คริสตา เบรเมอร์ (Krista Bremer) กับ อาลียา ลูกสาว
ด้วยความมั่นใจว่า ลูกสาวจะเจริญรอยตามแม่ แต่เมื่อลูกเติบโตขึ้น คริสตา เบรเมอร์ (Krista Bremer) กลับต้องเซอร์ไพรซ์ เมื่อ อาลียา ลูกสาวตัวน้อยในวัย 9 ขวบตัดสินใจสวมใส่ผ้าคลุมฮิญาบ
เก้าปีที่แล้ว ฉันอุ้มลูกสาวเพิ่งเกิดของฉันเต้นรำไปรอบห้องนั่งเล่นของเรา ในแคลิฟอร์เนียเหนือ ด้วยกับบทเพลง Free to be…You and Me, (อิสระที่จะเป็น….คุณ และฉัน) เพลงเด็กคลาสสิคในยุค 70 ซึ่งในทุกๆเนื้อร้อง จะเกี่ยวข้องกับ ความอดกลั้น และ ความเสมอภาคทางเพศ ตามที่ฉันเข้าใจได้ในฐานะเด็กหญิงคนหนึ่งที่เติบโตขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนีย
อิสมาอีล สามี ชาวลิเบีย (เกิดลิเบีย) ของฉันนั่งกับเธอกว่าหลายชั่วโมง ณ ชานบ้านแบบคลุมมุ้งลวด ไกวเปลเหล็กที่มีเสียงดังอี๊ดอ๊อดไปมา พลางร้องเพลงเก่าของชาวอาหรับให้เธอฟัง และได้พาเธอไปหานักการศาสนามุสลิม ซึ่งท่านได้อ่านบทสวดมนตร์เข้าไปข้างๆหูน้อยนุ่มนิ่มของเธอ
เธอมีดวงตาสีกาแฟเอสเพรสโซ และขนตาดกดำ รวมทั้งผิวสีนมน้ำตาล ซึ่งคล้ำได้ง่ายเมื่อต้องแดดของฤดูร้อน เหมือนกับพ่อของเธอ เราตั้งชื่อเธอว่า ‘อาลียา’ ซึ่งมีความหมายว่า ‘ผู้ที่ควรค่าแก่การยกย่อง’ ในภาษาอาหรับ และตกลงปลงใจว่า จะเลี้ยงเธอ โดยให้เธอตัดสินใจเลือกหนทางที่เธอเห็นชอบว่าเข้ากับเธอมากที่สุด ด้วยเนื่องจาก ภูมิหลังของเราสอง มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง [quote_right][/quote_right]
ณ ตอนนั้น ฉันแอบรู้สึกพอใจเกี่ยวกับข้อตกลงนี้ มั่นใจว่าเธอน่าจะชอบ แนวการดำเนินชีวิตอย่างสะดวกสบาย เสรีแบบคนอเมริกันของฉัน เหนือกว่า การเติบโตมาตามจารีต (รักนวลสงวนตัว) แบบมุสลิมของเขา พ่อแม่ของอิสมาอีล อาศัยอยู่ในบ้านศิลาไม่มีเอกสารสิทธ์ ลึกไปในหุบเขาถิ่นธุระกันดาร นอกเมืองทริโปลี ในลิเบีย ผนังของบ้านจะโล่งเตียน มีประดับประดาด้วยข้อความจากพระคัมภีร์อัลกุรอานที่สลักลงบนไม้บ้าง พื้นก็เช่นกันไม่มีอะไรนอกจาก นวมเก่าๆ ที่สามารถปรับเป็นเตียงได้
ส่วนพ่อแม่ของฉัน อาศัยอยู่ในบ้านโอ่โถง ใน เมือง ซานตา เฟ ของนิว แม็กซิโก มีโรงจอดรถที่จุได้ถึง 3 คัน ดูทีวีจอแบนที่มีช่องให้เลือกอีกกว่า ร้อยๆ ช่อง มีอาหารออแกนิคเก็บไว้ในตู้เย็น และตู้ที่เต็มไปด้วยของเล่นเด็กสำหรับหลานๆ
