอบในปี 1974 เพื่อขัดขวางความร่วมมือกันมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ เราไม่สามารถลงความเห็นเป็นอื่นได้นอกจาก สหรัฐฯ ร้อนใจที่จะให้เวลาย้อนกลับ เมื่อสภาคองเกรสของสหรัฐฯ ส่งเสริมให้มีการคว่ำบาตรรัสเซีย ก็ควรจะมีส่วนที่แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของมัน รัสเซียจะไม่ถูกข่มขู่ให้ทิ้งผลประโยชน์ของตน และไม่ยอมทนต่อการแทรกแซงกิจการภายในของตน” (แหล่งข่าว http://www.globalresearch.ca)
ส่วนที่ประหลาดอย่างแท้จริงของเรื่องนี้ก็คือ ผมยังไม่เจอการวิเคราะห์หรือแสดงความคิดเห็นที่เชื่อถือได้ใดๆ ที่อธิบายว่าอะไรคือผลประโยชน์ดึงดูดใจของสหรัฐฯ ในยูเครน หรืออะไรคือเป้าหมายสุด ทั้งหมดเป็นเรื่องลึกลับ เมื่อประกอบเข้ากับสาระสำคัญที่ว่ารัสเซียสามารถเป็นพันธมิตรหรือศัตรูที่ทรงพลังอย่างยิ่งได้ ทำไมจึงไม่เลือกพันธมิตร? ทำไมจึงเลือกศัตรู?
ในอีกด้านหนึ่ง เรามีหลักฐานมากมายว่า สหรัฐฯ มีแผนจริงจังที่จะทำให้รัสเซียอ่อนแอและไร้เสถียรภาพ เล่ห์เหลี่ยมที่เรากำลังใช้อยู่จะถูกสหรัฐฯ ถือว่าเป็นการกระทำสงคราม ถ้าหากสถานการณ์มันกลับกัน
ดังที่ผู้สังเกตการณ์ชาวรัสเซียคนหนึ่งกล่าวว่า
ทั้งผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ วิคตอเรีย นูแลนด์ – ภรรยาของโรเบิร์ต เคแกน ผู้ร่วมก่อตั้ง the Project for the New American Century (PNAC) และผู้สนับสนุนอาณาจักรอนุรักษ์นิยมใหม่ – และผู้ช่วยรัฐมนตรีคลัง แดเนียล เกลเซอร์ บอกกับคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2014 ว่า เป้าหมายของยุทรธศาสตร์การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ต่อสหพันธรัฐรัสเซียไม่ใช่เพียงเพื่อทำลายความสัมพันธ์ทางการค้าและธุรกิจระหว่างรัสเซียกับสหภาพยุโรปเท่านั้น แต่เพื่อทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจในรัสเซีย และเพื่อสร้างความไม่มั่นคงของสกุลเงินและเงินเฟ้อ หรือจะกล่าวได้ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังมุ่งเป้าไปยังเงินรูเบิลของรัสเซียเพื่อที่จะทำให้มันอ่อนค่า และทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อทางเศรษฐกิจของรัสเซีย มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2014 เป็นอย่างน้อย
สหรัฐฯ กำลังทำสงครามทางเศรษฐกิจอย่างเต็มที่กับสหพันธรัฐรัสเซีย และเศรษฐกิจแห่งชาติของรัสเซีย สุดท้าย ชาวรัสเซียทั้งหมดคือเป้าหมายโดยรวม การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจไม่ใช่อะไรนอกจากการทำสงครามเศรษฐกิจ ถ้าหากไม่เกิดวิกฤติในยูเครน ก็คงต้องหาข้ออ้างอื่นๆ มาใช้เพื่อทำลายรัสเซีย
ทั้งผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ วิคตอเรีย นูแลนด์ และผู้ช่วยรัฐมนตรีคลัง แดเนียลล เกลเซอร์ ได้บอกกับคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2014 ว่า เป้าหมายสุดท้ายของสหรัฐฯ ในการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียก็คือ การทำให้ประชากรของรัสเซียมีความทุกข์ยากและสิ้นหวังจนพวกเขาต้องเรียกร้องให้กรุงเครมลินยอมแพ้ต่อสหรัฐฯ และนำไปสู่ “การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง” “การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง” สามารถแปลความหมายไปได้หลายอย่าง แต่ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดในที่นี้ก็คือการเปลี่ยนแปลงการปกครองในมอสโคว์
แท้จริงแล้ว เป้าหมายของสหรัฐฯ ยังไม่ปรากฏว่าจะเชื่อมโยงไปถึงการบังคับรัฐบาลรัสเซียให้เปลี่ยนนโยบายต่างประเทศ แต่เพื่อยุยงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในมอสโคว์ และเพื่อทำให้สหพันธรัฐรัสเซียเป็นอัมพาตไปทั้งหมดด้วยการยุยงให้เกิดความแตกแยกภายใน
นี่คือเหตุผลว่าทำไมแผนที่ของรัสเซียที่ถูกแบ่งเป็นส่วนๆ จึงถูกนำมาเผยแพร่โดย Radio Free Europe (แหล่งข่าว http://www.globalresearch.ca)
เราไม่ได้อยู่บนถนนไปสู่สงคราม แต่เรามาถึงแล้ว
ถ้ามันดูเหมือนสงคราม การกระทำเหมือนสงคราม กลิ่นเหมือนสงคราม มันก็อาจจะเป็นสงครามจริงๆ สหรัฐฯ กำลังทำสงครามตัวแทนทางด้านเศรษฐกิจ การเงิน การค้า การเมือง และแม้แต่ทางการเคลื่อนไหวกับรัสเซีย คำถามเดียวเท่านั้นคือ ทำไม?
จากมุมมองของชาวรัสเซียแล้ว มันดูเหมือนจะชัดเจนว่ากลุ่มนีโอคอน (อนุรักษ์นิยมใหม่) กำลังขับเคลื่อนเรือแห่งรัฐของสหรัฐฯ และพวกเขาไม่ใช่คนประเภทที่คุณจะเจรจาด้วยความศรัทธา หรือคนที่คุณจะเชื่อใจได้ กลุ่มนีโอคอนเชื่อว่าพวกเขามีความได้เปรียบ พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศที่ทรงอำนาจมากที่สุดในโลก พวกเขาไม่เคยชอบการเจรจามากไปกว่าการบังคับ
ปัญหาเดียวก็คือ สหรัฐฯ กำลังสูญเสียพันธมิตรและสหายบนโลกนี้ไปอย่างรวดเร็ว และมันเกือบจะไม่ทรงอำนาจอย่างที่มันเคยเป็นอีกแล้ว ขอบคุณต่อความล้มเหลวอย่างใหญ่หลวงในการลงทุนในตัวเอง (การศึกษา, โครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ)
—–
by Chris Martenson
Source http://www.peakprosperity.com
แปล/เรียบเรียง กองบก.เอบีนิวส์ทูเดย์