เมื่อเร็วๆนี้ บารัก โอบามา ได้ออกคำสั่งให้บรรดาเจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมในการเจรจา โดยในการประชุมครั้งนี้ปธน. สหรัฐ มีจุดประสงค์ เพื่อเติมเต็มช่องว่างต่างๆ ที่มีอยู่ระหว่างอิหร่าน และในอนาคต ก็ได้เตรียมการในการเลิกการคว่ำบาตร และการส่งสาร ที่คล่องตัวได้มากยิ่งขึ้น จากแนวทางนี้ โดยมีความหวังให้สามารถรักษาข้อตกลงพื้นฐาน และการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ยังเหลืออยู่
ทางด้านบรรดาผู้นำอิหร่าน ล่าสุด ก็ออกมาแสดงความเห็นเช่นกัน โดยนำเสนอว่า การคว่ำบาตรต่างๆ จะต้องถูกยกเลิกอย่างรวดเร็ว และมีลายลักษณ์อักษร
ในขณะเดียวกัน โอบามา ก็ได้ออกคำสั่งล่าสุดด้วยเช่นกันว่า ตราบใดที่อิหร่านยังไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงทั้งหมด การคว่ำบาตรก็จะยังดำเนินต่อไป
โอบามายังได้เสนออีกทางเลือกหนึ่งแทนวิธีการนี้คือ ผู้เจรจาจะต้องรักษาคันโยกแห่งการกดดันอิหร่านให้มั่น ควบคู่กับการเจรจาหาหนทางแก้ไขปัญหา โดยทำอย่างไรก็ได้ให้นักการเมืองอิหร่านยอมรับข้อเสนอมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ โอบามาได้ กล่าวกับ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียว่า “ยังมีกลไกต่างๆ ที่สามารถสร้างวิธีการลดการคว่ำบาตร ไปพร้อมๆ กับการรักษาความสามารถในการดำเนินการต่างๆ ทางอำนาจ อย่างฉับพลัน ในกรณีที่ มีการละเมิดข้อตกลงเกิดขึ้น “
โอบามา ยังชี้อีกว่า “บรรดานักเจรจาต้องการสูตรที่จะสลัดให้ความวิตกกังวลหลักๆ ของเราให้หายไป และความกังวลหลักของสหรัฐ คือ การที่เราจะมั่นใจได้ว่า หากอิหร่านไม่ได้ยึดมั่นในการทำข้อตกลง สหรัฐจะไม่ต้องกลับไปคว่ำบาตร หรือเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติการในรูปแบบอื่นอย่างไม่มีทางเลือกอีก”
ขณะเดียวกัน ในช่วงที่สัมภาษณ์ จอห์น แครี่ ก็นั่งอยู่ทางข้างๆโอบามาอยู่ด้วย โอบามา ก็ยังกล่าวต่อไปว่า “ภารกิจนี้ จำเป็นต้องให้ฝ่ายเจรจามาจากคนของ จอห์น แครี่ และคนอื่นๆ พร้อมทั้งกล่าวว่า ผมมั่นใจว่า งานนี้จะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”
ก่อนหน้านี้ วอลล์สตรีทเจอร์นัล” (WSJ) ได้ตีพิมพ์รายงานบทหนึ่ง โดยกล่าวว่า : โอบามากำลังพิจารณาตัวเลือกต่างๆ ที่มีอยู่ ในกรณีที่การเจรจาล้มเหลว และกล่าวอ้างว่า หนึ่งในตัวเลือกที่กำลังพิจารณา คือการโจมตีอิหร่าน
ในตอนนี้ ก็เป็นที่ยืนยันแล้วว่า หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่ทั้งสองฝ่ายยังตกลงกันไม่ได้ คือ การกำหนด และการวางกรอบในการทำข้อตกลง เพราะในมุมของนักวิจารณ์ฝ่ายสหรัฐ การตัดสินใจต่างๆ ในการทำข้อตกลงครั้งนี้ ไม่ได้ออกมาดีเท่าไหร่นักสำหรับสหรัฐ นอกจากนี้พวกเขายังเชื่อว่า ถ้าหากการคว่ำบาตรถูกยกเลิกเมื่อไหร่ อิหร่านจะไม่มีทางลดโครงการพลังงานนิวเคลียร์อย่างแน่นอน
ในมุมมองของฮิสบุลเลาะฮ์ การบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านและกลุ่มประเทศมหาอำนาจ P5+1 คือชัยชนะของสัจธรรมและกลุ่มต่อสู้ เนื่องจากอิหร่าน สามารถยืนหยัดเป็นเวลาถึง 12 ปี และยังสามารถบีบบังคับให้บรรดาประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกายอมรับสิทธิเกี่ยวกับโครงการพลังงานนิวเคลียร์ของตน
