บทที่ 1 เหตุผลที่คุณต้องศึกษาเรื่อง อิมามมะฮดี (อญ)
เหตุผลหลักที่ทุกคน ทั้งเป็นมุสลิม หรือ ไม่ใช่ มุสลิม ควรศึกษา เกี่ยวกับเรื่องราว ของ บุรุษผู้จะมาเปลี่ยนโลกนั้น มีดังนี้
1 เสียงเรียกร้องจากมโนธรรมสำนึก และคุณธรรมของมนุษย์
ทุกสายตาต่างรอคอย การเปลี่ยนแปลงของโลก ต่างมีความหวังต่ออนาคตอันสดใส โลกที่เต็มไปด้วย ความยุติธรรม และการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความดีงาม ความหวังเหล่านี้ล้วนฝังลึกอยู่ในจิตใจของพวกเราทุกคน เวลา และสถานที่ไม่อาจแยกมนุษย์ออกจากความหวังนี้ได้ มนุษย์เราต่างหวังว่าวันหนึ่งจะมาถึง วันที่โลกอยู่ภายใต้ร่มเงาของผู้นำที่เหมาะสม วันที่โลกจะรอดดพ้นจากหายนะต่างๆด้วยการเปลี่ยนแปลงของเขาผู้นั้น
จากหลักการนี้ กล่าวได้ว่า มนุษย์ทุกคนต่างมีความรัก และปราถนาที่จะเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับชีวิตของเขา ไม่ว่าจะด้านด้านวัตถุ หรือจิตวิญญาณ พวกเขาจึงหวังที่จะมีวันแห่งการปฏิวัติของผู้ที่จะช่วยเหลือ นำพาชี้นำพวกเขาไปสู่คุณธรรมที่แท้จริงของมนุษย์ ผู้จะช่วยเหลือพวกเขาให้รอดพ้นจากความขมขื่น และ ความเจ็บปวดที่ผ่านมา พวกเขาต่างรอคอยบุคคลเช่นนี้ คนที่จะเปลี่ยนแปลงโลก คนที่จะแก้ไขทุกๆสิ่งให้ถูกต้อง คนที่จะขจัดความอยุติธรรม และการกดขี่ทั้งมวลให้หายไป มนุษย์กำลังรอคอยบุคคลเช่นนี้
2 การทำนายของศาสนาต่อยุคสุดท้ายของมนุษย์
หากเราศึกษาคำสอนของแต่ละศาสนา จะเห็นว่า ศาสนาใหญ่เกือบทุกศาสนา,ศาสนาจากฟากฟ้า ต่างทำนาย พยากรณ์ อนาคตในยุคสุดท้ายในรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน มันคือจุดร่วมของทุกศาสนาที่จะเชื่อมรอยต่อของอนาคต ศาสนาเหล่านี้จะทำนายถึงอนาคตของยุคหนึ่ง คือ ยุคที่เต็มไปด้วยความรุ่งโรจน์ ความสุขของมวลชน ความยุติธรรม ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หรือ ยุคที่ สิงโตกับแกะ สามารถดื่มน้ำร่วมลำธารได้ ยุคที่จะไม่มีใครยากจน ยุคที่ทุกคนต่างได้รับความยุติธรรม ยุคที่เต็มไปด้วยความดีงาม และสิริมงคล ในยุคนั้น ความหวั่นวิตก ความหวาดกลัว ถูกขจัดหายไป ,และในยุคนั้น จะมีบุรุษผู้หนึ่งปรากฎ ตามคำทำนายของนานาศาสนา เขาจะแผ่ความยุติธรรมให้กับโลก ภายหลังจากที่มันถูกเติมเต็ม ด้วยความอธรรม และการกดขี่ เขาจะพัฒนาความรู้ของมนุษย์ไปสู่จุดสูงสุด คำทำนายถึงบุคคลผู้นี้ต่างปรากฎในบันทึกของหลายๆศาสนา
