บางครั้งผู้คนตั้งคำถามกับฉัน “คุณพูดเรื่องนี้มามากว่า 40 ปีแล้ว มีอะไรดีขึ้นบ้างไหม?” และในความเป็นจริงฉันคงต้องบอกว่า อันที่จริงแล้วมันกลับเลวร้ายไปยิ่งกว่าเดิมซะอีก
ทว่าความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือ ฉันไม่ได้ยืนอยู่ตรงนี้คนเดียวอีกต่อไปแล้ว มีหนังสือ และองค์กร, เว็ปไซต์, ภาพยนตร์ รวมไปถึงผู้คนมากมาย ที่กำลังทำงานในเรื่องแบบนี้อยู่อย่างนับไม่ถ้วน
ฉันเจาะจงไปที่ สื่อโฆษณา เพราะ ฉันคิดเห็นมาโดยตลอดว่า สื่อโฆษณา คือ หนึ่งในอิทธิพลด้านการศึกษาที่ทรงพลังอย่างมาก มันคือ อุตสาหกรรม มูลค่ากว่า 250 พันล้านดอลล่าต่อปี ในสหรัฐอเมริกาอย่างเดียว คนอเมริกัน เข้าถึงสื่อโฆษณามากกว่า 3,000 ชิ้น ต่อหนึ่งวันโดยเฉลี่ย พวกเขาหรือพวกเธอจะใช้เวลากว่า 2 ปี ของชีวิต ดูโฆษณาโทรทัศน์ และเพียงโฆษณาอย่างเดียวเท่านั้น
ตามที่รู้กันดี สื่อโฆษณามีอยู่ไปทั่วทุกหนแห่ง ในโรงเรียนของเรา, ข้างๆ ตึก, สนามกีฬา ในที่สาธารณะ ที่ ป้ายรถเมล์, บนตัวรถเมล์, บนตัวรถ, ในลิฟต์, ในออฟฟิศของหมอ, บนเครื่องบิน หรือแม้แต่บนอาหาร อย่างเช่น ไข่ไก่ ซึ่งพูดได้ว่า เกือบจะทุกสิ่งอย่างในวัฒนธรรมประชานิยมนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นการตลาดทั้งสิ้น
สื่อโฆษณาสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น แถมยังมีอิทธิพลที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนเพิ่มขึ้นกว่าในอดีตอีกหลายขนาด แต่กระนั้น เกือบทุกๆ คนก็ยังคิดไปเองว่า ตัวเองย่อมไม่ตกเป็นเหยื่อของอิทธิพลจากสื่อโฆษณาพวกนี้ ด้วยเหตุนี้เอง ที่ไม่ว่าฉันจะไปที่ไหน สิ่งที่ฉันมักจะได้ยินบ่อยกว่าสิ่งอื่นใดก็คือ: “โอ้ เราไม่แยแสโฆษณาพวกนี้หรอกนะ เราไม่สนใจมันเลย มันไม่มีผลกระทบอะไรต่อเรา” แล้วบ่อยครั้งที่ ฉันก็ได้ยินคำพูดแบบนี้ จากคนที่สวมใส่ หมวกยี่ห้อ Budweiser แต่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง..(หัวเราะ)
อีกสาเหตุหนึ่งที่เราเชื่อว่า เราไม่ได้ถูกสื่อโฆษณาครอบงำ ก็เพราะเราคิดว่าอิทธิพลของโฆษณาที่มีต่อเรานั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทว่า มันกลับสะสม และเหนืออื่นใดมันส่งผลกระทบต่อจิตใต้สำนึกของเรา
บรรณาธิการใหญ่ของ Advertising Age สำนักพิมพ์ใหญ่แห่งหนึ่งที่ตีพิมพ์เรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการโฆษณา เคยได้กล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า-
“มีเพียง 8% จากข้อความของโฆษณาที่เรารับมาได้ด้วยสติ ส่วนที่เหลือจะทำงาน และสร้างความเปลี่ยนแปลง อย่างลึกล้ำเข้าไปใต้ก้นเหวความคิดของเรา”
ฉะนั้น มันจึงไม่ใช่ แค่การมองเห็นภาพต่างๆพวกนี้ครั้งหนึ่ง หรือ สองครั้ง หรือ แม้แต่เป็นร้อยครั้ง เพราะภาพพวกนี้ได้อาศัยอยู่กับเรา เข้าไปในส่วนลึกของความคิด และเราก็ได้นำมันออกมาใช้ โดยไม่รู้ตัวเป็นส่วนมาก
สื่อโฆษณาพวกนี้ ได้สร้างสภาพแวดล้อมหนึ่งขึ้นมา สภาพแวดล้อม ที่เราทุกคนต่างพากันแหวกว่ายอยู่ภายในนั้น เสมือนกับปลาที่ว่ายเวียนอยู่ในน้ำ เปรียบดั่งความยากเข็ญที่จะมีสุขภาพที่ดีได้ เมื่อต้องทนอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมอันเป็นพิษต่อร่างกาย หรือ เฉกเช่น การหายใจเอาสารพิษเข้าปอด หรือ การดื่มน้ำที่เต็มไปด้วยมลพิษ ซึ่งย่อมไม่ต่างอะไรไปจาก ความยากเข็ญที่จะมีสุขภาพที่ดีได้ ท่ามกลางสิ่งที่ฉันขอเรียกมันว่า “สภาพแวดล้อมที่เป็นมลพิษทางวัฒนธรรม”
สภาพแวดล้อม ที่ล้อมรอบเราไว้ด้วยกับภาพที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพต่างๆ ที่ซึ่ง เราต้องเสียสละสุขภาพกาย และสุขภาพจิต อย่างต่อเนื่อง เพียงเพื่อผลประโยชน์ทางกำไรก็เท่านั้น
สื่อโฆษณาขายมากกว่าสินค้า มันขายคุณค่าทางสังคม ขายรูปแบบของความรัก รูปแบบของเพศสัมพันธ์ และรูปแบบของความสำเร็จ และเป็นไปได้ว่า สิ่งสำคัญที่สุด คือ สื่อโฆษณาได้ขาย “ความเป็นปกติ” ไปจนถึงขีดสุด สื่อโฆษณาได้บอกกับเราว่า เราคือใคร และเราควรจะเป็นคนแบบไหน… ฉะนั้นแล้ว สื่อโฆษณาบอกอะไรกับผู้หญิงล่ะ??