ทั้งนี้ ผู้นำสูงสุด คือ อยาตุลลอฮ ซัยยิด อาลี คาเมเนอี ยังได้ประกาศถึงจุดยืนของอิหร่านในการเจรจาทำข้อตกลงเช่นกันว่า “อิหร่านจะไม่ยอมให้มีการตรวจสอบฐานทหารต่างๆ ของตน และการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจทั้งหมดจะต้องถูกยกเลิกในวันเดียวกับการบรรลุข้อตกลง” ซึ่งนับได้ว่า เป็นการแสดงจุดยืนที่เด็ดเดี่ยว และชัดเจน
หนังสือพิมพ์ “เราะยุ้ลเยาม์” ได้เขียนในการวิเคราะห์เกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ว่า “บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านยุทธศาสตร์เชื่อว่า การบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่านกับตะวันตก เป็นผลมาจากการยืนหยัดอย่างเด็ดเดี่ยวของอายะตุลลอฮ์ คอเมเนอี ในการเผชิญหน้ากับความละโมบต่างๆ ของตะวันตก โดยท่านมีจุดยืนที่มั่นคงต่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตกมาโดยตลอด หลายครั้งทีเดียวที่อิสราเอลและอเมริกาได้ขู่ที่จะถล่มโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน และได้ลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์สี่คนของอิหร่าน เพื่อที่จะไม่ให้ประเทศนี้สามารถบรรลุสู่เป้าหมายต่างๆ ทางด้านนิวเคลียร์ได้ แม้จะมีการคว่ำบาตรต่างๆ และความพยายามของตะวันตกในการลอยเพเตหะราน และแผนสมคบคิดต่อต้านโครงการนิวเคลียร์ แต่อายะตุลลอฮ์คอเมเนอีก็ได้พิสูจน์ให้อเมริกาเห็นแล้วว่า การที่จะขจัดอิหร่านออกไปจากประเด็นเกี่ยวกับนิวเคลียร์นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
ในอีกด้านหนึ่ง มูฮัมมัด ญะวาด ซะรีฟ รมต.ต่างประเทศอิหร่าน ก็ให้ความเห็นว่า สิ่งที่ถูกบันทึก ในเอกสาร มีความเบี่ยงเบน ต่างไปจากข้อตกลงในตอนแรก ซะรีฟ ให้ความเห็นว่า ถ้าหากท้ายที่สุดแล้ว ตะวันตก ยังไม่เลิกคว่ำบาตรอิหร่าน เราจะนำเสนอ โครงการเพิ่มราคาของเชื้อเพลิงที่ไม่จำกัดของอิหร่าน
ซะรีฟ ยังได้เน้นย้ำ ถึงเป้าหมาย ในการพัฒนาโครงการพลังงานนิวเคลียร์สะอาดในทางสันติ โดยได้อธิบายอย่างเรียบง่าย ในกรณีที่การเจรจาข้อตกลงต้องล้มเหลวว่า “เราสามารถกำหนดเส้นทางในอนาคตขางหน้าได้ โดยการเผชิญหน้า หรือ สามารถให้ความร่วมมือได้ แต่เราไม่สามารถเดินทั้งสองทางเลือกได้ หากเราเลือกที่จะเดินไปตามเส้นางของเราโดยการเผชิญหน้า เราก็จะถูกคว่ำบาตรต่อไป และอิหร่านก็จะพัฒนาโครงการต่างๆโดยไม่มีข้อจำกัด “
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งของสหรัฐที่ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อ ก็ได้ออกมาเปิดเผย โดยชี้ถึงคำพูดของซะรีฟว่า “เราได้สร้างความชัดเจนต่อประเด็นหลักนี้แล้ว ว่า การคว่ำบาตรอิหร่าน จะค่อยๆ ยกเลิกที่ละก้าว และในสัปดาห์หน้า ผู้เจรจาต่างก็ได้จะรู้ผลสุดท้ายของการเจรจาในครั้งนี้ และนอกจากการเจรจาจะมีปัญหาเรื่องการคว่ำบาตรแล้ว ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่เป็นปัญหาอีกเช่นกัน เช่นเป็นการครอบงำทางการทหาร , การตรวจสอบโรงงานอะตอมที่น่าสงสัย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โอบามาได้เห็นจากผลการเจรจาในครั้งนี้ ทำเขาให้ตัดสินใจในการเสนอโปรแกรมการซ้อมรบ ทั้งในรัฐบาล และในสภา และยังมีประเด็นที่ ฝ่ายเดโมแครท และ รีพับลิกัน ต่างก็ตั้งข้อสงสัย ถึงการทำข้อตกลง ระหว่าง โอบามา กับ อิหร่าน