สิ่งที่น่าคิดคือ หลายๆศาสนาและเชื้อชาติ แต่ละเผ่าพันธ์ของมนุษย์ ต่างก็ทำนายถึงบุคคลที่มีคุณลักษณะเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น ศาสนาอิสลาม พุทธ คริสต์ โซโรเอสเตอร์ ยิว และอื่นๆ ต่างก็ชี้ไปที่คนๆหนึ่ง ซึ่งจะมาเปลี่ยนแปลงโลกมนุษย์ การศึกษาถึงเรื่องราวดังกล่าว จึงเป็นสิ่งที่เราจะต้องไม่ละเลย หรือมองว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่มีความสำคัญใดๆ เพราะเมื่อทุกศาสนา กล่าวไปในทิศทางเดียวกัน ดังนั้น ความเชื่อร่วมกันของศาสนิกชนจะเป็นจุดรวมใจของพวกเขา และการที่สิ่งถูกทำนายจะเกิดขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ศาสนิกชนในแต่ละศาสนาควรจะต้องทำความเข้าใจ และศึกษา ทำไมทุกศาสนาถึงพยากรณ์อนาคตของโลกในรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน ทำไมถึงมีการบอกเล่าถึงบุคคลที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันในแต่ละศาสนา และที่น่าฉงนยิ่งกว่านั้น ยังมีการบอกเล่าถึงผลของการเปลี่ยนแปลงของโลกอีกด้วย
3 การต่อสู้กับการกดขี่และการช่วยเหลือผู้อ่อนแอ
โดยทั่วไปแล้ว เหล่าผู้ศรัทธาต่อบรรดาศาสนฑูต มักจะเป็นคนที่อยู่ภายใต้การกดขี่ของสังคมเสมอ พวกเขาต่างต่อต้าน การเชื่อฟัง ต่อบรรดาผู้นำผู้ดขี่ โมฆะ และพวกเขาอยู่ในสนามรบระหว่าง ธรรมะ กับ อธรรม สัจธรรม กับ โมฆะ เสมอ ปรากฎารณ์เหล่านี้ทำให้เกิดการต่อต้านความอยุติธรรมอย่างรุนแรง และไม่ว่ายุคสมัยใดก็เป็นเช่นนี้ สิ่งที่มนุษย์ยอมเสียสละ ยอมเอาชีวิตเข้าเสี่ยง ก็เพื่อต่อสู้กับความอธรรมเหล่านี้ และการต่อสู้ยังคงมีต่อเนื่องมาหลายยุคสมัย แน่นอนว่า ในบางการต่อสู้ ฝ่ายธรรมะ สามาระมีชัยเหนือฝ่ายอธรรมได้ การที่ฝ่ายชนะจะอธรรมได้อย่างสมบูรณ์นั้น จะต้องรอคอยคนผู้หนึ่งตามที่ทุกๆศาสนาได้ พยากรณ์ไว้
บรรดาฑูตของพระเจ้า เป็น ผู้นำแห่งกัลญานชนเช่นกัน พวกเขาถือว่า จะต้องดูแล และ ช่วยเหลือ ผู้อ่อนแอ และผู้ถูกกดขี่ เช่นเดียวกัน พวกเขาก็ต่อสู้ และต่อต้าน บรรดาฟิรอูน หรือ ผู้ปกครองที่ฉ้อฉล และผู้กดขี่ ดังที่เราเห็นในประวัติศาสตร์ของมนุษย์
พวกเขาเหล่านั้น ได้แจ้งข่าวดี ถึงการปรากฎของ ผู้ถูกสัญญา ให้กับบรรดาผู้เจริญรอยตาม โดยให้พวกเขายืนหยัด อดทน และรอคอยต่อการมาของบุรุษผู้นั้น และรากลึกของความเชื่อนี้ ต่างๆฝังอยู่ในหัวใจของทุกๆศาสนาอย่างเหนียวแน่น
ตัวอย่างจากอัลกุรอ่านคือ ซูเราะฮ อัมบียา โองการที่ 105 ความว่า
(وَ لَقَدْ كَتَبْنَا فىِ الزَّبُورِ مِن بَعْدِ الذِّكْرِ أَنَّ الْأَرْضَ يَرِثُهَا عِبَادِىَ الصَّلِحُونَ)
“ขอยืนยัน แท้จริง เราได้บันทึกไว้ในคัมภีร์ซะบูร หลังจากที่เราได้หลังจากที่เราได้บันทึกไว้(ในลูหฺมะฮฟูซ) ว่า แท้จริงแผ่นดิน ปวงบ่าวของเราที่ดีมีคุณธรรมจะเป็นผู้สืบทอดมัน”