มันบอกเราอย่างที่มันคอยบอกเราเสมอๆว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้หญิงก็คือ ‘รูปร่างหน้าตา’ ดังนั้น สิ่งแรกที่พวกนักโฆษณาทำก็คือ การรายล้อมเราไว้ด้วยภาพ ‘ความสวยงามของผู้หญิงในอุดมคติ’
ผู้หญิงจึงเรียนรู้มาตั้งแต่เล็กว่า เป็นความจำเป็นที่เราจะต้องใช้จ่ายเวลา และพลังงานจำนวนมหาศาล และเหนืออื่นใด คือ เงินทั้งหมดที่หามาได้ ดิ้นรนเพื่อให้ได้มาซึ่ง ความสวยงามในอุดมคติอันนี้ ทั้งจำต้องรู้สึกละอาย และรู้สึกผิด เมื่อความพยายามเหล่านั้นต้องประสบกับความล้มเหลว
ขณะที่ ความล้มเหลวกลับเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะ ความสวยงามในอุดมคติ ณ ที่นี้ ก็คือความสวยงาม ที่หมายถึง ความไร้ที่ติ เธอจะต้องไม่มีริ้วร้อย หรือ ความเหี่ยวย่นใดๆ เธอย่อมไม่มีรอยแผลเป็น ไร้จุดด่างพร้อยอย่างแน่นอน และแน่แท้ เธอจะไม่มีแม้แต่รูขุมขน
ถึงแม้ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของความงดงามอันหมดจดนี้จะเป็นอะไรที่ไม่อาจไขว่คว้าได้ก็ตาม ไม่มีใคร มีรูปร่างหน้าตาแบบนี้ แม้แต่ตัวนางแบบเอง และนี่คือความจริง ไม่มีใคร มีรูปร่างหน้าตาหมดจดแบบนี้
สุดยอดนางแบบ ซินดี้ ครอลฟอร์ด (Cindy Crawford) เคยกล่าวไว้ ในโอกาสหนึ่งว่า: “ฉันหวังให้ตัวฉันมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับ ซินดี้ ครอลฟอร์ด”
เธอไม่ได้มี และไม่อาจทำให้ตัวเองมีมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับภาพลักษณ์ของตัวเธอได้ เพราะ นี่คือรูปร่างหน้าตา ที่ได้ถูกสร้างสรรค์มากว่าหลายปี ผ่านการแต่งแต้ม ด้วยเครื่องสำอางนานาชนิดๆ ซึ่งในวันนี้ มันได้ถูกสร้างสรรค์ให้สำเร็จได้ ผ่านความมหัศจรรย์ของวิทยาการด้านการตัดแต่งภาพด้วยคอมพิวเตอร์
ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้ถูกนำมาใช้ เพื่อการดัดแปลงภาพต่างๆมาสักระยะเวลาหนึ่งแล้ว ย้อนกลับไปในปี 1989 พวกเขาตัดแปะ ศีรษะของโอปร้า วินฟรี (Oprah Winfrey) มาวางไว้อยู่บนตัวของ แอน มากาเรต (Anne Magaret) สำหรับลงปกหนังสือ TV Guide…โดยไม่ได้ผ่านการอนุมัติจากทั้งสองคน ในกรณีนี้
และเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา บางครั้ง เราอาจจะกำลังดูโฆษณาโทรทัศน์อยู่ และคิดว่า เรากำลังมองดูผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว เราอาจจะกำลังมองดูผู้หญิงสี่คน (ในร่างเดียว) คือ ใบหน้าของผู้หญิงคนนี้ ผมของผู้หญิงคนนั้น มือของผู้หญิงคนนู้น และก็ขาของผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ผู้หญิง 4 ถึง 5 คนถูกนำมาตัดต่อเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างภาพผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่ง
แม้แต่ดารานักแสดงที่สวยสุดๆแล้ว ก็ยังต้องถูกแปลงร่างด้วยคอมพิวเตอร์:
ภาพ เคร่า ไนท์เล่ (Keira Knightley) ถูกแต่งให้มีหน้าอกที่ใหญ่ขึ้น
พวกเขาทำให้ เจสสิก้า อัลบา มีรูปร่างเล็กลง
เคลลี่ คลากซัน- อันนี้น่าสนใจ เพราะพวกเขาพาดหน้าปกว่า “หุ่นเพรียวลงในแบบของคุณ”
แต่ในความเป็นจริง เธอกลับเพรียวลงในแบบของ โฟโต้ช้อป (โปรแกรมตัดต่อภาพชนิดหนึ่ง)