ฉันได้จินตนาการภาพ อาลียา โผเข้าหาทริปช็อปปิ้ง จนถึงภาพอาหารทุกอย่าง พร้อมกับกองของขวัญมากมายใต้ต้นคริสมาส ขณะเดียวกันก็สำนึกถึงคุณค่าของทำนองเพลงแบบอาหรับ, ขนมแช่น้ำผึ้งบักลาวา ที่อิสมาเอลต้องขูดทำเอง และ ลายเฮนน่าที่ซับซ้อน ซึ่งป้าของเธอคอยบรรจงวาดลงไปบนเท้าของเธอ ยามที่เรากลับไปเยี่ยมลิเบีย โดยไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียว ที่ฉันจะนึกภาพเธอหลงใหลที่จะสวมใสผ้าคลุมผม เครื่องแต่งกายของสาวมุสลิมทั่วไป เพื่อแสดงออกถึงความสงวนตัว
ฤดูร้อนที่แล้ว เราได้ร่วมเฉลิมฉลองวันอีด หรือสิ้นสุดเดือนรอมฎอน (เดือนแห่งการถือศีลอดของชาวมุสลิม) กับชุนชนมุสลิมของเรา งานรื่นเริงหนึ่ง ที่จัดขึ้น ณ โรงจอดรถ ข้างหลังมัสยิดประจำท้องถิ่น เด็กๆกระโดดไปมาในบ้านลูกโป่งแสนสนุก ขณะที่บรรดาพ่อแม่ของพวกเขานั่งใต้ร่มผ้าใบพลาสติกบริเวณใกล้เคียง คอยปัดไล่แมลงวันจากจานอาหารคาวหวาน ทั้งแกงไก่ ข้าว และขนมบักลาวา
อาลียา และฉันเดินผ่านแถวของ พ่อค้า แม่ขาย พรมปูนมาซ เฮนน่า และเสื้อผ้ามุสลิม เมื่อเราเดินมาถึงโต๊ะที่ตั้งหุ่นสวมผ้าคลุมผมสตรี อาลียาหันมาทางฉันและอ้อนขอ “นะค่ะ แม่ ซื้อให้หนูหนึ่งผืน?” เธอรื้อกองผ้าคลุมผมที่พับเก็บเรียบร้อยอยู่ ขณะที่แม่ค้า ชาวแอฟริกันอเมริกัน สวมใส่ชุดสีดำ ยิ้มระรื่นมาให้เธอ
เมื่อไม่นานมานี้ ฉันเคยเห็นอาลียาแสดงอาการชื่นชมทางสายตา แก่เด็กหญิงมุสลิมอื่นๆในรุ่นเดียวกัน ฉันแอบสงสาร พวกเขา ที่ต้องสวมเสื้อแขนยาว กับชุดกระโปรงยาวเหยียดพื้น แม้ในวันที่อากาศจะร้อนที่สุดก็ตาม สำหรับฉันความทรงจำในวัยเด็กที่ดีที่สุดก็คือ ช่วงเวลาที่ฉันนอนเปล่าเปลือยอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ความรู้สึกของหญ้าที่สัมผัสไประหว่างนิ้วเท้าของฉันเมื่อตอนที่ฉันวิ่งผ่านหัวฉีดน้ำต้นไม้บริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน ช่วงที่ได้ลุยลงไปในแม่น้ำ เย็นยะเหยือกของไอดาโฮ กับกางเกงขาสั้นประต้นขา เพื่อจับปลาเรนโบว์เทราท์ เป็นครั้งแรก หรือเมื่อตอนที่กำลังโต้ไปบนคลื่นสีเขียวมรกตนอกชายฝั่งฮาวาย ทว่า อาลียากลับอิจฉาเด็กผู้หญิงเหล่านั้น และได้ขอร้องให้ฉันซื้อเสื้อผ้าเหมือนกับพวกเขาให้กับเธอ จนกระทั่ง ตอนนี้ ได้อ้อนวอนให้ซื้อผ้าคลุมผมให้
