อิหร่านกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติ (ตอนที่ 2)

1378
เกษตรและปศุสัตว์

ในด้านของเกษตรถือได้ว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับเศรษฐกิจของประเทศ ในด้านของเกษตรและปศุสัตว์ตามสถิติอย่างเป็นทางการในปี 1978 รัฐบาลมีความสามารถที่จะเตรียมสำรับอาหารให้แก่ประชาชนในหนึ่งปีแค่เพียง 33 วันเท่านั้น จึงทำให้จำเป็นจะต้องนำเข้าอาหารจากต่างประเทศ เช่น ไก่จะถูกนำเข้าจากฝรั่งเศส ไข่ไก่จากอิสราเอล แอเปิ้ลจากเลบานอน เนยแข็งจากเดนมาร์ก เป็นต้น แม้ว่าตอนนี้ประชากรของประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าแต่ประเทศอิหร่านสามารถที่จะผลิตให้เพียงพอต่อประชากรที่มีอยู่ได้ ก่อนหน้านี้ในปี 1356 ประเทศอิหร่านสามารถผลิตข้าวสาลีในแต่ละปีได้เพียง 1.5 ล้านตัน และอิหร่านถูกถือว่าเป็นประเทศที่นำเข้าข้าวสาลีมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ในปี 2005 อิหร่านสามารถผลิตข้าวสาลีในปีหนึ่งได้ถึง 14 ล้านตัน จึงทำให้อิหร่านไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำเข้าข้าวสาลีจากประเทศอื่นๆ อีก และนี่คืออีกหนึ่งความสำเร็จของอิหร่านในเรื่องของเกษตรกรและการเพาะปลูก

การผลิตข้าวสารของอิหร่านในปี 1356 มีจำนวนประมาณ 1.1 ล้านตัน และในปี 1379 เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 7.2 ล้านตัน การผลิตข้าวบาร์เลย์จากจำนวน 900,000 ตัน เพิ่มเป็น 3.3 ล้านตัน และการผลิตพืชผักจากจำนวน 2.7 ล้านตัน เพิ่มเป็นจำนวน 15 ล้านตัน ในด้านของปศุสัตว์ก็ได้มีการพัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน  ไข่ไก่ ซึ่งในปี 1978สามารถผลิตได้ 215,000 ตัน แต่ในปี 2003 เพิ่มเป็น 555,000 ตัน การผลิตเนื้อไก่ จากจำนวน 63,000 ตันเพิ่มเป็น 724,000 ตัน  เนื้อสัตว์จาก 587,000 ตัน เพิ่มเป็น 947,000 ตัน  น้ำผึ้งจากจำนวน 6000 ตัน เพิ่มเป็นจำนวน 28,000 ตัน

ตามรายงานขององค์การอาหารและการเกษตรของสหประชาชาติ (FAO) ได้ออกมาประกาศในปี 2004 ว่า อิหร่านเป็นประเทศแรกที่ส่งออกสินค้าเกษตรในตะวันออกกลาง

สภาพชุมชน

ความยากจนและความวุ่นวายต่างๆ ในชุมชนถือเป็นปัญหาหลักและเป็นปัญหาที่สำคัญสำหรับประเทศที่ได้รับการพัฒนาแล้ว ปัจจุบันประเทศอิหร่านได้ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้อย่างมากตรงกันข้ามกับรัฐบาลหรือการปกครองก่อนหน้าเกิดการปฏิวัติ เนื่องจากพวกเขาได้พัฒนาเมืองต่างๆที่สำคัญและเป็นเมืองหลักอาทิเช่น เตฮะราน หลังจากเกิดการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านรัฐบาลได้มีนโยบายเฉพาะในการให้ความสำคัญกับพื้นที่ชนบท ในที่นี้เราจะชี้ให้เห็นถึงบางส่วนของสภาพต่างๆในชนบทที่เกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติ

ในปี 1979 ในชุมชนต่างๆทั่วประเทศมีศูนย์บริการสาธารณสุข 1500 แห่ง และในปี 2003 ศูนย์บริการสาธารณสุขได้เพิ่มเป็น 7345 แห่ง และในปี 1978 ในชุมชนต่างๆทั่วประเทศมีห้องน้ำสาธารณะอยู่ 2500 ที่ แต่หลังจากการปฏิวัติมีจำนวนถึง 16,561 และยังมีอีกหลายโครงการที่รัฐบาลหลังการปฏิวัติประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็น การขยายไฟฟ้าสู่ชุมชนต่างๆ และ พัฒนาพื้นที่ที่ขาดแคลนปัจจัยขั้นพื้นฐานต่างๆ เช่น ถนน การสื่อสารโทรคมนาคม

จำนวนหมูบ้านที่มีไฟฟ้าใช้ในปี 1978 มี 4327 แต่หลังจากการปฏิวัติในปี 2002 ได้มีการพัฒนาจนมีจำนวนถึง 45,359 เพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าจากจำนวนเดิม และเช่นเดียวกันในสมัยปี 1939-1978 ถนนในชุมชนมีอยู่ประมาณ 8000 กิโลเมตร แต่หลังจากการปฏิวัติได้มีการพัฒนาถนนเข้าสู่ชุมชนต่างๆมีความยาวรวมเป็น 86,000 กิโลเมตร

อุตสาหกรรม

ในส่วนของอุตสาหกรรมของประเทศอิหร่านก่อนการปฏิวัตินั้นสินค้าเกือบทุกประเภทถูกนำเข้ามาจากประเทศต่างๆทั่วโลก และมีสินค้าแค่เพียงไม่กี่ประเภทที่เป็นที่ต้องการของสังคมและถูกผลิตในประเทศซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่มีคุณภาพต่ำ และในขณะนี้อุตสาหกรรมของผลิตภัณฑ์ต่างๆ จำนวนมากได้มีการพัฒนาคุณภาพจนกลายเป็นสินค้าที่มีมาตรฐานเทียบเท่ากับประเทศอื่นๆ และในหลายปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมการก่อสร้างก็สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆด้วยตนเอง โดยไม่จำเป็นจะต้องนำเข้าสินค้ามาจากต่างประเทศ