คุณแทบจะไม่มีโอกาสได้เห็น รูปถ่ายของผู้หญิงที่พิจารณาแล้วว่า ‘สวย’ สักคน ที่ไม่ผ่านการตัดแต่งด้วยโฟโต้ช้อป
เคน แฮร์ริส ช่างแต่งภาพให้กับนิตยสารหนึ่ง บอกกับเราว่า: “ทุกๆภาพถ่ายจะต้องได้ผ่านการตบแต่งอยู่ที่ประมาณ 20 หรือ 30 ครั้ง,”
“ภาพจะถูกตีกลับมา หรือส่งไปยัง ช่างแต่งภาพหลายๆคน รวมไปถึงลูกค้า และเอเย่น เพื่อการพิจารณา” เขากล่าวเพิ่ม
ดังนั้น ภาพพวกนี้จึงไม่ใช่ภาพจริง ถูกดัดแปลง ได้รับการตบแต่ง สร้างสรรค์ขึ้นมา ในขณะเดียวกันที่ ผู้หญิง และเด็กสาวในสังคมจริงก็ กำลังเปรียบเทียบตนเอง กับภาพลักษณ์ที่ไม่จริง ที่ตนเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้ ทั้งๆที่มันคือความสวยงามในอุดมคติ ที่ไม่อาจเป็นจริงได้ สำหรับทุกๆคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้หญิงที่ไม่ได้มีผิวขาวแต่กำเนิด
โดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงในทุกๆชาติพันธ์สีผิวจะเห็นว่า ความงาม ก็คือ การที่พวกเธอมีสีผิวที่ใกล้เคียงกับ ผิวสีขาวในอุดมคติเท่านั้น หรือ เมื่อพวกเธอมีสีผิวโทนสว่าง มีผมตรง มีรูปลักษณะเหมือนคนขาว ที่แม้แต่ บียอนเซ่ ก็มีผิวที่สว่างขึ้นก็เพื่อสิ่งนี้
ผู้หญิงผิวสี มักจะถูกจัดให้คู่กับฉากถ่ายทำแบบป่า สวมใส่เสื้อขนสัตว์ลายเสือดาว เหมือนกับว่า พวกเธอคือ สัตว์หายากจำพวกหนึ่ง
ผลการวิจัยในปัจจุบันระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ภาพลักษณ์ความสวยงามในอุดมคติเหล่านี้ ส่งผลกระทบกับการให้เกียรติตนเองของผู้หญิง.. ก็แล้วทำไมมันจะไม่ส่งผลกระทบล่ะ?
และพวกมันยังมีอิทธิพลต่อ ความรู้สึกของผู้ชายที่มีให้แก่ผู้หญิงในชีวิตจริงที่พวกเขาร่วมใช้ชีวิตด้วยอีก เมื่อพวกผู้ชายได้ถูกแสนอให้ดูรูปภาพของสุดยอดนางแบบทั้งหลาย ระหว่างการวิจัย พวกเขาก็แสดงอาการตัดสินผู้หญิงในชีวิตจริงด้วยความหยาบคายมากกว่าเดิม
พวกเราต่างเติบโตขึ้นมา ในวัฒนธรรมที่ เรือนร่างของผู้หญิง ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นเหมือนกับ “สิ่งของ” และ “วัตถุ”
ในภาพนี้ เธอกลายมาเป็นขวดเครื่องดื่ม Michelob.
ส่วนในโฆษณาชิ้นนี้ เธอกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวิดิโอเกม
และภาพลักษณะเช่นนี้ ก็มีอยู่ไปทั่วทุกที่ ในสื่อโฆษณาทุกๆรูปแบบ
แน่นอนว่า มันส่งผลกระทบกับ การให้เกียรติตนเองของผู้หญิง และมันยังได้ทำบางสิ่ง ซึ่งมีเล่ห์เหลี่ยมยิ่งไปกว่านั้นอีก คือมันได้สร้างเงื่อนไขอันหนึ่ง ที่ซึ่งทำให้การใช้ความรุนแรงต่อสตรีเกิดความแพร่หลายเพิ่มมากยิ่งขึ้น
ฉันไม่ได้หมายความว่า โฆษณาแบบนี้ เป็นปฐมเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดความรุนแรงต่อสตรี มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น- แต่การเปลี่ยนให้คนๆหนึ่ง กลายมาเป็นเพียงแค่ สิ่งของ (หรืออะไรก็ตามที่ไม่ใช่คน) มักจะเป็นจุดเริ่มต้น ที่ได้สร้างความชอบธรรมให้กับการใช้ความรุนแรงต่อใครคนนั้นมาโดยเสมอๆ