เมื่อก่อน ฉันจะอ้างกับเธอว่า เสื้อพวกนี้หาซื้อได้ยาก แต่ตอนนี้ เธอได้เสนอให้ฉันใช้เงินกว่า 10 ดอลล่า ที่เธอเก็บจากค่าขนมของเธอเอง เพื่อซื้อผ้าคลุมผมสีเขียวใบไม้ ผืนที่เธอกำอยู่ในมือ ฉันเริ่มจะส่ายหัว แต่ก็ต้องสะกดใจตัวเอง เมื่อนึกถึงพันธสัญญาที่เคยให้ไว้กับอิสมาอีล ดังนั้นฉันจึงต้องจำใจ ซื้อมาหนึ่งผืน ด้วยถือเสียว่า มันคงจะถูกลืมไปในไม่ช้า
บ่ายวันนั้น ขณะที่เรากำลังจะออกไปซื้อของอุปโภค บริโภค อาลียา ตะโกนเรียกจากห้องของเธอ บอกว่าเธออยากจะตามไปด้วย
สักครู่หนึ่ง เธอก็มายืนอยู่ตรงบันไดชั้นบน หรือถ้าจะพูดให้ถูก ครึ่งหนึ่งของเธอต่างหากที่กำลังยืนอยู่ จากสะเอวลงมา เธอคือลูกสาวของฉัน ด้วยรองเท้าผ้าใบ ถุงเท้าสีแป๊ด กับ กางเกงยีนส์ มีร่องขาดเป็นขุยนิดหน่อยที่หัวเข่า ทว่าจากสะเอวขึ้นไป เด็กผู้หญิงคนนี้ คือคนแปลกหน้า…
เมื่อหน้ากลม สดใสของเธอ ลอยเด่นอยู่ในผ้าคลุมสีทึม เสมือนจันทร์เพ็ญในคืนไร้ดาว
‘ลูกจะใส่อย่างนี้จริงๆเหรอ?’
‘คะ’ เธอพูดเรียบๆ ด้วยน้ำเสียงที่เธอเริ่มใช้พูดกับฉันเมื่อไม่นานมานี้
[quote_left][/quote_left]
ระหว่างทางไปห้าง ฉันแอบมองเธอทางกระจกมองข้าง ขณะที่เธอกำลังมองออกนอกหน้าต่าง ด้วยความสำรวม และสงบเสงี่ยมของเธอ มันทำให้เธอดูราวกับหญิงผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง กำลังเยี่ยมชมเมืองเล็กๆทางตอนใต้ของเรา โดยที่ฉันเป็นเพียงแค่คนขับรถเท่านั้น
ฉันกัดริมฝีปาก ฉันอยากจะขอให้เธอเอาผ้าคลุมผมออกก่อนจะลงจากรถ แต่ฉันก็ไม่อาจหาเหตุผลดีๆที่พอจะสั่งให้เธอเอาผ้าคลุมผมออกได้ นอกจากสาเหตุที่มันทำให้ฉันปี๊ดแตกก็เท่านั้น เดิมที ฉันมักจะสนับสนุนให้เธอกล้าแสดงออก และเป็นตัวของตัวเอง แต่ตอนนี้ ฉันใช้ความรู้สึกตัวเอง นึกถึงความอึดอัด เหมือนกับว่าฉันได้สวมผ้าคลุมผมนั้นเสียเอง
ณ ที่จอดรถของซุปเปอร์มาเก็ต อากาศอบอ้าวของฤดูร้อนปกคลุมผิวหนังของฉัน ฉันรวบผมที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อบนคอขึ้นเป็นหางม้า แต่ดูเหมือน อาลียากลับจะไม่สะทกสะท้านด้วยความร้อนใดๆเลย เราคงดูเป็นคู่ที่แปลกประหลาด ผู้หญิงผมบลอนด์ ในเสื้อกล้ามกับกางเกงยีนส์ กำลังกุมมือของเด็กน้อยมุสลิมสูง 1.2 เมตร ฉันจูงลูกสาวเข้ามาใกล้ตัว ด้วยแขนเปลือยของฉันตั้งชันตามสัญชาตญาณปกป้องลูกของแม่ จากแรงกรรโชกของลมแอร์ เมื่อย่างเท้าเข้ามาในห้าง
