กลุ่มก่อการร้ายตักฟีรีย์ไอซิส อาศัยพื้นฐานความชื่อของ “อิบนุ ตัยมียะห์” และลัทธิวะฮาบีตักฟีรีย์ เผานักบินชาวจอร์แดนตายทั้งเป็น อันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความอวิชชา และความป่าเถื่อนอีกครั้งหนึ่งของกลุ่มก่อการร้ายไอซิส ต่อหน้าประชาคมโลก
หลังจากที่การเจรจากับรัฐบาลจอร์แดนล้มเหลว กรณีการปล่อยตัวประกัน “มะอาซ อัลกัซซาซีบะห์” นักบินชาวจอร์แดน ในที่สุด กลุ่มก่อการร้ายไอซิส ก็ได้ผาเขาทั้งเป็น โดยที่กลุ่มก่อการร้ายไอซิส ตักฟีรีย์ มีการแพร่คลิปวีดี ในการกระทำอันป่าเถื่อนครั้งนี้ต่อสื่อโลกออนไลน์อีกด้วย
คำถามมีว่า กลุ่มก่อการร้ายไอซิส มีหลักพื้นฐานในการกระทำเช่นนี้หรือไม่? หรือให้กว้างกว่านี้คือ กลุ่มก่อการร้ายไอซิส มีหลักการใดหรือและปฏิบัติตามแบบอย่างและแบบฉบับของใคร ที่ได้ผ่าหัวใจและควักกินหัวใจสดๆ ของทหารซีเรีย? มีอุลามาอ์ท่านใดหรือ ที่อนุญาตให้กระทำสิ่งเหล่านี้ได้ ?
ในขณะที่ศาสนาอิสลาม ถือว่าแม้แต่การเผาสัตว์ทั้งเป็น ก็มีบทลงโทษที่แสนสาหัสทั้งโลกดุนยานี้และโลกอาคีเราะห์ ท่านนบีและอัลลอฮ์ (ซบ) ทรงมีคำสั่งห้ามอย่างเด็ดขาดในการฆ่าหั่นสัตว์เป็นชิ้นๆ ดังนั้นการกระทำของกลุ่มก่อการ้ายเช่นนี้ มันอาศัยหลักการ หลักคำสอนของใครและของผู้ใดหรือ ??
ในซูเราะห์ นิซาอ์ โองการ ที่ 93 กล่าวว่า
وَمَن يَقْتُلْ مُؤْمِنًا مُّتَعَمِّدًا فَجَزَاؤُهُ جَهَنَّمُ خَالِدًا فِيهَا وَغَضِبَ اللَّهُ عَلَيْهِ وَلَعَنَهُ وَأَعَدَّ لَهُ عَذَابًا عَظِيمًا
ความว่า “และผู้ใดฆ่าผู้ศรัทธาโดยจงใจ การตอบแทนแก่เขาก็คือ นรกญะฮันนัม โดยที่เขาจะอยู่ในนั้นตลอดกาล และอัลลอฮฺก็ทรงกริ้วโกรธเขา และทรงละนัต (สาบแช่ง)เขา และได้ทรงเตรียมไว้สำหรับเขาซึ่งการลงโทษอันใหญ่หลวง ”
แน่นอน อิสลามที่กลุ่มก่อการร้ายไอซิส นำเสนอนั้นเป็นอิสลามที่ป่าเถื่อน ที่พวกเขานำมาอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมในการปฏิบัติการ ดังนั้นเพื่อความกระจ่างชัดในข้อเท็จจริง ควรย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ของอิสลามและฮาดิษต่างๆที่ได้กล่าวย้ำถึงรูปแบบในการปฏิบัติต่อเชลยศึก ไว้อย่างไร?
ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติ เคยเกิดเหตุการณ์เผาทั้งเป็นมาแล้ว อาทิเช่นในยุโรป โดยเฉพาะในยุคสมัยกลาง สามารถเห็นเห็นสิ่งเหล่านี้ จอนห์ คาร์โลน หนึ่งในกรณีตัวอย่าง ที่ถูกเผาทั้งเป็นในเดือนตุลาคม ปี คศ. 1564 ด้วยข้อหามีหลักความเชื่อเชิงนิกายอนุรักษ์นิยม
กลุ่มยะฮูดีย์ ก็เคยตกเป็นเหยื่อเช่นนี้มาแล้ว ซึ่งเกิดขึ้นในสเปน ที่มีการเผาชาวยะฮูดีย์ทั้งเป็น ทำให้ชาวยะฮูดียจำนวนมากต้องอพยพออกจากสเปน และตัวอย่างต่างๆอีกนับร้อยที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติ……
ทว่า กรณีตัวอย่างเหล่านี้ เคยเกิดขึ้นหรือไม่ในศาสนาอิสลาม ???
ในคลิปวิดีโอที่มีการแพร่คนที่ทำการเผาเชลยทั้งเป็นนั้น มีการเอ่ยและพูดถึงประโยคและคำพูดของอิบนุตัยมียะห์ ที่กล่าวว่า อนุญาตให้มีการฆ่าหั่นศพ เพื่อเผยแพร่อิสลามและสร้างความหวาดกลัวและหวาดผวาต่อศัตรูของอิสลาม
ด้วยเหตุนี้ กลุ่มก่อการร้ายไอซิส จึงอาศัยคำพูดดังกล่าวของอิบนุตัยมียะห์ เป็นข้ออ้างในการกระทำอันป่าเถื่อนเช่นนี้
แต่ทว่า จะมีสักกี่คนที่เข้าใจและรู้ว่า ทัศนะต่างๆของอิบนุตัยมียะห์ คือหลักการปฏิบัติของลัทธิวะฮาบีย์ตักฟีรีย์ในวันนี้ ที่มักจะประณามกลุ่มบุคคลที่เห็นต่างกับตนว่าเป็นผู้ปฏิเสธ ที่สามารถสังหารได้ ซึ่งทัศนะของเขา ไม่มีอุลามาอ์โลกอิสลามคนไหนให้การยอมรับ…….
กลุ่มก่อการร้ายไอซิส อาศัยหลักการ “ อัลนัศรุ บิล ระอ์บ” หมายความว่า ชัยชนะต้องอาศัยการข่มขู่ให้เกิดคามหวาดกลัว และเป็นพื้นฐานในการก่ออาชญากรรมอันโหดร้ายครั้งนี้
หากพิจารณาจากพื้นฐานดังกล่าวแล้วสามารถเข้าใจและรับรู้ว่า การก่ออาชญากรรมของกลุ่มก่อการร้ายไอซิส มีหลายๆรูปแบบที่ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์
หากเราจะพิจารณาถึงพฤติกรรมอันโหดร้ายและป่าเถื่อนเช่นนี้ สามารถที่จะพิจารณาศึกษาในสองประเด็นด้วยกัน ประการที่หนึ่งคือ อุดมการณ์ตักฟีรีย์ และประการที่สอง ปัญหาทางจิต
อุดมการณ์ตักฟีรย์ – พื้นฐานหลักของอุดมการณ์นี้ วางอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า ทุกสิ่งคือขาวและดำ มนุษย์ ต้องมีความเห็นชอบด้วยกับพวกเรา และต้องยืนหยัดในหนทางทางนี้แม้นว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม ด้วยเหตุนี้เสื้อผ้าของกลุ่มนี้จึงเลือกใช้สีขาวและดำเท่านั้น และเพื่อให้บรรลุซึ่งเป้าหมายแห่งตน จะยอมทำทุกวิถีทางอย่างไร้ความปรานีและไร้ขอบเขต และหวังว่าตนเองจะได้รับรางวัล
