หลังจากเหตุการณ์นองเลือดจากการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายในกรุงเบรุตและปารีส ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องถูกสังหารจำนวนหลายร้อยคน เสียงของบรรดาผู้กล่าวอ้างการต่อสู้กับการก่อการร้าย เกี่ยวกับความจำเป็นที่จะต้อง “ถอนรากถอนโคนการก่อการร้ายในประเทศซีเรีย” ได้ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ทว่าความเป็นจริงนั้นรากฐานแห่งการก่อการร้ายอยู่ในซีเรียจริงหรือ….. ?!
การตอกย้ำของบรรดาประเทศตะวันตกและชาติพันธมิตร เกี่ยวกับความจำเป็นในการถอนรากถอนโคนการก่อการร้ายที่เกิดขึ้น ขณะที่ประเทศเหล่านี้ยังคงมองหารากเหง้าของการก่อการร้ายนี้ในอิรักและซีเรีย แต่พวกเขากลับมองข้ามและปกปิดแหล่งที่มาหลักและบรรดาผู้สนับสนุนที่แท้จริงของมัน
เกี่ยวกับเรื่องนี้หนังสือพิมพ์อังกฤษ “Observer” ฉบับวันอาทิตย์ ได้กล่าวในเนื้อหาตอนหนึ่งว่า “หลังจากการโจมตีในกรุงปารีส โลกจะต้องจัดการกับปัญหาการก่อการร้ายในประเทศซีเรียอย่างจริงจัง ”
สื่อต่างๆ ของตะวันตก บุคคลสำคัญทางการเมืองและนักวิเคราะห์ ต่างก็ให้การสนับสนุนพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา ใน “การต่อสู้” กับกลุ่มไอซิส โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องโจมตีกลุ่มนี้ต่อไป
แต่ก็เหมือนเช่นเดิมตลอดมา ประเด็นที่ถูกมองข้ามไปจากคำพูดและท่าทีต่างๆ ของตะวันตกและบรรดาพันธมิตรในภูมิภาคของมัน ก็คือแหล่งที่มาที่แท้จริงของการก่อการร้ายและแนวคิดหัวรุนแรง ประเด็นคือมีเพียงสื่อบางสำนักเท่านั้นซึ่งก็น้อยมากที่จะยอมรับและได้เตือนเกี่ยวกับอันตรายที่น่ากลัวของมัน
เมื่อประมาณ 5 เดือนที่ผ่านมา และหลังจากเกิดเหตุการณ์การโจมตีนองเลือดในคูเวต ฝรั่งเศสและตูนิเซีย “อับดุลบารี อัฏวาน” บรรณาธิการนิตยสาร raialyoum ได้กล่าวย้ำว่า “สามประเทศนี้เป็นส่วนหนึ่งจากประเทศที่สนับสนุนกลุ่มติดอาวุธที่ต่อต้านรัฐบาลซีเรีย และคอยให้การสนับสนุนทางด้านการเงิน การทหารและด้านการสื่อแก่กลุ่มต่างๆ ที่เรียกว่า “กลุ่มญิฮาด” … และเป็นที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่งที่จะต้องกล่าวว่า คนที่เล่นกับไฟนั้น ในไม่ช้าไฟก็จะย้อนกลับเผาไหม้มือของเขาเอง และตอนนี้เราก็ได้เห็นแล้วว่า เปลวไฟต่างๆ จากการปรากฏตัวของกลุ่มหัวรุนแรงได้ลุกลามไปถึงใจกลางของซาอุดีอาระเบีย คูเวตและฝรั่งเศสแล้ว และมีความเป็นไปได้อย่างมากที่ประเทศบาห์เรน จอร์แดนและแม้แต่ตุรกีเองก็จะถูกเผาไหม้ในกองไฟของตนเอง”