ขณะที่เรากำลังบังคับรถเข็นเดินระหว่างชั้นวางสินค้า สายตานักช็อปทั้งหลายก็มองมาที่เรา เหมือนกับว่าเราคือ ปริศนาหนึ่งที่พวกเขาแก้กันไม่ออก และละสายตาจากเราอย่างรวดเร็วเมื่อฉันสบเข้ากับสายตาของพวกเขา
บริเวณชั้นวางสินค้าจำพวกผักผลไม้ ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเลือกซื้อแอปเปิ้ล ได้จ้องมองมาที่ฉันด้วยร้อยยิ้มสดใสอย่างจริงใจ และบอกว่า “ฉันยึดมั่นในความหลากหลาย และรู้สึกดีเป็นที่สุดกับลูกของคุณ เธอมองมาอย่างจริงจัง กังวลอยากให้ฉันสบายใจ ซึ่งมันทำให้ฉันเข้าใจได้ทันที ถึงความรู้สึกของการมีลูกที่พิการผิดปกติ อันเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดความสงสัย และความเห็นอกเห็นใจที่ไม่น่ายินดีจากคนแปลกหน้าทั้งหลาย
เมื่อเรากำลังจะออกจากห้าง หญิงสูงอายุชาวใต้คนหนึ่งก็ประสานมือผอมบางของเธอเข้าด้วยกัน และก้มลงเล็กน้อยให้กับอาลียา
“มาย, มาย” เธออุทานด้วยความประหลาดใจเนิบๆ พร้อมกับส่ายหัวไปมาด้วยความเหลือเชื่อ “หนูไม่เห็นหรือว่าตัวเองดูมีคุณค่าอย่างที่สุด?” ลูกสาวของฉันยิ้มตอบอย่างสุภาพ แล้วก็หันกลับมาที่ฉันเพื่อขอให้ซื้อหมากฝรั่ง
ในวันถัดมา อาลียาสวมใส่ผ้าคลุมผมของเธอกับชุดนอนลงมาที่โต๊ะทานอาหารเช้า ณ วงชุมนุมของชาวมุสลิม ที่ซึ่งเธอได้รับคำชื่นชมอย่างมากมาย และสวมไปที่สวนสาธารณะด้วยเช่นกัน โดยบรรดาแม่ๆที่ฉันพูดคุยกันเป็นประจำ หลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงมัน อย่างอดกลั้น
สัปดาห์หลังจากนั้น ฉันเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แก่กว่าอาลียาไม่กี่ปีกำลังเล่นปิงปองอยู่ที่ สระว่ายน้ำประจำท้องถิ่นของเรา กับเด็กผู้ชายอีกคนในวัยเดียวกัน เธอถูกจองจำในดินแดนที่น่าอึดอัด ระหว่างวัยเด็กกับวัยแตกสาว ด้วยเพราะเธอสวมใส่ชุดสตริงบิกีนี ซึ่งโชว์สัดส่วน สะโพกน้อยๆ ขาบางๆ และหน้าอกใหม่ที่ขยายขึ้นเล็กน้อยของเธอ
คู่ต่อสู้ของเธอสวมใส่ เสื้อเชิตตัวใหญ่ กับกางเกงว่ายน้ำชายหลวมๆยาวเลยเข่า เมื่อเขาตบลูกเข้าหาเธอ เธอจะพยายามพุ่งรับลูก ขณะเดียวกันก็จะใช้มืออีกข้างหนึ่งดึงกางเกงว่ายน้ำสแปนเด็กซ์ตัวลื่นเข้ากลับที่ ฉันรู้สึกอยากจะยื่นผ้าขนหนูสักผืนให้เธอใช้ปิดสะโพกนั่น เพื่อที่เธอจะได้ปลดปล่อยตัวเองในการแข่งขัน และรู้สึกตื่นเต้นที่จะทำลูกสวยๆสักลูก
