มุสลิมชีอะฮ์โยงการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ซาอุฯกับโลกยุคสุดท้าย

3533

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา สื่อต่างๆได้ทำการตีพิมพ์รายงานที่ค่อนข้างขัดแย้งกันเกี่ยวกับสุขภาพของกษัตริย์ อับดุลลอฮ์แห่งซาอูดี้อารเบีย ขณะที่สัปดาห์สุดท้ายก่อนการสิ้นพระชนม์ ราชสำนักซาอุดีอาระเบียได้ออกแถลงว่า กษัตริย์มีโรคปอดบวม โดยได้มีการใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจตลอดเวลา
ในความเป็นจริง ทุกครั้งที่สุขภาพและอาการประชวรของกษัตริย์ทรุดลง สำนักข่าวต่างๆก็จะคาดเดา เขียนบทวิเคราะห์กันไปต่างๆนาๆ ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับราชวงศ์ซาอูด และการขึ้นเป็นผู้นำแทนของพวกเขาหลังการสิ้นพระชนม์ ของกษัตริย์อับดุลลอฮ์นี้ ทว่าฝ่ายนักวิชาการของชาวมุสลิมนิกายชีอะฮ กลับคิดและพูดในสิ่งที่แตกต่างออกไปเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว โดยที่มีความเชื่อว่า การสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์อับดุลลอฮ์นี้นั้น ถือเป็นสัญญาณต้นๆอันหนึ่งของการเชื่อมโยง อันนำไปสู่เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ระดับช็อกโลก
อับดุลลอฮ์ คือพระโอรสองค์ที่ 10 ของกษัตริย์ อับดุลอาซิส ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1924 แม่ของท่านคือ ฟาดะห์ บุตรีของ อะซี อัล ชูรามี หนึ่งในสมาชิกของราชวงศ์อัลราชีด ซึ่งเป็นแคนดิเดท ของราชวงศ์อัลซาอูด และเป็นราชวงศ์หนึ่งของ คาบสมุทรอาหรับที่เคยปกครอง เอมิเรต แห่ง ญาบัล ชัมมัรฺ, กษัตริย์อับดุลลอฮ์ ขึ้นครองราชย์ในปี 2005 หลังการตายของพระเชษฐา พระราชาฟาฮัด ถึงกระนั้นอำนาจก็ได้อยู่ในมือของเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ตามสายรายงานพระวจนะ ของศาสดามูฮำหมัด ของฝ่ายมุสลิมนิกายชีอะฮ เกี่ยวกับเหตุการณ์หลังการสิ้นพระชนม์ ของกษัตริย์ ที่มีนามว่า ‘อับดุลลอฮ’ ในเมือง ‘ฮิญาซ’; หรือ ภาคตะวันตกของซาอุอาระเบีย ในปัจจุบัน – โดยกล่าวถึง เหตุการณ์ที่ ผู้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อมาจะไม่เป็นที่ยอมรับ และจะมีความขัดแย้งบานปลาย และจะยังคงดำรงอยู่ จนกระทั้งการปรากฏขึ้นของ ‘อิมามมะฮดีย์’

มุสลิมนิกายชีอะฮ เชื่อว่า อิมามผู้บริสุทธิ์นี้ คือทายาทอันชอบธรรม ในการปกครองประชาชาติอิสลาม ซึ่งการปกครองนั้นครอบคลุมหมด ทั้งศาสนจักร และอาณาจักร ด้วยอิมามทั้ง 12 ท่าน คือผู้สืบทอดของท่านศาสดามุฮัมมัด รวมถึงความเป็นผู้นำแห่งประชาชาติ โดยที่อิมามมะฮดีย์ คืออิมามคนสุดท้าย ที่ได้เร้นกายหายไปอย่างลึกลับตามพระประสงค์ของพระเจ้า และจะเป็นที่ปรากฏก็ต่อเมื่อ ถึงยุคหนึ่งที่ถูกกำหนดให้เป็นยุคสุดท้ายของโลกแห่งวัตถุนี้แล้วเท่านั้น และปรากฏพร้อมด้วยกับพระเยซูคริสต์ หรือ ศาสดาอีซาของชาวมุสลิม เพื่อนำมาซึ่งความสงบสุขไปทั่วโลก