ประเทศอิหร่านถือเป็นประเทศที่ใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมในปริมาณที่สูงโดยการนำเข้ามาจากต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ อุตสาหกรรมของประเทศหลังจากการปฏิวัติก็ถูกปิดล้อมทางด้านเศรษฐกิจและขาดการจัดหาวัตถุดิบในการผลิต  จนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง และเหล่าเจ้าของอุตสาหกรรมในประเทศที่ได้ก่อตั้งอุตสาหกรรมขึ้นมาจากเงินสินเชื่อธนาคารต่างก็ต้องหนีออกจากประเทศ

หลังจากการปฏิวัติรัฐบาลสามารถลดสภาวะการพึ่งพาการนำเข้าสินค้าและวัตถุดิบจากต่างประเทศ และถือได้ว่าเป็นเพราะความเชี่ยวชาญและเทคนิคความรู้เกี่ยวกับภัยคุกคามของอุตสาหกรรมต่างประเทศของรัฐบาลสมัยนั้น ด้วยเหตุนี้หลังจากการปฏิวัติทำให้อิหร่านเป็นประเทศที่มีทรัพยากรที่ยิ่งใหญ่ประเทศหนึ่ง และกลายเป็นประเทศที่มีการพัฒนาอย่างจริงจังเกี่ยวกับโรงงานอุตสาหกรรม การผลิตวัตถุดิบที่สมบูรณ์ และได้มีการเสริมสร้างความเข้มแข็งและขยายอุสาหกรรมปิโตรเคมี การผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในปี 1978 นั้นมีปริมาณ 7.4 ล้านตัน และถูกเพิ่มขึ้นเป็น 12.5 ล้านตันในปี 2003

ณ วันนี้อิหร่านมีความคืบหน้าและประสบความสำเร็จอย่างสูงในเรื่องอุตสาหกรรมอาวุธและโทรคมนาคม ซึ่งสามารถสร้างดาวเทียมสำเร็จ และมีการปล่อยช่องสัญญาณดาวเทียมไปยังประเทศต่างๆ จำนวนหนึ่ง และเช่นกัน อิหร่านประสบความสำเร็จในด้านการผลิตอุตสาหกรรมที่สามารถใช้ผลิตขีปนาวุธและอิเล็กทรอนิกส์ทางทหาร แม้ว่าจะอยู่ในช่วงขณะที่ถูกบอยคอต ถึงขั้นที่ว่าเราสามารถที่จะป้องกันการแทรกแซงด้วยชิอิเล็กทรอนิกส์อย่างง่ายดาย

อุตสาหกรรมการเกษตรและรถ ปัจจุบันอิหร่านส่งออกสินค้าเหล่านี้กว่า 30 ประเทศ

อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ บริษัท Assaluyeh เป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอิหร่านที่ส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และบริษัทนี้สามารถนำเงินเข้าประเทศอิหร่านได้ถึงหนึ่งพันล้านดอลลาร์

อุตสาหกรรมทางทหาร

อิหร่านก่อนการปฏิวัติอาวุธเกือบทุกชนิดถูกซื้อและนำเข้ามาจากประเทศต่างๆ แต่ ณ วันนี้กลายเป็นประเทศหนึ่งที่สามารถผลิตอาวุธที่ทันสมัยที่สุดในโลกได้ สามารถผลิตเรดาร์และอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ในการโจมตีต่างๆ และในปัจจุบันก็ติดอันดับหนึ่งในสิบของประเทศที่ผลิตเกราะและยานพาหนะที่หุ้มเกราะในโลก และในที่นี้เราจะชี้ไปยังโครงการบางส่วนของอุตสาหกรรมทางทหารของอิหร่านที่ได้ดำเนินการแล้ว

ออกแบบการสร้างเครื่องบินรบสายฟ้า ที่สามารถปล่อยขีปนาวุธครั้งเดียวกันถึงสี่ลูก ออกแบบและสร้างเฮลิคอปเตอร์พร้อมทั้งเครื่องยนต์ ผลิตรถถังที่ทันสมัยโดยมีชื่อโครงการว่า Zulfiqar ผลิตรถยนต์ทำลายรถถัง ผลิตเรือรบและเรือดำน้ำ ผลิตขีปนาวุธฟาติห์ 110 (เป็นขีปนาวุธที่ยิงจากพื้นไปยังพื้นที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก) ผลิตขีปนาวุธชะฮาบ (ขีปนาวุธที่มีความเร็วกว่าขีปนาวุธอิสราเอลถึง 3 เท่า)

ต่อสู้กับสารเสพติด

ในอีกด้านหนึ่งของประเทศอิหร่านที่มีความโดดเด่นและประสบความสำเร็จอย่างสูงคือการต่อสู้กับยาเสพติดและผู้ได้ผลประโยชน์โดยแลกกับความตาย อิหร่านได้ค้นพบและทำลายยาเสพติดจำนวนกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของทั่วโลกที่ปรากฏอยู่ตามชายแดนอิหร่าน ด้วยเหตุนี้อิหร่านยังได้รับการยกย่องจากประชาคมโลก และคณะกรรมการการควบคุมยาเสพติด องค์การอนามัยโลก จึงเสนอที่จะตั้งศูนย์อบรบระดับภูมิภาคของตนในประเทศอิหร่าน

http://www.abnewstoday.com/?p=3499อิหร่านกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติ(ตอน1)