หนังสือพิมพ์อเมริกัน “The Huffington Post” ก็ได้เขียนรายงานเชิงวิเคราะห์ เมื่อประมาณหนึ่งปีที่ผ่านมา เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง “ลัทธิวะฮาบี” กับกลุ่มไอซิส ว่า “หนึ่งในกระแสหลักที่เกี่ยวกับอัตลักษณ์ของซาอุดิอาระเบีย คือความเกี่ยวพันโดยตรงกับมุฮัมมัด บินอับดุลวะฮาบ (ผู้ก่อตั้งลัทธิวะฮาบี) ในการตีความที่ครอบคลุมทุกเรื่องและสุดโต่งของเขาเกี่ยวกับศาสนา”
หนึ่งในหลักการที่สำคัญที่สุดในทัศนะของอับดุลวะฮาบ ได้กลายเป็นกุญแจของความเชื่อต่างๆ ของกลุ่มตักฟีรีย์ (พวกที่กล่าวหาผู้มีความเชื่อต่างจากตนว่าเป็นผู้ปฏิเสธอิสลาม) ในแนวคิดของพวกตักฟีรีย์นั้น หากใครก็ตามที่ดำเนินการในลักษณะหนึ่งที่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นการต่อต้านอำนาจการปกครองแบบเผด็จการ อับดุลวะฮาบและบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามเขาจะถือว่าเขาผู้นั้นเป็น “กาฟิร” (ผู้ปฏิเสธศรัทธา)
อับดุลวะฮาบ ได้เขียนไว้ในตอนหนึ่งว่า “ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามทัศนะนี้จะต้องถูกสังหาร ภรรยาและลูกสาวของพวกเขาสามารถล่วงละเมิดได้ และทรัพย์สินของพวกเขาทั้งหมดจะถูกยึด”
รายชื่อของกลุ่มชนผู้ตกศาสนา (มุรตัด) ซึ่งในทัศนะของอับดุลวะฮาบถือว่าสมควรถูกสังหาร ซึ่งครอบคลุมถึงชีอะฮ์ ซูฟีย์และมุสลิมนิกาย (มัซฮับ) อื่นๆ กลุ่มคนเหล่านี้อับดุลวะฮาบจะไม่ยอมรับว่าพวกเขาเป็นมุสลิมอย่างเด็ดขาด…..!!!
ราชวงศ์อิบนุซะอูด หลังจากที่ได้รับอำนาจการปกครองในซาอุดิอาระเบียโดยอาศัยแนวคิดของอับดุลวะฮาบ จึงสามารถดำเนินพฤติกรรมและการกระทำต่างๆ ในอดีตของตนต่อไปได้ และได้โจมตีหมู่บ้านต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียง ปล้นสะดมทรัพย์สินของพวกเขา แต่แตกต่างกันตรงที่ว่าตอนนี้พวกเขากระทำสิ่งเหล่านั้นภายใต้ชื่อว่า “ญิฮาด” และไม่ได้เป็นไปตามธรรมเนียมเดิมของตน!
ในเส้นทางนี้ กลยุทธ์ของพวกเขาก็เช่นเดียวกับกลยุทธ์ของกลุ่มไอซิสที่กระทำอยู่ในขณะนี้ ซึ่งพวกเขาจะบีบบังคับประชาชนในแผ่นดินต่างๆ ที่ถูกยึดครองให้ยอมจำนน พวกเขาจะพยายามทำให้ประชาชนหวาดกลัว
ในปี 1801 พันธมิตรเหล่านี้ได้บุกโจมตีเมืองศักดิ์สิทธิ์ “กัรบะลาอ์” ในอิรัก และพวกเขาได้สังหารหมู่ชาวชีอะฮ์หลายพันคน แม้กระทั่งผู้หญิงและเด็กๆ และได้ทำลายสุสานจำนวนมาก รวมทั้งสถานที่ฝังศพของท่านอิมามฮุเซน (อ.)