เราพบเห็นสิ่งนี้ ในลัทธิเหยียดสีผิว, ลัทธิที่เกลียดชังพวกที่รักเพศเดียวกัน และในกรณีของผู้ก่อการร้าย มันอยู่ในสารระบบเดียวกันมาโดยตลอด เมื่อเขา ถูกจัดว่า ไม่ใช่ ‘คน’ ดังนั้น ความรุนแรงต่อเขา จึงกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และ แนวคิดแบบนี้ ก็ได้ถูกนำไปปฏิบัติ ต่อผู้หญิงในสังคมเป็นที่เรียบร้อยและอย่างต่อเนื่องแล้ว…
ดังนี้แล้ว ความรุนแรง การปรามาส เหยียดหยาม จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของผลพวงที่ตามมาจาก การนำเสนอนามธรรมในรูปของวัตถุ ในลักษณะที่คล้ายกันนี้
ปัจจุบัน ผู้หญิง ถูกลดค่าให้กลายมาเป็นเพียงวัตถุ ในหลายๆรูปแบบ: เช่น ในโฆษณา เครื่องดื่ม แอลกอฮอลล์ Heineken ที่ได้เปลี่ยนผู้หญิงคนหนึ่งให้กลายเป็น ‘ถังบรรจุเบียร์’ ตามความใฝ่ฝันของเด็กหนุ่มเที่ยวผับนั่นเอง
หรือในอีกกรณีหนึ่งที่ เรือนร่างของผู้หญิงถูกตัดเป็นส่วนๆตามโฆษณาต่างๆ พวกเขาจะเฉือนเอาแค่บางส่วน หรือเจาะจงไปที่บางส่วน ซึ่งแน่นอน มันคือวิธีที่ลดค่าความเป็นมนุษย์มากที่สุด เท่าที่คุณจะกระทำได้ต่อใครสักคน
ไม่ว่าเราจะมองไปทางไหน เรือนร่างของผู้หญิงได้ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสิ่งของ และบ่อยครั้งที่กลายเป็นเพียงแค่บางชิ้นส่วนของสิ่งๆนั้น
และปัจจุบัน เด็กผู้หญิงทั้งหลายก็ได้รับข้อความจำพวกนี้ ในช่วงอายุที่ยังน้อยอยู่เป็นอย่างมาก
ข้อความที่บอกกับพวกเธอว่า พวกเธอจำต้องเป็นคนที่สวย คนที่ร้อนแรง เซ็กซี่มากๆ และผอมเพรียวสุดๆ แบบที่เป็นไปไม่ได้
และในขณะเดียวกัน พวกเธอก็ได้รับอีกข้อความหนึ่งด้วย ที่บอกกับพวกเธอว่า พวกเธอจะต้องประสบกับความล้มเหลว เพราะมันไม่มีหนทางใด ที่พวกเธอจะสามารถเอื้อมไปคว้าความสวยงามในอุดมคติอันนี้ได้จริงๆ
เด็กผู้หญิงมักจะมีความรู้สึกที่ดีต่อตัวเอง เมื่อพวกเธออายุได้ประมาณ 8, 9, และ 10 ปี แต่เมื่อพวกเธอเติบโตขึ้นในวัยแตกสาว พวกเธอก็พุ่งชนเข้ากับกำแพงอย่างจัง และอย่างไม่ต้องสงสัย กำแพงอันนี้ได้ขว้างกั้นพวกเธออย่างร้ายกาจ ด้วยการ เน้นย้ำถึงความสมบูรณ์แบบทางกายภาพที่พวกเธอจำต้องมี
ดังนั้น เด็กผู้หญิงจึงเรียนรู้มาตั้งแต่เล็กๆ ว่า ‘รูปร่างหน้าตา’ คือสิ่งสำคัญอันดับแรก ที่ผู้คนจะใช้ตัดสินเธอ
โฆษณาชิ้นนี้ มาจาก นิตยสารวัยรุ่น มันเขียนไว้ว่า: “เขาบอกว่า สิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้ คือนิสัยใจคอที่ดีของเธอ.. เขาโกหก”
ดังนั้น เด็กผู้หญิง จึงได้รับข้อความหนึ่ง ที่บอกกับพวกเธอว่า มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับนิสัยที่ดีของพวกเธอ แต่มันขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ของพวกเธอเมื่อสวมใส่กางเกงยีนส์ต่างหาก
โดยพื้นฐานแล้ว เราถูกบอกให้เข้าใจว่า ผู้หญิงจะสามารถเป็นที่ยอมรับได้ในสังคม ก็ต่อเมื่อพวกเธอแลดูอ่อนเยาว์ มีผิวพรรณขาวเนียน หรือ อย่างน้อยที่สุด คือ มีผิวพรรณสดใส หมดจด ไร้ที่ติ เรียบเนียน และผุดผ่อง
และอะไรก็ตามที่เบี่ยงเบนไปจาก ความสวยงามตามอุดมคติ อันนี้ ย่อมต้องพบกับ คำดูถูก ดูแคลน ไปจนถึงการถูกเกลียดชัง
ผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่ามีรูปลักษณ์ขี้เร่ จึงถูกเยาะเย้ย ถากถาง กลายเป็นตัวตลกอยู่ในแคมเปญของโฆษณาต่างๆ
เช่น ในโฆษณาชิ้นนี้ ของพรีเมียร์ไลท์เบียร์ “Beer Goggles #2.”
