พัลไมรา ‘เวนิสแห่งทะเลทราย’ ใต้อุ้งมือไอซิส

2033

องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก ระบุ การทำลายเมืองพัลไมรา เมืองโบราณที่เป็นมรดกโลกในซีเรีย  “จะถือเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงต่อมวลมนุษยชาติ”

เรสทีวีรายงานว่า นางไอรีนา โบโกวา ผู้อำนวยการยูเนสโก กล่าวทางวิดีโอที่เผยแพร่โดยยูเนสโกที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงปารีสของฝรั่งเศสว่า พัลไมรา เป็นมรดกโลกที่มีความพิเศษที่ตั้งอยู่ในทะเลทรายและการทำลายเมืองพัลไมรา นอกจากจะถือเป็นอาชญากรรมสงครามแล้ว ยังถือเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงต่อมวลมนุษยชาติ

เธอกล่าวด้วยว่า  “เธอรู้สึกกังวลเป็นอย่างยิ่ง”  ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองดังกล่าวและย้ำคำวิงวอนขดให้มีการหยุดยิงทันทีและถอนกำลังทหารออกจากเมืองดังกล่าว

(แฟ้มภาพ  นางไอรีนา โบโกวา ผู้อำนวยการยูเนสโก )
(แฟ้มภาพ นางไอรีนา โบโกวา ผู้อำนวยการยูเนสโก )

เธอกล่าวย้ำว่า  สังคมโลก โดยเฉพาะสหประชาชาติและผู้นำทางจิตวิญญาณระดับ ควรจะเข้ามามีบทบาทในการยับยั้งการการะทำอันป่าเถื่อนของกลุ่มไอซิส

ก่อนหน้านี้ กลุ่มรัฐอิสลาม หรือ ไอซิส ได้ยึดและควบคุมเมืองดังกล่าวไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ทำให้ดินแดนมรดกโลกและโบราณวัตถุล้ำค่าตกอยู่สภาพเสี่ยงว่าจะถูกทำลาย กลุ่มไอซิสมักจะทำลายสมบัติทางโบราณคดีที่ล้ำค่านับตั้งแต่ประกาศจัดตั้งดินแดนของตนบริเวณอิรักและซีเรีย

เมื่อวันพุธที่ 20  พ.ค. ที่ผ่านมา กลุ่มไอซิส สามารถยึดเมืองพัลไมรา (Palmyra) เมืองโบราณเก่าแก่ ในประเทศซีเรีย ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกอย่างเบ็ดเสร็จแล้ว

ศาสตราจารย์เควิน บัตเชอร์ แห่งมหาวิทยาลัยวอร์วิค ได้เขียนบทความลงในเว็บไซต์ของสำนักข่าวบีบีซีว่า เมืองพัลไมรากำลังตกอยู่ในอันตราย เพราะอยู่ท่ามกลางการสู้รบระหว่างกองกำลังทหารรัฐบาลซีเรียที่ยังคงโอบล้อมรอบเมืองมรดกโลกแห่งนี้เอาไว้ หลังจากกลุ่มไอซิสสามารถยึดเมืองพัลไมราได้เมื่อวันพุธที่ 20 พ.ค. และที่น่าพรั่นพรึงคือ ยังถือเป็นครั้งแรกที่ไอซิสสามารถยึดเมืองพัลไมราได้จากการสู้รบชนะทหารซีเรียและกองกำลังพันธมิตรของซีเรีย โดยตรง

ศ.บัตเชอร์ อธิบายถึงเมืองพัลไมราให้คนรุ่นเราฟังว่า น่าจะเป็นสถานที่สุดท้ายที่คนบนโลกนี้คาดว่าจะได้มาเห็น ‘เสาหิน และซุ้มประตูโค้งโรมัน’ ที่ยังหลงเหลืออยู่มาจนถึงวันนี้ หลังจากบรรดาผู้คนในยุคศตวรรษที่ 17และ 18 ที่เดินรอนแรมมาเห็นต่างพากันประหลาดใจ ที่ได้เห็นซากเมืองโบราณแห่งนี้ยังยืนหยัดตระหง่านอยู่กลางทะเลทรายซีเรีย ในระยะครึ่งทางระหว่างเมืองท่าจากฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มายังดินแดนลุ่มแม่น้ำยูเฟรตีส

รู้จัก “เมืองมรดกโลก พัลไมรา”

เมืองพัลไมรา ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของประเทศซีเรียไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 210 กม. ได้รับสมญานาม  ‘เวนิสแห่งทะเลทราย’ โดยนอกจากจะตั้งอยู่ใจกลางทะเลทรายซีเรียแล้ว บริเวณนี้ยังถือเป็น ‘โอเอซิส’ ที่อุดมสมบูรณ์กลางทะเลทรายที่ร้อนระอุ จนทำให้มีการตั้งชื่อเมืองนี้ว่า พัลไมรา ซึ่งหมายถึง เมืองแห่งต้นปาล์ม (Palm) จึงทำให้เคยเป็นศูนย์กลางการค้า ที่กองคาราวานพ่อค้ามาหยุดพัก บนเส้นทางสายไหมในอดีต