นายพัน “Francis Warden” ชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นผู้เห็นเหตุการณ์นี้ ได้เขียนว่า พวกเขาได้ปล้นสะดมกัรบะลาอ์ ในตลอดช่วงวันดังกล่าว พวกเขาได้สังหารหมู่ประชาชนด้วยความโหดเหี้ยม มากกว่า 5,000 คน
“อุสมาน อิบนิบาชีร นัจดีย์” นักประวัติศาสตร์และนักวิจัยของรัฐบาลสมัยแรกของซาอุดีอาระเบีย ได้เขียนว่า ราชวงศ์ซาอูดได้ประกอบอาชญากรรมการสังหารหมู่ประชาชนในกัรบะลาอ์ เขาได้พูดถึงการสังหารหมู่นี้อย่างภาคภูมิใจ โดยกล่าวว่า เราได้บุกยึดกัรบะลาอ์แล้ว และได้สังหารหมู่ประชาชนอีกทั้งได้ควบคุมตัวพวกเขามาเป็นทาส จากนั้นเราได้ทำนมาซและเราไม่ได้ทำการเตาบะฮ์ (สำนึกผิด) แต่อย่างใดในสิ่งที่เราได้กระทำ และเรากล่าวว่า สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธ (กาฟิร) การกระทำที่คล้ายกันนี้กำลังรอคอยพวกเขาอยู่
ในปี 1803 อับดุลอะซีซ (ลูกชายของอิบนิซาอูด) ได้เข้าสู่เมืองมักกะฮ์ เมืองที่ตกอยู่ภายใต้การกดดัน ความโหดร้ายและความหวาดกลัวเช่นเดียวกับมะดีนะฮ์ บรรดาสาวกของอับดุลวะฮาบได้ทำลายสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และหลุมฝังศพต่างๆ ทั้งหมด ในช่วงปลายของปีนี้ พวกเขาได้ทำลายร่องรอยของสถาปัตยกรรมอิสลามที่อยู่ใกล้กับมัสยิดอัลฮะรอมทั้งหมด
The Huffington Post ได้เขียนเกี่ยวกับวิธีการแพร่ขยายของลัทธิวะฮาบีว่า ด้วยการปรากฏขึ้นของเงินที่เป็นโชคลาภจากน้ำมัน ซาอุดีอาระเบียได้กำหนดให้การแพร่ขยายลัทธิวะฮาบีเป็นวาระการดำเนินการของตน… เงินจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ถูกลงทุนไปเพื่อการแพร่ขยายและเผยให้เห็นถึงอำนาจเย็น (Soft Power) และการลงทุนนี้ยังคงดำเนินอยู่
การทุ่มเทค่าใช้จ่ายจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ให้กับโครงการอำนาจเย็น (Soft Power) นี้ ประกอบกับความปรารถนาร่วมกันของซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอเมริกาในการบริหารจัดการโลกอิสลาม ได้กลายเป็นเหตุทำให้ลัทธิวะฮาบีได้หยั่งรากฝังลึกในระดับการศึกษา สังคมและวัฒนธรรมในภูมิภาคส่วนใหญ่ของโลกอิสลาม
สิ่งนี้เองที่เป็นสาเหตุทำให้ตะวันตกผูกติดนโยบายต่างๆ ของตนเองเข้ากับซาอุดีอาระเบีย เป็นการดำเนินการที่ได้เริ่มต้นขึ้นนับจากช่วงเวลาของการพบปะกันระหว่างคิงส์อับดุลอะซีซและธีโอดอร์ โรสเวลต์ (Theodore Roosevelt) อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บนเรือรบลำหนึ่งของสหรัฐอเมริกา และดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้
สายตาของชาวตะวันตกได้จดจ้องไปที่ระบอบกษัตริย์นี้ และสิ่งที่ดึงดูดสายตาของพวกเขาไปยังซาอุดีอาระเบีย ก็คือความมั่งคั่ง การสร้างภาพลักษณ์ใหม่ และการกล่าวอ้างความเป็นผู้นำเหนือโลกอิสลาม
ที่มา http://fa.alalam.ir/news/1760061