ในมุมมองของอัลกุรอ่าน บ่าวผู้ที่เหมาะสม และมีคุณธรรมของพระเจ้า คือ ผู้ที่จะปกครองโลกนี้ด้วยความยุติธรรม และความมีมนุษยธรรมของเขา
เชคฏูซีย์ ได้รายงานจาก อิมามบาเกร (อ) ดังนี้ ((แท้จริง อัลลอฮ ได้ให้สัญญานี้ต่อบรรดาผู้ศรัทธา ซึ่งพวกเขาจะได้รับ ทุกๆแผ่นดิน เป็นมรดกสืบทอด )) นอกจากนี้ยังมีโองการอื่นๆอีกมากมายที่อธิบายในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน (ตัฟซีรเฏบยาน เล่ม 7 หน้า 252 )
กล่าวคือ ในด้านหนึ่ง การศึกษาเกี่ยวกับ เรื่องราวของผู้ถูกสัญญา คือ การศึกษา เกี่ยวกับ สงคราม รระหว่าง สัจธรรม กับ ความเท็จ ธรรมะ กับ อธรรม ดังนั้น การพิจาณาความเป็นไปของโลกผ่านทางศาสนา จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเป็นอย่างยิ่ง
4 ความพ่ายแพ้ และความล้มเหลวของระบบการปกครองต่างๆ
ปัญหาถาวรของโลก(สงคราม,การต่อต้าน,ความไม่เท่าเทียม,ความไม่สงบ,ความเกลียดชัง,ความรุนแรง) ความต้องการที่จำเป็นของมนุษย์(ในการพัฒนาเศรษฐกิจ,ข้อมูลข่าวสาร,สาธารณสุข,การขจัดความยากจน,การเติมเต็มจิตวิญญาณ) ความปราถนา และแนวคิดของมนุษย์(การปฏิรูป,ความยุติธรรม,ความสงบ,ความสูงส่งของจิตวิญญาณ)ประสบการณ์ของมนุษย์(ในเรื่องความอ่อนแอ,การไร้ความสามารถและความล้มเหลวของรัฐบาล และระบบการปกครองต่างๆ) เป็นเหตุให้พวกเขา ต่างแสวงหา การปรากฎของผู้ที่ช่วยเหลือและปฏิวัติโลก
และในความเป็นจริง ทุกๆระบบการปกครอง กลุ่ม สำนักคิด แนวคิดต่างๆ ต่างก็พยายามที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ทว่า เพราะหลากหลายเหตุผล ทำให้มนุษย์ไม่อาจประสบความสำเร็จ และก้าวไปถึงจุดนั้น และในทางตรงข้าม เนื่องด้วยหลากหลายปัจจัย และหลากหลายปัญญา และความไม่เท่าเทียมกันในแต่ละสังคม ได้ทำแต่ละฝ่าย ต่างแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองเท่านั้น ไม่ได้ขจัดปัญหาต่างๆ และพัฒนาสังคมมนุษย์ไปสู่ความเจริญได้
5 ปรัชญาประวัติศาสตร์และการให้ความหมายต่อมัน
ตามหลักการทางปรัชญาประวัติศาสตร์ การปรากฎของ ผู้ถูกสัญญา คือ จุดสุดท้ายของอนาคตโลก ที่จะนำมาซึ่งความสมบูรณ์ของสังคมมนุษย์ ความสมบูรณ์ของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ และตามหลักการนี้ กระบวนการที่ดำเนินมาอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์ จึงควรค่าที่จะมีความหมาย ซึ่งเป้าหมายของมัน นั่นก็คือ การทำให้สังคมไปสู่จุดสูงสุด ทำให้สังคมไปสู่ความผาสุข ทั้งทางวัตถุ และจิตวิญญาณ การให้ความหมายอันนี้ มีอยู่ในความคิดของมนุษย์ และพวกเขาต่างก็คิดถึงบั้นปลายของสังคมในรูปแบบนี้