ซึ่งจุดขายของมันก็ คือ เครื่องดื่มเบียร์ที่มีปริมาณแอลกอฮอลล์อยู่เพียง 2.9% ดังนั้น ผู้ชายจึงมีความเสี่ยงน้อยกว่าที่จะเผลอเข้าไปจีบผู้หญิงหน้าตาขี้เหร่ เมื่อเลือกดื่มเบียร์ชนิดนี้
แม้ว่า โฆษณาจำพวกนี้ จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อความตลกขบขัน แต่ข้อความที่มันได้ส่งไปให้กับเด็กสาวและผู้หญิงก็ค่อนข้างที่จะชัดเจน ว่า หากคุณไม่ได้มีความสวยงามแบบที่ยอมรับได้ในสังคม คุณก็จะกลายเป็นเพียง วัตถุหนึ่ง ที่ไม่มีใครให้เกียรติ ที่ต้องถูกเยาะเย้ย ถากถาง คุณค่าของคุณ ขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก พวกเขาจะ “ประเมินคุณด้วยกับ ส่วนโค้งส่วนเว้านั่น”
ดังนั้น จึงไม่แปลกเลย ที่ ‘โรคการกินผิดปกติ’ (หรือ eating disorder: อาการป่วยทางจิตชนิดหนึ่ง) จะเกิดการแพร่ระบาดในประเทศของเรา ทั้งมันยังเพิ่มสูงขึ้นไปทั่วโลก
ขณะที่ฉันได้พูดเรืองนี้มานานมากพอสมควร และคิดมาโดยตลอดว่า นางแบบทั้งหลายคงจะไม่ผอมลงไปมากกว่านี้แล้ว แต่พวกเธอก็กลับผอมลงจริงๆ .. พวกเธอผอมลง และผอมลง และผอมลงเข้าไปอีก
นี่คือ แอนนา คาโรลีนา เรสตัน (Ana Carolina Reston) นางแบบที่เสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว (2006) ด้วยโรค anorexia (โรคกลัวอ้วน) เธอมีน้ำหนักเพียง 8 ปอนส์ เท่านั้น และในตอนนั้น เธอก็ยังคงเดินแบบอยู่
เมื่อนางแบบไม่สามารถผอมไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว โฟโต้ช้อปจึงเข้ามาช่วยเหลืองานในส่วนนี้
มีการเปิดโปงอย่างมากมาย เกี่ยวกับภาพของ นางแบบสาว ฟิลิปปา เฮมิลตัน (Filipppa Hamilton)
ที่ได้รับการตัดแต่งผ่านเครื่องมือดิจิตอล โดยการทำให้ศีรษะของเธอมีขนาดใหญ่กว่า เชิงกรานของเธอ ซึ่งในทางกายวิภาค มันถือเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
และภาพทางด้านซ้ายนี่ ก็คือรูปร่างจริงของเธอ
ซึ่งทันทีหลังจากที่สัญญาว่าจ้างของเธอสิ้นสุดลง เธอได้อ้างว่า: “พวกเขาไล่ฉันออก เพราะพวกเขาบอกว่า ฉันมีน้ำหนักเกิน และไม่สามารถสวมใส่เสื้อผ้าของพวกเขาได้อีกต่อไป”
เช่นนั้นแล้ว แฟชั่นดีไซเนอร์ทั้งหลายคิดว่า ผู้หญิงคนนี้อ้วนเกินไปหรือ?
แม้แต่ บรรณาธิการของนิตยสารบางเล่มก็แสดงความกังวลมา ณ ที่นี้ด้วย ตามที่อเล็กซานดร้า ชุลแมน(Alexandra Shulman) บรรณาธิการ นิตยสารสตรี Vogue ประเทศอังกฤษ เมื่อเร็วๆนี้ได้ กล่าวหา ดีไซน์เนอร์ชั้นนำของโลกบางคน กรณีที่พวกเขาได้ส่งตัวนางแบบผอมเพรียวเป็นอย่างมากที่สุด เข้าสู่แวดวงนิตยสารแฟชั่น โดยไม่แยแส ถึงความกังวลของสังคม เกี่ยวกับ โรคกินอาหารผิดปกติ ที่เพิ่มขึ้นสูงในช่วงนั้น
เธอบอกว่า พวกดีไซน์เนอร์ส่งเสื้อผ้าขนาดเล็กมากๆ ไซส์ดับเบิ้ล 0 มาให้ เสื้อผ้าที่นางแบบส่วนมาก แม้จะเป็นนางแบบที่ผอมที่สุด ก็ยังไม่สามารถใส่เสื้อพวกนั้นได้จุ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงจำเป็นต้องเรียกใช้ นางแบบที่ผอมอย่างผิดปกติมาถ่ายแบบแทน
ด้วยความเป็นสากลของสื่อและโฆษณา ภาพลักษณ์ความสวยงามในอุดมคติของชาวอเมริกันจึงแพร่หลายไปทั่วทุกที่ ทั้งยังเข้าไปเปลี่ยนแปลงความหลากหลายทางด้านวัฒนธรรมอื่นๆ เช่นนี้ นางแบบ ในโฆษณาที่เป็นเหมือนสื่อกลาง ระหว่างผู้ชมทั่วโลก จึงอยู่ในรูปลักษณ์ของหญิงที่มีความอ่อนเยาว์ และมีผิวพรรณขาวผ่อง และปกติก็จะมีผมสีบลอนด์ทอง และตาสีฟ้า โดยไม่สนว่าผู้ชมทั้งหลายจะมีสีผิว หรือรูปร่างทางพันธุกรรมเป็นอย่างไร