มันง่ายมากที่จะเห็นว่า ทำไมเธอถึงได้ถูกรุกจนยับเยินในเกมนี้ เพราะสภาพเรือนร่างใกล้เปลือยกำลังครอบงำสมาธิของเธอนี่แหละ และในการแสดงออกที่ทรมานของเธอ ฉันมองเห็นความรู้สึกผสมผสานระหว่างความละอายกับความตื่นเต้น ที่คุ้นเคยดี ซึ่งฉันเคยรู้สึกมาก่อน เมื่อครั้งแรกที่ฉันได้ลองสวมใส่บิกินี
เมื่ออายุได้ 14 ปี ฉันเดินแฉลบไปตามห้องโถงของโรงเรียนมัธยม เหมือนกับกระรอกวิ่งอยู่ในหมู่รถติด เดินแนบผนัง เปลี่ยนทิศทางกลางกระแสน้ำเชี่ยว หลบเข้าหาที่กำบัง ฉันมักจะไปเยี่ยมป้าแม่รี่ของฉันที่ ลอสแองเจอลิส ช่วงวันปิดเทอมภาคฤดูหนาว ป้าแม่รี่คือผู้หญิงที่ว่ายน้ำได้อย่างช่ำชองเหมือนกับนางเงือก เธอเก็บรูปถ่ายขาวดำ ตอนที่เธอมีผมยาวสลวยเหมือนกับชาวอินเดีย ไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง ซึ่งเก็บไว้ภายในห้องตุนเสบียงอาหารเพื่อสุขภาพขนาดย่อม ที่ส่งกลิ่นพืชพันธ์หอมและเนยถั่ว เธอพาฉันไปหาดเวนิช หาดที่ฉันได้นำบิกินี ราคาถูก ซึ่งซื้อมาจากคนขายของข้างถนนไปด้วย
มึนๆด้วยความเจิดจ้าอย่างเหลือเชื่อของแดดยามบ่าย ฉันเข้าห้องน้ำริมชายหาดที่ปูด้วยพื้นซีเมนต์ทราย เพื่อเปลี่ยนชุดใหม่ และคิดว่าฉันคงจะกลายเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันเอง – คนที่วาววับ และภาคภูมิใจในตัวเอง เฉกเช่นนักเพาะกายที่ยืนโดดเด่นอยู่บนสนามหญ้า ผ่อนคลายและไร้ความรู้สึก เหมือนกับฮิปปี้ยามเดินเตร็ดเตร่ไปบนฟุตบาท ทั้งๆที่มีธูปไฟแนบอยู่หลังใบหูของพวกเขา
หากแต่ว่า ขนขาวบางกลับลุกชันไปทั่วหน้าท้องขาวอวบของฉัน รวมไปถึงช่วงขาอ่อนก็ลุกทั่วไปหมด ฉันรู้สึกตัวดิบ ล่อนจ้อนเหมือนกับเต่าที่ถูกปลดกระดองออก และเมื่อฉันออกมาจากห้องน้ำ สายตาผู้ชายทั้งหลายก็มองมา ดั่งเข็มที่จ้องจะตรึงตัวฉันไว้ในจุดๆหนึ่ง
ท่ามกลางความรู้สึกพิกล ที่ตั้งอยู่บนความละอายนี้ ฉันถูกตรึงไว้ด้วยกับใบหน้าแสยะยิ้มของพวกเขา ด้วยการแสดงออกของพวกเขาเช่นนี้ ฉันคิดว่า ฉันเห็นอะไรบางอย่างที่บอกใบ้ให้ฉันรับรู้ถึงความลึกลับของตัวเอง ผู้ชายพวกนี้เขาเห็นอะไรในตัวฉันหรือ? นี่มันพลังพิสดารอะไรกันที่พลุกพล่านอยู่ระหว่างเรา? กระแสไฟที่ถูกสับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ด้วยครู่หนึ่งทำให้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองมีพลังมากมาย แต่หลังจากนั้นล่ะ มันคือความรู้สึกอ่อนแอที่อธิบายไม่ได้?