อ้างอิงจากหนังสือ “250 สัญญาณ จวบจนการปรากฏกายของอิมามมะฮ์ดีย์,” (“250 Signs Until the Appearance of Imam Mahdi,”) – ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) กล่าวว่า: “ครั้นวันโลกาวินาศ ชายผู้หนึ่งที่มีชื่อเหมือนกับสัตว์จะขึ้นครองบัลลังก์ และหลังจากนั้นชายชื่ออับดุลลอฮจะเข้ามามีอำนาจ ใครก็ตามที่แจ้งแก่ฉันเกี่ยวกับความตายของเขา ฉันจะแจ้งแก่เขาซึ่งการปรากฏขึ้น (ของมะฮดีย์) ด้วยหลายวัน หลายเดือนผ่านพ้นไปหลังการตายของอับดุลลอฮ์ รัฐบาลนั้นจะปรากฏขึ้น”
นักการศาสนาที่สอนอยู่ในเมืองกุม ประเทศอิหร่าน บอกกับสำนักข่าว Al-Monitor โดยไม่ประสงค์ออกนามว่า, “ชายที่มีชื่อเหมือนสัตว์ (ณ ที่นี้) มีความเป็นไปได้ว่า จะหมายถึง กษัตริย์ฟาฮัด เนื่องจากชื่อของเขานั้นมีความหมายว่า สัตว์นักล่า เจ้าเสือชีตาห์ ซึ่งตรงกับสิ่งที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) ได้เคยกล่าวไว้”
บิฮารุล อัล อันวาร (The Bahar al-Anvar) หนังสือรวบรวมฮาดิษ ได้รวบรวมสุนทรพจน์บทหนึ่ง ของอิมามคนที่ 6 ของชาวมุสลิมนิกายชีอะฮ หรือท่านอิมามซอดิก เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวไว้ ตามที่ท่านได้กล่าวว่า: “เมื่ออับดุลลอฮตาย ผู้คนจะไม่เห็นชอบด้วยกับใครก็ตาม(ที่จะมาแทน) และเหตุการณ์เช่นนี้จะดำรงอยู่ กระทั่งการปรากฏของอิมาม (มะฮดีย์) รัชสมัยร่วมร้อยปีจะสิ้นสุดลง และยุคแห่งราชอาณาจักรที่ไม่มีวันล่มสลาย จะมาถึงภายในเวลาไม่กี่วัน ไม่กี่เดือน”

นักวิชาการมุสลิมชีอะฮกล่าว, “มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ต่อสู้เพื่อแย่งชิงราชบัลลังก์ในซาอุดิอาระเบีย ณ ปัจจุบันนี้ ตามที่ กษัตริย์อับดุลลอฮ์ ได้มีความพยายามในการสร้างบทบาทใหม่ให้กับ รองมกุฎราชกุมาร ซึ่งความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ หากเจ้าชายซัลมานได้ขึ้นครองราชย์ และ มุคริน บุตรของอัลดุลอาซิส ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองมกุฎราชกุมาร นั่นแปลว่า รองมกุฎราชกุมารคนต่อไปก็จะเป็น มูติบ บุตรชายของอัลดุลลอฮ์ ดังนั้น เราจึงสามารถคาดการณ์ถึงความตึงเครียดระหว่าง บุตรชายของกษัตริย์อับดุลลอฮ และพระเชษฐาของเจ้าชายซัลมาน ที่จะบานปลายขึ้น หลังจากการจากไปของ กษัตริย์อับดุลลอฮ
ในปี 2012 ซัลมาน บุตรของ อับดุลอาซิซ ได้รับการสถาปนาเป็นมกุฎราชกุมาร และสองปีหลังจากนั้น มุคริน บุตรของอัลดุลอาซิส ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองมกุฎราชกุมาร
อ้างอิงจาก นสพ. Al-Akhbar ระบุว่า กฎมณเทียรบาลได้ บัญญัติ ไว้ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไท คือแคนดิเดท ที่มีโอกาสมากที่สุดในการรับตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี และหลังจากนั้น คือตำแหน่งของ มกุฎราชกุมาร แต่หลังจากที่มีการยกระดับสถานะ ของกองกำลังรักษาดินแดนแห่งชาติ ดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชาการ โดย มูติบ บุตรชายของอัลดุลลอฮ์ ซึ่งได้รับคำสั่งให้มีการเปลี่ยนให้มัน กลายเป็นกระทรวงๆหนึ่ง ที่มีสถานะเทียบเท่ากันกับ กระทรวงกลาโหมและกระทรวงมหาดไท นับได้ว่า ปีกของกษัตริย์อับดุลลอฮ์ ในหมู่ราชวงศ์ ได้ถูกกางไว้เป็นอย่างดี เพื่อความพร้อม เป็นแคนดิเดทชิงราชบัลลังก์ที่แข็งแกร่งไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วSAROYALS_GC

นักการศาสนาในเมืองกุมกล่าวอ้างจากพระวัจนะของศาสดามูฮำหมัด ถึงเหตุการณ์ที่ว่า ผู้นำในฮิญาซ จะปกปิดถึงข่าวการตายของกษัตริย์ในระยะเวลา 40 วัน ซึ่งถ้าดูจากพระอาการประชวรของคิงส์อับดุลลอฮ ก็อาจจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วก็ได้
บางคนเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นของกลุ่มก่อการร้ายใน อิรักและซีเรีย(ISIS,ISIL) ที่มาพร้อมด้วยธงสีดำของพวกเขา ก็คืออีก สัญลักษณ์หนึ่งของการหวนกลับมาของอิมามะฮดีย์