เจ้าของผลงานวิจัยที่มีชื่อเสียง แอน เบกก้า (Anne Becker) ได้พบการเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ของโรคการกินผิดปกติ ในเด็กสาวของเมือง ฟีจี ไม่นานหลังจากที่โทรทัศน์ได้ถูกนำเสนอเข้าสู่วัฒนธรรมของพวกเธอ
ดูเหมือนว่า ‘วัฒนธรรมประชานิยม’ ของเราจะมีความสามารถทำให้ผู้หญิงไม่ว่าจะมาจากที่ใดๆ หรือในทุกๆที่ เกิดความรู้สึกแย่เป็นอย่างมากต่อตัวเอง
ในผลสำรวจเมื่อปี 1998 พบว่า “50% จากเด็กผู้หญิงที่บอกว่า พวกเธอดูโทรทัศน์ สามคืน หรือ มากกว่านั้น ต่อสัปดาห์ มองว่าตัวเอง “ใหญ่หรืออ้วนเกินไป”
ทว่า มันไปไกลมากกว่า แค่ ความคลั่งไคล้ในรูปร่างผอมบาง เพราะการทำให้เด็กผู้หญิงมีรูปลักษณ์ผอมบาง อีกนัยหนึ่ง หมายถึง การเพิกเฉยต่อพวกเธอ
ตามที่เรามักจะเห็นภาพเด็กผู้หญิงในโฆษณาทำท่าทางปิดปากตัวเอง โดยเฉพาะในนิตยสารวัยรุ่น ด้วยการยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง หรือไม่ก็เอาสิ่งหนึ่งขึ้นมาปิดปากตัวเอง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ภาษากายของผู้หญิงก็เช่นเดียวกัน พวกเธอมักจะถูกจัดท่าให้อยู่ในรูปลักษณ์ของผู้ถูกกระทำ อ่อนแอ ซึ่งมีความแตกต่างเป็นอย่างมากกับภาษากายของเด็กผู้ชาย หรือ ผู้ชาย
ตามที่นางแบบมักจะถูกจัดให้อยู่ในท่าที่ดูทึ่มเอามากๆ ขณะที่โดยทั่วไปแล้ว นายแบบจะถูกจัดให้ดู มีศักดิ์ศรี มีความเข็มแข็ง แม้แต่ในรูปลักษณ์ของนายแบบที่ยังเป็นเด็กอยู่
ผู้หญิง ถูกกรอกหูมาว่า ความเซ็กซี่ ก็คือ การเป็นเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ดังนั้น ผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่แล้วบางคนจึงมักจะถูกจัดวางท่าทางหลายๆแบบให้เหมือนกับเด็กๆ ไปทั่ว ในสื่อโฆษณา วงการแฟชั่น และในวัฒนธรรมประชานิยมทั่วๆไป
ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงมักจะเห็น ผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่แล้วบางคน แต่งตัวเหมือนกับเด็ก ไม่ก็ ทำท่าเหมือนกับเด็กๆ อย่างใด อย่างหนึ่ง
เรายังเห็นภาพนางแบบที่มีหัวค่อนข้างโตกว่าตัว ในลักษณะที่เหมือนกับเด็ก บ่อยครั้งอีกด้วย
ตาของพวกเธอจะโตมากๆ พวกเธอจึงดูเหมือนกับเด็กเล็กๆ แม้ว่าในความเป็นจริง ใบหน้านั้นจะวางอยู่บนเรือนร่างของผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม
อินเตอร์เน็ต ได้ทำให้ทุกๆคนเข้าถึงสื่ออนาจารได้ง่ายดายขึ้น
สื่ออนาจาร ในปัจจุบัน ไม่เพียงแค่เข้าถึงได้เท่านั้น แต่อันที่จริงแล้วมันกลับหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วยซ้ำไป และด้วยเหตุนี้ มันจึงกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้มากขึ้นในสังคม
ภาษาที่ใช้และภาพลักษณ์ของสื่ออนาจาร ได้แทรกเข้ามาอยู่ในสื่อกระแสหลัก มันกลายมาเป็นอะไรที่เจ๋ง และน่าเป็นห่วง
ราชินีดาวโป๊ อย่าง เจน เจมส์สัน สามารถปล่อยอุตสาหกรรมแฟชั่นของเธอได้ในสังคม
ดาราหนุ่มสาวลอกเลียนแบบพฤติกรรมของดาวโป๊ต่างๆ
ในที่นี่เรามี ไมลี่ ไซรัส (Miley Cyrus) กำลังเต้นรูดเสา ในพิธีมอบรางวัล music awards ceremony