ฉันจินตนาการภาพ อาลียาสวมใส่บิกินีในไม่กี่ปีหลังจากนี้ และฉันก็นึกภาพเธอสวมใส่ชุดแบบสตรีมุสลิมเต็มตัว มันยากที่จะบอกว่า ภาพไหน ที่ไม่เข้าที่เข้าทางมากกว่ากัน
การเติบโตมาในแคลิฟอร์เนียใต้ ช่วงยุค 70 สอนให้ฉันเข้าใจว่า เสรีภาพสตรี อย่างหนึ่งก็คือ การสวมเสื้อผ้าชิ้นเล็กชิ้นน้อย และความคิดที่ผู้หญิงจะเป็นอะไรก็ได้ รวมถึงผู้หญิงยังคงดูดีในชุดบิกินี ฉันค้นพบว่าเสรีภาพทางกายภาพเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญมาโดยตลอดชีวิตของฉัน แต่การเปิดเผยนั้นย่อมไม่ใช่อะไรที่ได้มาฟรีๆเช่นกัน
ตั้งแต่วันนั้นที่ชายหาดเวนิช ฉันได้ใช้เวลาเป็นปีๆ เรียนรู้วิธีว่ายน้ำท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยวของที่ที่น่าสนใจแห่งนี้ ที่ซึ่งฉันมีความต้องการ อยากเป็นที่ปรารถนา ต้อต้านความก้าวหน้าที่ไม่น่าชื่นชม และดำดิ่งลงสู่ก้นบึ้งลึกลับแห่งแรงปรารถนาของตนเอง ฉันจะใช้เวลาหลายชั่วโมง ศึกษาภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก ทั้งชื่นชอบมัน เกลียดชังมัน สงสัยว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับมัน และบางครั้งมันฉันก็ประจักษ์ว่า หากฉันได้ใช้วิธีการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ไม่มีวันหยุดง่ายๆแบบนี้ กับเรื่องอื่นๆ ฉันก็คงจะกลายเป็น ผู้ที่รู้แจ้ง หรือเป็นนักเขียนนิยาย หรือ อย่างน้อยๆ ก็คิดได้ว่าจะปลูกพืชผักสวนครัวแบบออแกนิค (ปลอดสารพิษ) ได้อย่างไร ไปแล้ว
ในวันเสาร์เมื่อไม่นานมานี้ ในห้องลองชุดที่เบียดเสียดไปด้วยผู้คนของทางห้างสรรพสินค้า ฉันลองสวมกางเกงยีนส์ที่ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ชื่อดัง ข้างๆมีนักศึกษาในรองเท้าส้นแหลมสูง บรรดาแม่ๆกับลูกอ่อนที่วุ่นวายอยู่ในรถเข็นเด็ก และหญิงกลางคน ที่ขมิบริมฝีปากมันวาวจรดกัน รายต่อราย เราเข้าไปในห้องเปลี่ยนผ้า และเรียงแถวเพื่อที่จะเข้าไปยืนบนแท่นที่สว่างไสวอันนั้น แท่นที่ถูกล้อมรอบไปด้วยกระจกมากมาย เราโยกย้ายสะโพก แขม่วท้อง และชูคอขึ้นเพื่อจ้องมองตัวเองในท้ายที่สุด