ประการที่สอง คือ ปัญหาสุขภาพจิต กล่าวคือ มนุษย์ที่มีความปรกติทางด้านจิตใจ จะไม่กล้ากระทำในสิ่งที่ป่าเถื่อนเป็นอันขาด แต่สำหรับบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพจิต ย่อมสามารถกระทำได้ในทุกสิ่งที่ไม่ขาดคิด เหมือนกับเหตุการณ์เผาทั้งเป็นในครั้งนี้
เลี้ยวมองประวัติศาสตร์ การวางรากฐานหลักความเชื่อของวะฮาบี
การเผยแพร่รากฐาน ความคิดของวะฮาบีอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นเมื่อปี ฮ.ศ.698 โดยมี อิบนุ ตัยมียะฮฺเป็นผู้นำ ได้ประณามพี่น้องมุสลิมในมัศฮับต่างๆ ว่าปฏิบัติตนผิดหลักการอิสลามร้ายแรงหลายเรื่อง ข้อหาที่สำคัญที่สุด คือ การตั้งภาคีและกระทำตนเป็นผู้ปฏิเสธศาสนา เริ่มต้นจากเขตพื้นที่ซีเรีย (ชาม) เป็นจุดแรก ซึ่งได้ถูกต่อต้านอย่างหนักจากบรรดานักวิชาการระดับสูงของอะฮฺลิส ซุนนะฮฺและชีอะฮฺ
ในที่สุดอิบนุ ตัยมียะฮฺถูกจับเข้าคุกในปี ฮ.ศ.728 และเสียชีวิตในคุก กอลอะฮฺ กรุงดามัสกัส ประเทศซีเรีย และความคิดอันวิตถารจึงถูกลบเลือนไปจากหน้าประวัติศาสตร์ในที่สุด
แต่ทว่าความคิดดังกล่าว ผุดขึ้นมาและเริ่มมีการนำมาเผยแพร่ อีกครั้งหนึ่ง เมื่อปี ฮ.ศ 1157 โดย มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ จากเมืองนัจดฺ โดยความร่วมมือของมุฮัมมัด บิน ซะอูด ผู้ปกครองเมืองดีรอียะฮฺได้ทำสงครามเลือดกับผู้นำแถบอ่าวเปอร์เซียและคาบสมุทรอาหรับ จนสามารถยึดครองอำนาจได้เบ็ดเสร็จ
อาชญากรรมที่พวกวะฮาบีได้ก่อขึ้นในหน้าประวัติศาสตร์
มุฮัมมัด บิน อับดุลวาฮาบ ได้ประกาศสงคราม (ญิฮาด) กับพี่น้องมุสลิม โดยกล่าวอ้างว่า พี่น้องมุสลิมเหล่านั้น เป็นผู้ตั้งภาคี (ชีริก) และเป็นผู้กระทำอุตริกรรม (บิดอะฮ์) โดยใช้วิธีการการปลุกระดมชาวอาหรับเบดูอินให้มีการลุกขึ้นต่อต้านและต่อสู้กับกลุ่มพี่น้องมุสลิมดังกล่าว อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนกองกำลังจากราชวงศ์ซาอูด ในการบุกโจมตีเมืองและหมู่บ้านต่างๆ ทำให้เกิดการนองเลือดด้วยการเข่นฆ่าพี่น้องมุสลิมผู้บริสุทธิ์ ปล้นสะดม ยึดทรัพย์สินต่างๆไปทั้งหมด(1)
ซึ่งจะขอนำเสนออาชญากรรมบางส่วน อันเป็นผลงานของวะฮาบีในการก่อเหตุในสถานที่ต่างๆดังนี้
• เชคอุศมาน นัญดฺ นักประวัติศาสตร์วะฮาบี บันทึกว่า