ฉะนั้น เด็กผู้หญิงจึงได้รับการส่งเสริมให้ นำเสนอตัวเองในแบบของนักเต้นระบำเปลื้องผ้า หรือ ดาวโป๊ พวกเขาได้รับการส่งเสริมให้สวมใส่ กางเกงในสายเดี่ยว หรือ จี-สตริง, ให้กล้าส่งภาพอนาจารของตัวเองไปให้กับแฟนหนุ่มผ่านทางโทรศัพท์มือถือ, ให้กลายเป็นคนง่ายๆในเรื่องเพศสัมพันธ์ โดยไม่คาดหวังสิ่งเล็กน้อย หรือสิ่งใดๆกลับคืน เพราะเด็กผู้หญิงเรียนรู้มาตั้งแต่เล็กๆว่า พฤติกรรมทางเพศ และรูปลักษณ์ของพวกเธอ คือสิ่งที่สังคมยกย่อง
พวกเธอเรียนรู้ที่จะทำให้ตัวเองกลายเป็นเครื่องมือทางเพศ และมองเห็นตัวเองอย่าง วัตถุหนึ่งๆ พวกเธอได้รับการส่งเสริมให้มองเห็นสิ่งเหล่านี้ ว่าเป็นสิ่งที่พวกเธอเลือกเอง เหมือนกับใบประกาศมอบฉันทะใบหนึ่ง ที่ได้วางกรอบการนำเสนอตัวเองใหม่อีกครั้ง ในรูปแบบที่มีความซ้ำซากเป็นที่สุด และในหนทางที่ถูกสมมุติขึ้นจนเป็นเหมือนประเพณีหนึ่ง ให้กลายมาเป็น ‘เสรีภาพ’ ประเภทหนึ่ง
เมื่อวัฒนธรรมเสนอหนทางเดียวให้แก่ผู้หญิง คือ ต้องเป็นคนเซ็กซี่ มันจึงยากที่จะคิดเห็นว่า สิ่งนี้คือทางเลือกที่ผู้หญิงต้องการเลือกอย่างแท้จริง
ในปี 2007 สมาคมนักจิตวิทยาอเมริกัน (American Psychological) เผยแพร่รายงาน ด้วยกับบทสรุปที่ว่า เด็กผู้หญิง ที่รับเห็นภาพที่มีการใช้ เพศเป็นเครื่องมือสื่อสารต่างๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย มีแนวโน้มที่จะประสบกับ 3 ปัญหาสุขภาพจิต ที่เป็นกันมากในหมู่ เด็กผู้หญิง และสตรี คือ สภาวะซึมเศร้า, สภาวะการกินอาหารผิดปกติ และสภาวะการให้เกียรติตนเองน้อยเกินไป
ทว่า ภาพลักษณ์พวกนี้ ไม่ได้ถูกสร้างมาด้วยเจตนาที่จะขายเรื่องทางเพศให้กับเรา เพราะเป้าหมายของมันคือ เพื่อขายการชอปปิ้งให้กับเราต่างหาก มันถูกออกแบบมา เพื่อการโปรโมท สังคมแห่งการบริโภค อุปโภค (บริโภคนิยม) และไม่เพียงแค่ในวัยเด็กเท่านั้น แต่ตลอดชีวิตของเรา
ในปัจจุบันนี้ เรายังต้องเผชิญกับอีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมาก เมื่อไม่กี่ปีมานี้ คือ การเพิ่มขึ้นของสื่อโฆษณาที่ลดความเป็นมนุษย์ให้กับผู้ชาย
อย่างชัดเจน เราเริ่มเห็นโฆษณาต่างๆมากขึ้น อาจจะไม่ถึงขอบเขตที่เราเห็นได้จากสื่อโฆษณาผู้หญิง แต่เราเห็นโฆษณาที่มากขึ้น กว่าที่เราเคยเห็น… โฆษณาที่ทำให้ผู้ชายกลายเป็นเหมือนวัตถุ
ทว่ามันมีโลกแห่งความแตกต่างอยู่ เมื่อเปรียบเทียบกรณีที่ผู้ชายถูกทำให้กลายเป็นวัตถุ กับกรณีเดียวกันของผู้หญิง เมื่อผู้ชายถูกทำให้กลายเป็นเหมือนวัตถุ โดยทั่วไปแล้ว พวกเขาจะถูกแต่งเติมให้ดูบึกบึนขึ้น แข็งแรงขึ้น และดูมีอำนาจมากขึ้น ขณะที่ เมื่อผู้หญิงถูกทำให้กลายเป็นเหมือนวัตถุ พวกเธอจะมีลักษณะบอบบางลง อ่อนแอลง และมีอำนาจที่น้อยกว่า
กระนั้น สิ่งที่สำคัญก็คือ เหล่านี้ไม่ใช่ผลกระทบที่ตามมาจาก การทำให้ผู้ชายกลายเป็นเหมือนวัตถุ เพราะ ผู้ชายไม่ได้อาศัยอยู่ในโลก ที่เสี่ยงต่อการถูกข่มขืน ถูกคุกคามทางเพศ หรือ ถูกทำร้าย หรืออย่างน้อยที่สุด ผู้ชายผิวขาวไม่ได้อยู่ในโลกแบบนี้อย่างแน่นอน… โลกที่ผู้หญิง และเด็กผู้หญิงอาศัยอยู่
ปัญหาที่ร้ายแรงกว่า สำหรับผู้ชาย ก็คือ บ่อยครั้งที่ ความเป็นชาย มักจะถูกเชื่อมโยงเข้ากับ ความรุนแรง แล้วเด็กผู้ชายก็เติบโตมาบนโลกที่แสดงให้พวกเขาเห็นอย่างต่อเนื่องว่า ผู้ชายคือ อาชญากร มีความโหดร้ายป่าเถื่อน พวกเขาเติบโตมาบนโลกที่ส่งเสริมให้พวกเขาเป็นคนขึงขัง ก้าวร้าว หรือ เป็นคนเลือดเย็น ตายด้าน
โฆษณาจากแปปซี่: “นี่คุณกำลังพูดกับผม?”