ณ ช่วงนี้ของชีวิต อาลียากลับหลงใหลในโลกรอบๆตัวเธอ ไม่ใช่สิ่งที่เธอมองเห็นภายในกระจกเงา ฤดูร้อนครั้งล่าสุด เธอยืนอยู่บนหน้าผาของบลู ริดจ์ ปาร์คเวย์ จ้องมองไปที่เงาสีทึมของขอบภูเขาระยะไกล ซึ่งยอดของมันต่างถูกปกคลุมไปด้วยปุยเมฆ เธอตะลึงถึงกับอ้าปากค้าง “นี่คือสิ่งที่งดงามที่สุดเท่าที่หนูเคยเห็นมา” เธอกระซิบบอก ดวงตาที่เบิกกว้างของเธอเป็นพยานสะท้อนภาพความงามทั้งหมดไว้ และเธอก็ยืนนิ่งตลึงอยู่อย่างนั้น จนเหมือนว่าตัวเธอคือส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์ กระทั่งเราต้องดึงเธอหลุดจากภวังค์กลับไปที่รถ
ที่โรงเรียนมันแตกต่างกัน ในชั้นเรียนเกรดสี่เด็กผู้หญิงอื่นๆต่างเริ่มให้ความสนใจในเรื่องเสื้อผ้า และความเป็นที่นิยม ไม่กี่สัปดาห์ที่แล้ว เธอบอกกับฉันด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เกี่ยวกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่ง ที่คอยจัดอันดับเด็กผู้หญิงในห้อง ตามระดับการแต่งตัว เสื้อผ้า หน้าผมของพวกเธอ
ฉันเข้าใจได้ในทันทีว่า ในขณะที่การเปิดเผยสรีระ ให้อิสระกับฉันในบางกรณี สำหรับอาลียา เธอค้นพบอิสรภาพแบบใหม่ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ด้วยการเลือกปกปิดเรือนร่างตัวเอง
ฉันไม่รู้หรอกว่า ความสนใจที่อาลียามีต่อเสื้อผ้าแบบมุสลิมนี้จะยืดยาวสักแค่ไหน หากเธอเลือกที่จะยึดมั่นในวิถีอิสลาม ฉันมั่นใจว่า ศรัทธาจะนำพาเธอไปสู่ความอดทน เกียรติยศ และความรู้สึกยุติธรรมด้วยในทำนอง เหมือนกับวิถีที่มันมอบให้กับพ่อของเธอ และเป็นเพราะฉันมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะปกป้องเธอ ฉันเองก็คงจะรู้สึกกังวลว่า สิ่งที่เธอเลือกอาจทำให้ชีวิตการเป็นอยู่ของเธอลำบากขึ้นในประเทศของเธอเอง เมื่อไม่นานมานี้ เธอสามารถท่องจำ อัลฟาฏิหะฮ์ โองการเปิดพระคัมภีร์อัลกุรอานได้แล้ว ทั้งยังคะยั้นคะยอให้พ่อของเธอสอนภาษาอาหรับ เธอยังเป็นนักขี่จักรยานภูเขาผู้ปราดเปรียว ที่ขี่จักรยานร่วมกับฉันบนเส้นทางป่า เนื้อตัวเธอเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน สมกับที่เธอคือผู้นำทางขึ้นห้วย
วันต่อมา ที่ฉันไปส่งเธอที่โรงเรียน แทนที่จะรีบขับออกไปเหมือนที่เคยทำเป็นปกติ ฉันเฝ้าดูเธอเดินผ่านหมู่นักเรียน เธอก้มลงตามน้ำหนักของกระเป๋าสะพายหลัง เหมือนกับว่ากำลังเดินฝ่าพายุอย่างนั้น เธอเคลื่อนไปอย่างมีเป้าหมาย อย่างสันโดษ แบบที่แตกต่างกับฉันสมัยที่มีอายุเท่ากับเธอ แล้วฉันก็ตระหนักในความน่าฉงนสนเท่ห์ของเธอ ที่มีต่อฉัน ในอีกครั้งหนึ่ง