แน่นอนว่า อัลกุรอ่านได้อธิบายถึงเป้าหมายของมนุษย์ชาติไว้แล้ว คือ เพื่อการอิบาดัต และการแสวงหาความใกล้ชิดต่อพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งความหมายของมันมีความกว้างขวางยิ่งนัก และยังครอบคลุมทุกๆสิ่งในชีวิตของมนุษย์บนหน้าแผ่นดินนี้
ในซูเราะฮซารียาต โองการที่ 56 อัลกุรอ่านได้อธิบายเป้าหมายการสร้างมนุษย์ ดังนี้
وَ مَا خَلَقْتُ الجِْنَّ وَ الْانسَ إِلَّا لِيَعْبُدُونِ
“และข้ามิได้สร้างญินและมนุษย์มาเพพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่ออิบาดัตต่อข้า”
ในมุมมองของอัลกุรอ่าน แนวคิดนี้ ฝังลึกอยู่ในประวัติศาสตร์ ซึ่งมันกำลังจะไปสู่ความสมบูรณ์ในไม่ช้าและยุคสมัยนั้น คือ ยุคของการปรากฎของอิมามมะฮดี(อ) ดังนั้น การให้ความหมายของประวัติศาสตร์ และการค้นหาเป้าหมาย จึงเป็นจุดที่มนุษย์ให้ความสนใจต่อการปรากฎของ บุรุษผู้ถูกสัญญาไว้
6 กฎการพัฒนาสู่ความสมบูรณ์ของสังคมต่างๆ
หนึ่งในเหตุผลต่างสติปัญาของประเด็นนี้คือ กฎการพัฒนาสู่ความสมบูรณ์ของสังคม หมายความว่า จากวันที่มนุษย์เริ่มรู้จักตัวเอง ชีวิตของมนนุษย์ไม่เคยเท่าเทียมเสมอ ทั้งในเรื่องการพัฒนา การเปลี่ยนแปลง ที่อยู่อาศัย สิ่งอุปโภค และบริโภค ปัจจัยยังชีพ เครื่องนุ่งห่ม ความรู้ และวิทยาการของมนุษย์
น่าแปลกใจที่สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเพียงพอเสมอ และพวกเราต่างก็พยายามที่จะพยายามปลดปล่อยตัวเอง ออกจากความขลาดแขลนเหล่านี้ ไปสู่ระดับที่ดีขึ้นเสมอ
ความปราถนาที่จะไปสู่ความสมบูรณ์ เปรียบดั่งเปลวไฟที่ไม่เคยมอดดับในหัวใจของมนุษย์เสมอ เช่นเดียวกัน มนุษย์กำลังไปสู่สังคม ซึ่งจะเติมเต็มความสมบูรณ์ทางด้านจริยธรรม ทางด้านความรู้ ทางด้านวัตถุ และทางด้านอื่นๆ
และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราต้องศึกษา ถึงแนวคิดนี้ ในมุมมองของศาสนา คือ การปรากฎของผู้ปลดปล่อยที่ถูกสัญญาไว้ ภายใต้ กฎแห่งการพัฒนาไปสู่ความสมบูรณ์ของสังคม
7 กฎแห่งการต่อต้านและการขัดขืนของสังคม
บทเรียนจากประวัติศาสตร์ ทำให้เราเรียนรู้ว่า มนุษย์อยู่คู่กับการเปลี่ยนแปลง การปฏิวัติ และการต่อต้านแรงกดดันในอดีตเสมอ เป็นไปได้ว่า ในโลกนี้ อาจไม่มีการปฏิวัติไหนเลย ที่จะปรากฎขึ้น โดยก่อนหน้านั้น ไม่มีแรงกดดัน จนเป็นเหตุให้มีการต่อสู้เสมอ