แม้ว่านี่จะเป็นแค่ มุกตลก แต่นั่นก็คือ เด็กทารกชายคนหนึ่งนะ
มันชัดเจนว่า ภาพลักษณ์ของผู้ชายก็ถูกบิดเบือนไปเช่นเดียวกัน แต่ในทางที่ต่างไปจาก ภาพลักษณ์ที่ถูกบิดเบือนไปของผู้หญิง ซึ่ง ภาพในด้านลบหรือ ภาพที่ถูกบิดเบือนไปของผู้หญิง ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อความรู้สึกที่ผู้ชายมีแต่ผู้หญิงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันยังส่งผลกระทบลามไปถึงทุกๆสิ่งที่มีความเป็นผู้หญิงอีกด้วย
ดังนั้น สิ่งที่ถูกประกาศออกมา ไม่ได้เป็นแค่เพียงการดูแคลนแต่ผู้หญิงเพียงเท่านั้น แต่คือการดูแคลน อันรวมไปถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีลักษณะของความเป็นเพศหญิง
ด้วยคุณสมบัติของความเป็นมนุษย์ ที่เราทุกคนต่างแบ่งปันกัน, ที่เราทุกคนจำเป็นต้องมี, ที่เราทุกคนมีศักยภาพมากพอที่จะพัฒนามันได้ ได้ถูกแบ่งออก เป็นฝักฝ่าย ขึ้นทะเบียน ความเป็นชาย เป็นหญิง
และหลังจากนั้น ความเป็นหญิง ก็ถูกลดคุณค่าลงมาอย่างต่อเนื่อง อันเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงไม่ให้เกียรติตนเอง และไม่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน และเป็นสาเหตุทำให้ผู้ชายไม่เพียงแต่ ไม่ให้เกียรติผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังลามไปถึงการไม่ให้เกียรติ คุณสมบัติใดๆก็ตามที่ได้ถูกตราหน้าว่าคือ “เพศหญิง” จากบรรทัดฐานของวัฒนธรรม
และ ณ ที่นี่ ฉันหมายถึง คุณสมบัติ จำพวกเช่น ความกรุณาปรานี, ความร่วมมือร่วมใจ, ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น, ความหยั่งรู้โดยสัญชาตญาณ และ ความอ่อนไหว
ฉะนั้นแล้ว เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้?
อันดับแรกคือ เราต้องรู้จักตระหนัก รู้จักให้ความสนใจ และรับรู้ว่า สิ่งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อเราทั้งหมด
สิ่งที่ฉันกำลังพูดถึง คือปัญหาด้านสาธารณสุข ความคลั่งไคล้ในเรือนร่างผอมบาง คือปัญหาด้านสาธารณสุข พวกเขากดขี่เราด้วย ‘ความงดงามในอุดมคติ’, ความรุนแรงต่อสตรีเพศ เหล่านี่คือ ปัญหาด้านสาธารณสุข ที่ส่งผลกระทบกับเราทุกคน และปัญหาด้านสาธารณสุขนี้ ก็มีทางแก้เพียงทางเดียว คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมนั้นๆ
เราต้องการ นักเคลื่อนไหวพลเมืองอีกหลายๆคน เราต้องการพลังด้านการศึกษา เราต้องปรึกษาหารือกัน ต้องมีความรู้เท่าทันสื่อ เราต้องทำงานร่วมกันเพื่อเปลี่ยนแปลง บรรทัดฐานทางสังคม และเจตคติของผู้คน
ในระหว่างนั้น เราเองก็จำเป็นที่จะต้องหาแนวทางในการทำลายเรื่องราวเหล่านี้ เรื่องราวที่สื่อโฆษณาพูดกับเรา เกี่ยวกับตัวเรา และความสัมพันธ์ต่างๆในชีวิตของเรา นักโฆษณาจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ ด้วยความสมัครใจ เพราะ ความรู้สึกแย่ที่เรามีให้กับตัวเราเอง คือ สิ่งที่คอยเกื้อหนุน ทำกำไรให้กับพวกเขา (ผ่านการอุปโภค บริโภคของเรา)
ดังนั้น เราจึงต้องออกมาพูด ประท้วง ประกาศให้ชัดเจน เพราะการลุกขึ้นของเรา มันไม่ใช่สิ่งที่ต้องผ่านการตรวจพิจารณาใดๆเลย (Censorship) เราครองเสรีภาพในการพูดที่เหนือกว่าสื่อโฆษณาพวกนั้น
กระนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือ การเข้าไปมีส่วนร่วมในอะไรก็ตามที่จะนำเราไปสู่ความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เพียงแต่ในเรื่องของสื่อโฆษณานี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะ ทัศนคติแบบนี้ กำลังไต่ลึกอยู่ภายในวัฒนธรรมของเรา ที่ซึ่งมันส่งผลกระทบกับเราทุกๆชีวิต อย่างลึกซึ้ง ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
ความเปลี่ยนแปลงจะต้องเป็นไปด้วยความจริงจัง และครอบคลุมทุกที่ อย่างสากล และมันพึ่งพิงอยู่บนความตระหนัก ความตื่นตัวของผู้คน, บนสังคมที่อุดมไปด้วยปัญญาชน คือ ประชาชนที่เห็นตัวเองเป็น ‘พลเมือง’ ของสังคมโดยสำคัญ ไม่ใช่ ‘ผู้บริโภค’ เป็นหลัก
การออกมาพูด อาจจะน่ากลัวก็จริง..การลุกขึ้นยืนหยัดในหนทางนี้ อาจจะน่ากลัวก็จริง แต่เมื่อเรามีคนมากขึ้น และมากขึ้น ทั้งหญิง และชาย ต่างมีแรงกล้าที่จะทำสิ่งนี้แล้วไซร้ สภาพแวดล้อมอันย่ำแย่นี้ก็จะเปลี่ยนไป
สิ่งที่อยู่เป็นเดิมพันชีวิตของเรา ชาย และ หญิงทุกคน แท้จริงแล้วก็คือ ความสามารถในการครอบครองเอาไว้ ซึ่ง ‘เสรีภาพในการเลือก’ วิถีชีวิตของตน ด้วยตนเองอย่างแท้จริง
****************************************************************************
วิดีโอคำบรรยาย โดย Jean Kilbourne
https://www.youtube.com/watch?v=HqksTcYLBmw&feature=youtu.be