ดั่งที่มีรวบรวมไว้ในหนังสือ “Comments on the Peak of Eloquence” และหนังสือ Nahj al-sa’adah fi mustadrak และหนังสือ นะฮ์ยุลบาลาเฆาะฮ์ ของอิมามอะลี อิมามคนแรกของมุสลิมนิกายชีอะฮ์ ความว่า “เมื่อเจ้าเป็นพยานเห็น ธงสีดำ จงนิ่งเฉยเสีย เนื่องด้วยว่า เสียงเรียกของพวกเขาคือสิ่งที่เป็นโมฆะ และไม่ชอบธรรมถูกต้อง และเจ้าอย่าได้ช่วยเหลือพวกเขา หัวใจของพวกเขานั้นแข็งกระด้างเหมือนได้ถูกเติบเต็มไปด้วยเหล็ก พวกเขาไม่ให้เกียรติในการรักษาสัญญา พวกเขามีชื่อและฉายาที่ถูกตั้งตามชื่อของเมืองต่างๆ”

นักวิชาการในเมืองกุม อธิบายคำกล่าวข้างต้นไว้ว่า “ธงสีดำ อันนี้สามารถให้ความหมายถึง ธงของพวก ISIS ที่ขณะนี้กำลังเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ในภูมิภาคนี้ ด้วยความโหดร้ายป่าเถื่อน และ เมื่อคำนึงถึงชื่อที่เหมือนกับเมืองต่างๆ ผมสามารถอ้างถึง อบู บักรฺ อัล บักดาดี (เมืองแบกแดด) หรือ อูมาร อัล เชเชน(เมืองเชเชน เชสเนีย)”
เขายังกล่าวต่อว่า “นักการศาสนาในเมืองกุมหลายๆท่านต่างมีความเชื่อว่า การมาถึงของอิมามมะฮดีย์นั้นใกล้มากแล้ว แม้แต่ อุลามาอฺที่สำคัญหลายๆคนก็ได้แสดงออกถึงความหวังที่พวกเขามีต่อเหตุการณ์เหล่านี้ ให้บังเกิดขึ้น และได้ทำการเชิญชวนให้ผู้คนเตรียมความพร้อมเพื่อช่วยเหลือท่านอิมามมะฮดีย์”
“สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาค ณ ขณะนี้ มีความคล้ายคลึงเป็นอย่างมากต่อสิ่งที่อิมามหลายๆท่านได้เคยพยากรณ์ไว้ เกี่ยวกับเงื่อนไข ต่างๆที่จะเกิดขึ้น ก่อนการปรากฏกายของท่านอิมามมะฮ์ดีย์ ดังนั้น ช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับความจริง อาจใกล้ปรากฏแล้ว”

นักประวัติศาสตร์ มูฮัมมัด โฮสเซ็น ราจาบี ดาวานี บอกกับ นสพ. Iranian ว่า: “ด้วยความเคารพถึงสัญญาต่างๆในฮาดิษของมุสลิมนิกายชีอะฮ์ อย่างแน่นอนเรากำลังประสบกับวันโลกาวินาศ ทว่าวันโลกาวินาศไม่มีระยะเวลากำหนดไว้ ไม่เป็นที่รับรู้ว่า มันจะเริ่มขึ้นและจะยุติงลงเมื่อใด”
กระนั้น ก็ยังมีบางรายงาน (ริวายะฮ์) และฮาดิษของชาวมุสลิมนิกายชีอะฮ ที่มีความขัดแข้งกับรายงานที่ยกมาก่อนหน้านี้ โดยชี้แนะถึงสัญญาณที่แตกต่างกันออกไปถึงการปรากฏของอิมามมะฮดีย์ ณ วันนี้ อย่างไรก็ดี หลายๆคนต่างคาดการณ์เป็นเสียงเดียวกัน เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะติดตามมาหลังการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์ซาอุฯ เช่นเดียวกันกับผลกระทบของมันต่อการพัฒนาของโลก ด้วยสาเหตุจากการสิ้นพระชนม์ของกษัตริย์อับดุลลอฮ์ ได้มีการวิเคราะห์ถึง ความมั่นคงของกรุงริยาดว่าอาจจะมาถึงจุดสิ้นสุด และเป็นการเปิดเผยการเชื่อมโยงคำพยากรณ์ ที่ร้อยเรียงไปถึงยุคสมัยการกลับมาของอิมามมะฮดีย์

ถอดความโดย ดุอาอฺ กุเมล
http://www.al-monitor.com/