พวกวะฮาบีได้บุกโจมตีเมืองกัรบาลาในช่วงเวลาที่พลเมืองกำลังเผลอ โดยที่พี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ถูกสังหารเป็นจำนวนมากตามตรอกซอยและอาคารบ้านเรือน อีกทั้งมีการทำลายสุสานของท่านอิมาม ฮูเซ็น (อ.) พร้อมกับริบทรัพย์สินอันมีค่าที่มีอยู่ในสุสานของท่านอิมามฮูเซ็น (อ)ทั้งหมด และยังกวาดยึดทรัพย์สมบัติ อาวุธ เสื้อผ้าและอัลกุรอาน ที่มีอยู่ทั่วเมือง และได้เดินทางออกจากกัรบาลาก่อนเที่ยงวัน ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้มีมุสลิมเสียชีวิตประมาณหนึ่งหมื่นสองพันคน
นักประวัติศาสตร์บางคน บันทึกว่า “ในหนึ่งคืน พวกวะฮาบี ได้ทำการสังหารพี่น้องมุสลิมในกัรบาลาเสียชีวิต อย่างน้อย สองหมื่นคน”
• มิรฺซา อะบูฏอลิบ อิศฟาฮานี ได้เขียนไว้ในสมุดบันทึกเดินทางของท่านว่า
ครั้งที่เดินทางกลับจากกรุงลอนดอนผ่านเมืองกัรบาลาและนาญัฟได้เห็นพวกวะฮาบีไม่น้อยกว่าสองหมื่นห้าพันคน ตะโกนก้องว่า اقتلوا المشرکین واذبحوا الکافرین “จงฆ่าบรรดามุชรีกีนและสังหารบรรดาผู้ปฏิเสธ (กาฟีรฺ)”
จากนั้นได้เข่นฆ่าพี่น้องมุสลิมผู้บริสุทธิ์ไม่น้อยกว่าห้าพันคน มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ลานสุสาน(ฮะรัม) ของท่านอิมามฮุเซน (อ.) นองไปด้วยเลือดและศีรษะของผู้เสียชีวิต หลังจากเหตุการณ์นั้น สิบเอ็ดเดือน ก็ได้กลับมาเยือนกัรบาลาอีกครั้ง ซึ่งได้เห็นพี่น้องในกัรบาลาเล่าขานเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งเหตุการณ์อันหฤโหดครั้งนั้นเป็นโศกนาฏกรรมที่ยังหลอนความรู้สึกกับพี่น้องมุสลิมผู้บริสุทธิ์มิรู้ลืม
• เผาทำลายห้องสมุดกลางหลายแห่ง
การเผาผลาญทำลายห้องสมุดกลาง “อัลมักตะบะฮฺ อัลอาราบียะฮฺ” ซึ่งมีหนังสือตำรามากกว่าหกหมื่นเล่ม ล้วนแต่เป็นตำราที่สูงค่ายิ่ง และยังมีหนังสือต้นฉบับเป็นอักษรลายมือส่วนบุคคลของนักปราชญ์ในอดีตมากกว่าสี่หมื่นเล่ม หนึ่งในจำนวนนั้นมีผลงานการประพันธ์ตั้งแต่ยุคสมัยอวิชชา (ญาฮีลียะฮฺ) พวกยาฮูดี กุฟารฺมุชรีกีน และที่สำคัญที่สุดอักษรลายมือของท่านอิมามอาลี (อ.) อะบู บักรฺ, อุมัร, คอลิด บินวาลิด, ฎอริก บินซิยาด รวมทั้งจากบรรดาศอฮาบะฮฺอีกหลายท่าน แม้แต่อัลกุรอานฉบับอักษร คอด ของ อับดุลลอฮฺ บิน มัซอูด ตำราและหนังสืออันทรงคุณค่าเหล่านี้สูญไปกับความอวิชชาและอุตริกรรมของพวกวะฮาบีทั้งสิ้น นับเป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดซึ่งปรากฏให้เห็นร่องรอยอันแสนขมขื่นตลอดหน้าประวัติศาสตร์