ตามกฎนี้ เราสามารถได้ข้อสรุปว่า การเปลี่ยนแปลงหัวใจของโลก จะนำมาซึ่งการปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ของโลก ความกดดันจากสงคราม การกดขี่ ความเกลียดชัง อคติ การแบ่งชนชั้นฐานะ ความอยุติธรรม อยู่คู่ กับ การสิ้นหวัง ความท้อแท้ของมนุษย์เสมอ
กฎนี้ จึงทำงาน เพื่อ ทำลาย ขจัด หรือลดความกดดันเหล่านี้ และในท้ายที่สุด การต่อต้านที่รุนแรงที่สุดจะเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้ความต้องการของมนุษย์ ไปสู่เป้าหมาย
และการศึกษาเรื่องราวของอิมามมะฮดี (อ) ในด้านหนึ่ง ก็คือ การศึกษารูปแบบการต่อสู้ของมนุษย์ และสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่การปฏิวัติครั้งใหญ่จะเกิดขึ้น พวกเขาสู้เพื่ออะไร ทำไมต้องต่อสู้ สิ่งที่พวกเขาต่อสู้ และต้องการเปลี่ยนแปลงมัน มีคุณค่ามากแค่ไหน สิ่งต่างๆเหล่านี้ จะถูกนำเสนอในเรื่องราวของ อิมามมะฮดี (อ)
8 กฎการรอคอยโดยรวม
ภายในรากลึกของหัวใจมนุษย์ มีความรักต่อความดี งดงาม และความรู้ ฝังอยู่ ซึ่งความเชื่อในการปรากฎของผู้ปฏิวัติโลก คือ หนึ่งในความรักอันนั้น และในความเป็นจริง การปรากฎของอิมามมะฮดีย์ (อญ) กำลังพัฒนาไปสู่ความสมบูรณ์มากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อพิจารณาจากแนวคิดนี้ ทำให้เรารู้ว่า ความรักอันนี้ คือความต้องการของมนุษย์ทุกคน ที่มีวิสัยทัศน์ และมีจิตใจที่บริสุทธ์
จะเป็นไปได้อย่างไรที่ ความรักในการไปสู่ความสมบูรณ์ของมนุษย์ทุกคน จะไม่ส่งผลให้เกิดการรอคอย การแสวงหาการพัฒนาและความสมบูรณ์สามารถเกิดขึ้นได้ โดยปราศจากสิ่งนี้กระนั้นหรือ ?
เมื่อเราต่างรอคอยการมาของบุรุษผู้หนึ่ง การเปลี่ยนแปลงเพื่อปรับปรุงให้มีความพร้อมในการเข้าร่วมขบวนการปฏิวัติครั้งใหญ่ จึงเป็นสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง การรอคอยโดยที่ผู้รอ ไม่เตรียมความพร้อมต่อการมา จึงเป็นการรอคอยที่ไม่ได้มีความมุ่งมั่น ดังนั้น การจะเป็นผู้เข้าร่วมกับกองทัพของมะฮดีย(อ) เบื้องต้น ผู้รอคอยจะต้องเปลี่ยนสภาพของตนให้กลายเป็นผู้มีความพร้อม ต่อการมาของท่าน และนี่ก็คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราต้องศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับ อิมามมะฮดี(อ) คือ การเรียนรู้ในการสร้างความพร้อมให้กับตนเอง
9 พื้นฐานจากอัลกุรอ่านและฮะดิษ
หลักความเชื่อมะฮดาวียัต ในมุมมองของอิสลาม วางอยู่บนพื้นฐานของอัลกุรอ่าน และ ฮะดิษ ซึ่งหลักฐานเหล่านี้ เป็นตัวชี้ให้เห็นถึง ชัยชนะ และการพิชิต ของพรรคของพระเจ้า ในมุมมองของอัลกุรอ่าน โองการเหล่านี้ ยังได้บรรยายถึง การมีชัยของศาสนาของพระเจ้าทั่วทุกแผ่นดิน และยังบรรยายถึงอนาคตของโลก ตามหลักฐานที่น่าเชื่้อถือ แลตำราตัฟซีร หรือ ตำราอรรถาธิบายอัลกุรอ่าน และฮะดิษ โลกจะเปลี่ยนแปลงไปสู่การปฏิวัติที่ไม่เหมือนครั้งไหนๆ โดยมีผู้นำคือ อิมามมะฮดีย์(อญ) เป็นผู้ดำเนินภารกิจนี้