ภายในเมืองพัลไมรา มีวิหารโบราณในสภาพสมบูรณ์ รวมทั้งถนนหนทางที่ประดับด้วยแนวเสาหินแบบโรมันไปตลอดเส้นทาง โดยจากหลักฐานทางโบราณคดี ปรากฏชื่อเมืองพัลไมรา ตั้งแต่ 2,000 กว่าปีก่อน เริ่มตั้งแต่ยุคพุทธศตวรรษที่ 1 จากนั้นเมืองโบราณแห่งนี้ก็ได้เจริญรุ่งเรืองอย่างมั่นคงภายใต้ยุคของจักรวรรดิโรมัน จนกระทั่งมาถึงช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 3 ผู้ปกครองเมืองพัลไมราได้ฉวยโอกาสขณะจักรวรรดิโรมันเกิดความระส่ำระสาย ประกาศเอกราช

4834c5ed-3d8d-4197-ad9e-8d0578f2505e

ศ.บัตเชอร์ เขียนไว้ว่า เรื่องราวของราชินีซีโนเบียแห่งพัลไมรา ซึ่งหาญกล้าต่อสู้กับจักรพรรดิออรีเลียนแห่งจักรวรรดิโรมัน เป็นเรื่องราวที่นักประวัติศาสตร์ทราบกันดี แต่น้อยคนจะรู้ว่า พัลไมรายังต้องต่อสู้กับอาณาจักรซาซาเนียน เปอร์เซียนส์ ด้วย

ในอดีต พัลไมรา ถือเป็นเมืองใหญ่ที่รุ่งเรืองในตะวันออกกลาง เป็นเมืองที่มีศิลปะ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรมเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น แตกต่างไปจากเมืองอื่นๆ ของจักรวรรดิโรมัน นอกจากนั้น เมืองพัลไมรา ยังได้รับสมญานามว่า เมืองเวนิสแห่งทะเลทราย เพราะเป็นศูนย์กลางเส้นทางเครือข่ายของการค้าขายเหมือนกัน เพียงแต่พ่อค้าเดินทางด้วยการขี่อูฐรอนแรมกลางทะเลทราย ในขณะที่เมืองเวนิส ในอิตาลี เส้นทางการคมนาคมเป็นคูคลองที่พ่อค้าใช้เรือเป็นพาหนะ

ท่ามกลางวันเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป เมืองโบราณ พัลไมราสามารถคงอยู่และอยู่รอดมาจนถึงคนรุ่นเรา โดยองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาติ (ยูเนสโก) ได้ขึ้นทะเบียนเมืองพัลไมรา เป็นมรดกโลก เมื่อปีพ.ศ.2523 ในฐานะเป็นเมืองหน้าด่านโบราณ ระหว่างโรมันกับเปอร์เซีย และยังเคยเป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้า และกองคาราวาน เป็นเมืองโอเอซิสที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก

ขณะที่ ศ.บัตเชอร์ยังระบุว่า การค้นหาซากโบราณสถานและโบราณวัตถุของนักโบราณคดีในเมืองโบราณพัลไมรา ยังไม่มากนัก โดยซากปรักหักพังของโบราณสถานส่วนใหญ่อยู่ใต้ผิวดิน ในระดับที่ไม่ลึกมากอีกด้วย จึงเสี่ยงต่อการถูกขุดค้นและโดนขโมยโดยกลุ่มมิจฉาชีพ

แต่ถึงอย่างไร ชะตากรรมของเมืองโบราณพัลไมราที่ผ่านๆ มา คงไม่น่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงเท่ากับช่วงเวลานี้ หลังจากกลุ่มไอซิสได้ยึดครองเมืองพัลไมราไว้ในอุ้งมือได้แล้ว โดย ศ.บัตเชอร์ ระบุว่า ถ้าเมืองพัลไมราโดนทำลายโดยไอซิสละก็ จะถือเป็นการทำลายประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่สำคัญในภูมิภาค ตะวันออกกลาง รวมทั้งจะทำให้มีชาวซีเรียบาดเจ็บล้มตายไม่ใช่น้อย

นี่เป็นการสู้รบของชาวโลกทั้งมวล

มะอ์มูน อับดุล การิม หัวหน้าสำนักงานโบราณสถานของซีเรีย กล่าวว่า ก่อนที่กลุ่มไอซิสจะบุกยึดเมืองพัลไมราได้นั้น ทางสำนักโบราณสถานซีเรียได้ทำการเคลื่อนย้ายรูปปั้นโบราณหลายร้อยอันไปเก็บในที่ปลอดภัยแล้ว เพียงแต่ยังเป็นห่วงพิพิธภัณฑ์ และอนุสรณ์สถานขนาดใหญ่ที่เคลื่อนย้ายไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงอยากเรียกร้องให้ประชาคมโลกมาช่วยกันป้องกันเมืองพัลไมรา เพราะ นี่เป็นการสู้รบของชาวโลกทั้งมวล!!

เพราะไม่นานที่ผ่านมา เราได้เห็นกลุ่มไอซิส ทำลายเมืองฮัตรา และนิมรุด เมืองโบราณของอิรักจนแหลกยับกับตามาแล้ว คงได้แต่ภาวนาให้เมืองพัลไมราอยู่รอดปลอดภัย

ไอรินา โบโกวา ผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโก กล่าวด้วยความวิตกกังวลอย่างที่สุด ที่การสู้รบและกลุ่มไอซิสจะทำลายเมืองพัลไมรา ซึ่งมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ในตะวันออกกลางและแหล่งอารยะธรรมของภูมิภาคนี้…

แหล่งอ้างอิง
http://www.presstv.ir/DetailFa/2015/05/21/412195/Destruction-Palmyra-enormous-loss-humanity-UNESCO-Bokova
http://www.thairath.co.th/content/500315