นอกจากนี้ โอบามา ยังได้วิจารณ์ถึงการตัดสินใจของรัสเซีย ในการส่งมอบระบบต่อต้านการโจมตีทางอากาศ ขีปนาวุธ S 300 ที่ได้ขายให้อิหร่าน รัสเซียเคยลงนามในสัญญามูลค่า 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับขายระบบขีปนาวุธ S-300 แก่อิหร่านในปี 2007 แต่ต้องระงับการส่งมอบในอีก 3 ปีให้หลัง เนื่องจากถูกคัดค้านอย่างหนักหน่วงจากสหรัฐฯ และอิสราเอล อย่างไรก็ตามปูตินเผยในวันจันทร์ (13 เม.ย.) ว่าการห้ามดังกล่าวได้ถูกยกเลิกแล้ว หลังจากที่รัฐมนตรีกลาโหมของรัสเซียเยือนอิหร่าน ด้านกระทรวงกลาโหมอเมริกา ออกมาโต้ว่า การส่งมอบขีปนาวุธดังกล่าวให้กับอิหร่านเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้
สปุตนิกนิวส์ หนังสือพิมพ์รัสเซีย ได้รายงานว่า หลังจากความล้มเหลวของสหรัฐอเมริกาที่ต้องการจะทำให้ผลประโยชน์ทางการเมืองของตนในภูมิภาคต่างๆ บรรลุสู่ความเป็นจริง การถูกบังคับให้ต้องล่าถอยในบางกรณีนั้นทำให้ อเมริกาได้สูญเสียสถานะความเป็นมหาอำนาจของโลกไป อเมริกาไม่สามารถรับมือประเด็นนี้ได้ โดยที่ปูตินได้ปรากฏตัวในตะวันออกกลางในบทบาทของผู้เล่นที่มีเหตุมีผล และในขณะเดียวกันสามารถรักษาผลประโยชน์ของรัสเซียในภูมิภาคนี้ไว้ได้ ประเด็นนี้ได้สร้างความสิ้นหวังให้กับอเมริกาเป็นอย่างยิ่ง การสูญเสียสถานะของอเมริกาในฐานะที่เป็นมหาอำนาจของโลก ไม่เพียงเพราะความล้มเหลวต่างๆ ของตนในนโยบายต่างประเทศเท่านั้น ทว่าประเด็นที่สำคัญไม่แพ้กัน ก็คือความจริงที่ว่า รัฐบาลอเมริกาไม่สามารถที่จะลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน และได้ละทิ้งมาตรฐานต่างๆ ทางด้านจริยธรรมของตน
โอบามาได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า การขายระบบขีปนาวุธต่อต้านการโจมตีทางอากาศ ให้อิหร่าน จะทำให้เหตุผลของเขาในการชี้ถึงความจำเป็นในการทำข้อตกลงกับอิหร่าน แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพราะสิ่งนี้เป็นตัวชี้ให้เห็นว่า การร่วมมือกันของสหประชาชาติ อาจจะต้องถึงคราวล่มสลายก็เป็นได้
ประเด็นสำคัญคือ ในแต่ละการเจรจานั้น หากศึกษาตามประวัติศาสตร์การเจรจาระหว่าง สหรัฐ กับ อิหร่าน จะเห็นว่า ฝ่ายที่พยายามหาทางที่จะไม่ทำข้อตกลงตามที่ได้กำหนดไว้ในตอนต้นมักจะเป็น สหรัฐอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเจรจา ในเรื่อง อัฟกานิสถาน การเจรจาในเรื่องซัดดัม หรือ การเจรจาในเรื่องแรกคือ หลังจากการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านในปี 1979
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ สหรัฐ ได้เปิดเผยมาตรการ และทางเลือกอื่นนอกจาก การคว่ำบาตร คือ การเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม และทางฝ่ายอิหร่านเอง ก็รับรู้ถึงคำขู่อันนี้ พร้อมกับตอบกลับด้วยว่า หากสงครามเกิดขึ้น เราก็พร้อมที่จะรับมือเสมอ แต่หากต้องการที่จะเจรจา การเจรจาก็จะต้องเป็นไปในรูปแบบที่สามารถยอมรับได้ เหตุการณ์หลังจากนี้ จึงอาจเป็นตัวกำหนดชะตากรรม ของมหาอำนาจอย่างสหรัฐ และอิหร่าน อย่างไม่ต้องสงสัยใดๆ เลย