ไม่ใช่เพียงแต่ ผ้าคลุมผมที่ทำให้เธอดูพิศวงแบบนั้น แต่ความสงบ ที่ไม่แยแสว่าใครจะคิดอย่างไรกับเธอ มันเหมือนกับว่าฉันได้พบที่ซ่อนลูกอมฮาโลวีน ซึ่งยังไม่มีผู้ใดได้สัมผัสมาก่อนในลิ้นชักของเธอ ส่วนฉัน ในตอนที่ยังเป็นเด็กกลับคลั่งไคล้กับของหวานต่างๆนาๆ มันเป็นความจริงที่ว่า เธอคงจะเลือกดำลงไปในหนังสือมากกว่า ดำลงไปในมหาสมุทร แบบที่เธอจะตกอยู่ในภวังค์ของการอ่าน กระทั่งไม่ได้ยินเสียงฉันกำลังเรียกเธอจากห้องข้างๆ
ฉันมองดูเธอคุกเข่าลงที่บริเวณทางเข้าโรงเรียน และดึงผ้าที่พับอยู่ออกมาจากทางกระเป๋าหน้า ขณะที่เด็กอื่นๆจะหยิบหมากฝรั่ง หรือลิปกลอส ออกมาแทน จากนั้นเธอก็คลุมผ้าขึ้นเหนือศีรษะ และไหล่ของเธอก็หายไปใต้ผ้าผืนนั้น เหมือนกับผ้าคลุมที่น้องชายของเธอมักจะสวมไว้เวลาเล่นเป็นซุปเปอร์ฮีโร่
ฉันจินตนาการว่า ผ้าคลุมผมนั้นมีพลังวิเศษณ์มากมายที่จะช่วยปกป้องจินตนาการไร้ที่สิ้นสุดของเธอ พร้อมกับความหยั่งรู้ที่หลักแหลม และความดีงามลึกภายใต้จิตใจของเธอไว้ ฉันจินตนาการว่ามันได้คุ้มครองให้เธอสามารถเดินทางผ่านบ้านแห่งกระจกเงา ที่ซึ่งหญิงสาวมากมายต้องตกกลายเป็นเหยื่อในวัยแตกสาว มันเป็นดั่งกันชนปกป้องเธอจากความไม่รู้จักพอใจ ซึ่งโหนอยู่ท่ามกลางจำนวนทางเลือกที่ทวีขึ้นอย่างมากมายบนปลายนิ้วของเรา มันให้ความรู้สึกปลอดภัย ครอบคลุมเหนือเที่ยวบินที่เธอใช้บินไปสู่อนาคต ที่ฉันทำได้เพียงแค่จินตนาการเท่านั้น
เขียนโดย.. คริสตา เบรเมอร์ นักเขียนรางวัลชนะเลิศชาวอเมริกัน – บทความเล่าเรื่องส่วนตัวสะท้อนอารมณ์ชิ้นนี้ ถูกเขียนขึ้นด้วยหัวใจ ทั้งยังคมคาย และลึกซึ้งไปด้วยโลกทัศน์ที่กว้างขวางของผู้เขียน ซึ่งได้ถูกร้อยเรียงไว้ในงานเขียนสไตล์สบายๆ ที่ยวนใจผู้อ่านกว่าทั่วโลก เธอคือนักเขียนรางวัลชนะเลิศ Pushcart Prize ปี 2008 และ Rona Jaffe Foundation Writers (สำนักพิมพ์ร่วมนิตยสาร The Sun ) ปี 2009 และปัจจุบันมีงานเขียนเกี่ยวกับ ชีวิตแต่งงานสองวัฒนธรรมของเธอ ซึ่งเป็นที่ชนะใจผู้อ่านทั้งจากโลกมุสลิม และอื่นๆ
© 2010 Krista Bremer. Pictures by Michael McGregor
This article originally appeared in the September/October 2011 issue of Aquila Style magazine
แปล/เรียบเรียง ดุอาอฺ กุเมล