ในห้องสมุดดังกล่าวยังมีอาวุธชนิดต่างๆ ในยุคสมัยของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลฯ) รูปปั้นเจว็ดที่เป็นที่สักการบูชาก่อนยุคอิสลามปรากฏ เช่น ลาต อุซซา มานาตและฮูบัล
นาศีรฺ อัลซะอีด กล่าวว่า “มีนักประวัติศาสตร์ท่านหนึ่งได้เล่าให้ฟังว่าพวกวะฮาบีต้องเผาทำลายห้องสมุดนี้เพราะเป็นแหล่งเก็บรักษาสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของการปฏิเสธ (กุฟรฺ) และการตั้งภาคี (ชีริก) ทั้งสิ้น
• ญะบัรฺตี นักประวัติศาสตร์มัศฮับฮานาฟี(33) บันทึกว่า
ปลายปี ฮ.ศ.1217 พวกวะฮาบีได้บุกโจมตีฮิญาซ เมื่อใกล้ถึงเมืองฏออีฟ ชะรีฟ ฆอลิบ ผู้ว่าการเมืองฏออีฟได้พยายามต่อสู้สุดความสามารถแต่ต้านกระแสกองทัพของวะฮาบีไม่ได้ ในที่สุดเมืองฏออีฟ ก็ถูกเผาผลาญยับเยิน ประชาชนถูกสังหารไปเป็นจำนวนมาก บรรดาสตรีถูกจับไปเป็นเชลย เพียงระยะเวลาสามวันของการทำสงครามในเมืองนี้ ทำให้ผู้คนต้องหลบหนีไปอาศัยในนครมักกะฮฺ เป็นพฤติกรรมอันโสมมที่วะฮาบีกระทำต่อประชาชน ทุกเมืองที่ยึดได้ จะกระทำการอันหฤโหดและชวนสังเวชสลดเหมือนกันทุกเมือง(34)
• ญามีล ศิดกี ซะฮาวี นักวิชาการชาวอิรักของพี่น้องอะฮฺลิสซุนนะฮฺ กล่าวถึงการบุกโจมตีฏออีฟของวะฮาบี ว่า หนึ่งในอาชญากรรมที่หฤโหดที่สุดของวะฮาบีใน ปี ฮ.ศ.1217 คือ พวกวะฮาบีได้สังหารหมู่ประชาชนฏออีฟอย่างน่าเวทนา เป็นการกระทำอันป่าเถื่อนโหดร้ายอนารยะอย่างยิ่ง ไร้ความเมตตาปราณีแม้แต่เด็กน้อยและคนแก่ชรา สังหารเด็กน้อย ทารก ที่ยังไม่หย่านมซึ่งอยู่ในอ้อมกอดของมารดา สังหารกลุ่มที่กำลังเก็บรวบรวมอัลกุรอาน หรือแม้แต่ศรัทธาชนที่กำลังนมาซอยู่ในมัสยิดก็ถูกสังหาร อีกทั้งมีการฉีกและเหยียบหนังสือต่างๆอย่างมากมาย อาทิเช่น อัลกุรอาน ต้นฉบับส่วนหนึ่งของหนังสือศอฮีหฺ บุคอรี และมุสลิม รวมถึงหนังสือตำราต่างๆทั้งวิชาฮะดิษและฟิกฮฺอีกมากมายนับไม่ถ้วนถูกทำลายยับเยินสิ้น
จากแฟ้มคดีอาชญากรรมต่างๆที่ลัทธิวะฮาบีได้ก่อกรรมไว้ในวันนั้น และพิจารณาถึงพฤติกรรมอันป่าเถื่อนต่างๆเหล่านี้ก็สามารถเห็นในการกระทำของไอซิส ที่มีต่อพี่น้องมุสลิมผู้บริสุทธิ์ทั้งในซีเรีย อีรัก และที่อื่นๆ……..
อ้างอิง
http://www.farsnews.com/newstext.php?nn=13931115000032