ในซูเราะฮ มาอิดะฮ โองการที่ 56 ความว่า “แท้จริง พรรคของอัลลอฮ คือ ผู้มีชัยชนะ”
ในซูเราะฮ ซอฟฟาต โองการที่ 172 ความว่า “แน่นอนพวกเขาจะได้รับความช่วยเหลือ”
ในซูเราะฮ อันฟาล โองการที่ 7 ความว่า “และพระองค์อัลลอฮ ประสงค์ให้ความจริงประจักษ์เป็นจริงขึ้นด้วยพจนารถของพระองค์”
ในซูเราะฮ ฟัตฮ โองการที่ 27 ความว่า “เพื่อพระองค์จทรงให้ศาสนา(ของพระองค์)มีชัยเหนือศาสนาทั้งมวล”
ในซูเราะฮ กิศอศ โองการที่ 5 ความว่า “และเราปราถนาที่จะให้ความโปรดปรานแก่บรรดาผู้อ่อนแอในแผ่นดิน และเราจะทำให้พวกเขาเป็นผู้นำ และทำให้พวกเขาเป็นผู้รับมรดก”
สำหรับมุสลิม เรื่องราวของอิมามมะฮดี (อ) เป็นสิ่งที่มีหลักฐานชัดเจนที่สุด ซึ่งอยู่ในระดับขั้นมุตะวาติร นั่นเป็นการชี้ให้เห็นว่า เรื่องราวการปฏิวัติของอิมามมะฮดี(อ) เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ศาสดาได้เน้นย้ำอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้น การไม่ศึกษาเรื่องนี้เลย และสนใจแต่เพียงเรื่องพื้นฐาน คือ การไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องราวดังกล่าว ดังนั้น อย่างน้อยที่สุด ไม่ว่า มุสลิม จะอยู่ในมัซฮับ หรือนิกายใด เขาจะต้องมีความรู้เกี่ยวกับอิมามมะฮดีย(อ) หากไม่รู้จักหัวหน้าของฝ่ายธรรมะ แล้วเราจะเข้าร่วมกับฝ่ายธรรมะได้อย่างไร
สรุป เหตุผลที่ผู้แสวงหาความจริง ต้องทำการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับ อิมามมะฮดีย์(อ) เพราะ เรื่องราวของอิมามมะฮดีย์ เป็นเรื่องราวที่ตอบรับเสียงเรียกร้องของมนุษย์ การทำนายของนานาศาสนา การต่อต้านความอธรรมและการช่วยเหลือผู้อ่อนแอ ควาวสิ้นหวังต่อระบบการปกครองที่ผ่านมา ปรัชญาประวัติศาสตร์ กฎในการพัฒนาสู่ความสมบูรณ์ กฎการต่อต้านของประวัติศาสตร์กฎการรอคอย และอัลกุรอ่าน ,ฮะดิษ ต่างๆ ชี้ให้เห็นเป็นจุดเดียวกัน ว่า ความหวังของมนุษย์ในการเปลี่ยนแปลงโลก การขจัดความยุติธรรม การเปลี่ยนโลกในสู่ความดีงาม ซึ่งเป็นแนวคิด และความหวังที่ฝังอยู่ในจิตใจของมนุษย์ ต่างชี้ไปสู่เรื่องราว การมาของบุรษผู้หนึ่งซึ่งจะมาปลดปล่อยโลก ผู้ซึ่งจะมามอบความยุติธรรม และขจัดความอธรรมออกไปจากสังคมมนุษย์โลก ดังนั้น การศึกษาถึงเรื่องราวของบุรุษผู้นี้ จึงเป็นความจำเป็นประการหนึ่ง สำหรับผู้แสวงหา การเปลี่ยนแปลงสู่ความงดงามของโลกทุกๆคน