นายกรัฐมนตรีปากีสถาน นาวาซ ชารีฟ (ภาพโดย REUTERS / Niranjan Shrestha)
แคมเปญของซาอุดีอาระเบียในการสร้างพันธมิตรซุนนีเพื่อล้อมกรอบอิหร่าน เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องลำบาก อย่างน้อยก็จากความปราชัยที่จะดึงปากีสถานเข้าร่วม กรุงอิสลามาบัดได้เลือกอย่างน้อยก็ตอนนี้ ในการหลีกเลี่ยงการเข้าไปพัวพันในสงครามเย็นแห่งการแบ่งแยกทางนิกายระหว่างริยาดและเตหะราน
เดือนก่อน นายกรัฐมนตรีปากีสถาน “นาวาซ ชารีฟ” ได้รับเชิญให้เดินทางไปราชอาณาจักรซาอุดิอารเบีย เพื่อการเจรจาอย่างเร่งด่วนกับกษัตริย์ซัลมาน บินอับดุลอาซิซ อัล-ซูด และบรรดาที่ปรึกษาของเขา กษัตริย์ซัลมานมารับนาวาซ ชารีฟ ถึงสนามบิน เพื่อเน้นย้ำความสำคัญของการเจรจา
หัวข้อหลักคือ การรุกรานอิหร่านในโลกอาหรับและกำหนดเวลาที่ใกล้เข้ามาสำหรับ P5 + 1 ซึ่งเป็นการเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน
กษัตริย์ซัลมานต้องการคำรับรองจากชารีฟ ว่า ปากีสถานจะวางตัวอยู่ฝั่งซาอุดีอาระเบียและพันธมิตรอาหรับซุนนี เพื่อสู้กับอิหร่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำสงครามตัวแทน (proxy war) ที่กำลังดำเนินอยู่ในเยเมนขณะนี้
สิ่งที่กษัตริย์ซัลมานต้องการเป็นพิเศษคือ การปรับกองทัพของปากีสถานเพื่อใช้ในการปกป้องซาอุฯ ตามแนวชายแดนตะวันตกเฉียงใต้ที่มีความเสี่ยงจากกลุ่มเฮาซีในเยเมนหากสถานการณ์อยู่เหนือการควบคุม ทั้งเป็นแนวกั้นยับยั้งการรุกรานของอิหร่าน
ซึ่งในอดีตเคยเกิดขึ้นที่กองกำลังจากกองทัพปากีสถานได้ไปแสดงแสนยานุภาพในแผ่นดินซาอุดีอาระเบีย ก็คือหลังการปฏิวัติของอิหร่าน โดยเผด็จการแห่งปากีสถาน “เซีย ฮุล-ฮัก” ที่ได้กรีธากองทหารชั้นยอดของปากีสถานสู่ราชอาณาจักรซาอุดี้ฯ ตามคำขอของกษัตริย์ฟาฮัด เพื่อยับยั้งการคุกคามใดๆ ที่อาจมีต่อประเทศนี้ ทหารปากีสถานกว่า 40,000 คนที่ถูกส่งเข้าไปกว่าหนึ่งทศวรรษ ซึ่งในวันนี้เหลือเพียงที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญบางส่วนเท่านั้นที่ยังทำงานให้ราชอาณาจักรซาอุฯ
แหล่งข่าวในปากีสถานระบุ ชารีฟได้ตัดสินใจที่จะไม่ส่งทหารเข้าไปในซาอุดิอาระเบียในตอนนี้ เขาได้ให้คำมั่นที่จะร่วมมือต่อต้านการก่อการร้ายและความร่วมมือทางทหารอย่างใกล้ชิด แต่จะไม่มีการส่งทหารเข้าไปในอนาคตอันใกล้นี้ ปากีสถานยังปฏิเสธที่จะย้ายสถานทูตในเยเมนจากกรุงซานาไปยังเมืองเอเดนตามที่ซาอุและกลุ่มประเทศอ่าวได้ทำไปแล้วเพื่อให้ห่างไกลจากกลุ่มเฮาซี
กล่าวสำหรับชาวปากีสถานเองก็ยังโต้เถียงกันว่าศักยภาพทางทหารของพวกเขาพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับคู่ปรับเก่าแก่หรือไม่ ทั้งอินเดีย และภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากตอลีบันที่เป็นชาวปากีสถาน อีกปากีสถานเองก็มีปัญหาเรื่องจากการแบ่งแยกทางนิกายที่นำไปสู่ความตึงเครียดและเหตุรุนแรง ทั้งนี้ราว 20% ของชาวปากีสถานเป็นมุสลิมชีอะห์ และเหตุรุนแรงอันมาจากความขัดแย้งทางนิกายก็ทวีเพิ่มขึ้นในหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มที่เชื่อมโยงกับอัลกออิดะห์ เช่น Lashkar-e-Jhangvi ได้โจมตีมัสยิดของมุสลิมชีอะห์และโรงเรียนโดยระเบิดฆ่าตัวตาย อิหร่านก็เช่นกันมีกลุ่มที่เชื่อมโยงในปากีสถานซึ่งได้โจมตีเป้าหมายชาวซุนนีในอดีตที่ผ่านมา การต้องเผชิญกับความยุ่งยากเช่นนี้ในประเทศตน นาวาช ชารีฟ จึงได้บอกกับกษัตริย์ซัลมานว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะส่งทหารไป
อันที่จริงโดยตัวตนของนาวาซ ชารีฟ ก็เป็นคนที่ระมัดระวังและสุขุมรอบคอบมากในการตัดสินใจ
เขายังรอบคอบในการเปิดทางเลือกสำหรับการส่งทหารเข้าสู่ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียหากสถานการณ์ความปลอดภัยเลวร้ายลง นอกจากนี้เขายังจะให้ความชัดเจนกับกษัตริย์ว่าปากีสถานยังคงเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดของซาอุดิอาระเบีย
ในเดือนนี้กษัตริย์ซัลมานยังทุ่มทุนสร้างสายสัมพันธ์กับอียิปต์ โดยมกุฎราชกุมารมุกรินได้ให้คำมั่น
ในที่ประชุมที่ Sharm el-Sheikh สัปดาห์นี้ว่า จะลงทุนในอียิปต์เป็นจำนวนเงินถึง 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ คูเวตและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ก็ให้คำมั่นสัญญาเช่นเดียวกัน ทว่าอียิปต์ก็ยังลังเลที่จะส่งทหารเข้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับปฏิบัติการณ์รอบๆ เยเมน ชาวอียิปต์ยังคงมีความทรงจำที่ขมขื่นเกี่ยวกับหายนะของพวกเขาที่เข้าไปแทรกแซงในเยเมนเมื่อปี 1960
ดังนั้นสำหรับตอนนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของซาอุดิอาระเบียอย่างเจ้าชายมุฮัมหมัด บินซัลมาน โอรสของกษัตริย์ จึงต้องวางแผนในการจัดการกับภัยคุกคามของกลุ่มเฮาซีอยู่ที่ชายแดนอย่างเดียวดายกับทหารซาอุดีอาระเบียเท่านั้น ซึ่งพวกเขาก็ออกอาการไม่สู้ดีนักในการปะทะกับกลุ่มเฮาซีในครั้งที่ผ่านๆ มา
—-
แปลเรียบเรียงจาก http://www.al-monitor.com