ครบรอบ 37 ปี การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน

2060

ปัจจัยความสำเร็จจากมุมมองของอิมามโคมัยนี

การปฏิวัติเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติแต่หากถามว่าการปฏิวัติใดบ้างที่ยังคงเป็นยืนยงจนถึงทุกวันนี้ ถ้าไม่ใช่การปฏิวัติอิสลามในอิหร่านของอิมามโคมัยนี (รฎ.)

ปีนี้ครบรอบ 37 ปี แห่งการปฏิวัติอิสลามที่เกิดขึ้นในประเทศอิหร่าน ซึ่งการปฏิวัตินี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการโค่นล้มชาห์ แห่งราชวงศ์ปาห์ลาวี ที่ปกครองอิหร่านมานานกว่า 4 ทศวรรษ อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งกับมหาอำนาจโลกผู้อหังการ อเมริกา และระบอบยิวไซออนิสต์ ที่สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

iran1979

 

เหตุการณ์ก่อนปฏิวัติอิสลามอิหร่าน

ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับโลกตะวันตกมีมาอย่างยาวนานซึ่งจุดเริ่มต้นก็คือ เหตุการณ์ปฏิวัติอิสลามในปี 2522 หรือ 37 ปีที่แล้วอันทำให้อิหร่านกลายเป็นรัฐอิสลามและมีแนวคิดต่อต้านมหาอำนาจโลกผู้อหังการและระบอบยิวไซออนิสต์มาจนถึงปัจจุบัน
ในวันนั้นชาวอิหร่านนับล้านคน ออกมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองที่อิหร่านสิ้นสุดระบอบการปกครองโดยราชวงศ์ปาห์ลาวี ที่มีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับฝั่งตะวันตก พร้อมกับยินดีที่ประเทศจะปกครองด้วยระบอบสาธารณรัฐอิสลาม โดยมีประธานาธิบดีเป็นผู้นำสูงสุดของรัฐบาล ซึ่งในตอนนั้น อยาตุลลอฮ์ รูฮุลลอฮ์ โคมัยนี ผู้นำในการปฏิวัติโค่นล้มชาห์ ก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศ
ซึ่งก่อนหน้าการโค่นล้มชาห์ สหรัฐอเมริกาและราชวงศ์ปาห์ลาวี มีสายสัมพันธ์ที่ค่อนข้างแน่นแฟ้น เนื่องจากในช่วงนั้นซึ่งเป็นยุคสงครามเย็น อดีตสหภาพโซเวียต กำลังขยายอิทธิพลมายังตะวันออกกลาง ซึ่งสหรัฐฯมองว่า อิหร่านคือยุทธศาสตร์สำคัญที่สหรัฐฯต้องสกัดกั้นไม่ให้ลัทธิคอมมิวนิสต์เข้าไปฝังตัวจึงให้ความช่วยเหลือราชวงศ์ปาลาห์วี และสนับสนุนให้ชาห์กลับมาครองบัลลังก์อีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เกิดปัญหาภายในประเทศจนชาห์ต้องลี้ภัยไปประเทศอื่น

An Iranian boy, fist raised in symbolic defiance, heads a huge crowd of Ayatollah Khomeini supporters across Tehran in an anti-Shah demonstration estimated at over a million strong, Dec. 10, 1978. Behind him demonstrators carry a banner reading: "Everyone has the right to take part in the government of his own country," and behind another reads: "We will destroy Yankee power in Iran." (AP Photo)
ชาวอิหร่านไม่พอใจชาห์ และมองว่าเขาคือเครื่องมือของสหรัฐฯในการแผ่อำนาจมาในประเทศอิหร่าน ซึ่งในขณะเดียวกันอยาตุลลอฮ์ รูฮุลลอฮ์ โคมัยนี ก็กำลังเคลื่อนไหวต่อต้านชาห์ พร้อมกับความพยายามในการสถาปนารัฐอิสลามในอิหร่าน จนนำมาสู่ความสำเร็จในการปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์ปาห์ลาวีได้ในที่สุด

หลังจากเหตุการณ์ปฏิวัติผ่านไปไม่กี่เดือน กลุ่มนักเรียน นักศึกษาชาวอิหร่านหลายพันคน ก็บุกเข้าโจมตีสถานทูตสหรัฐฯในกรุงเตหะราน เนื่องจากความโกรธแค้นที่สหรัฐฯมีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับชาห์ โดนในสถานทูตแห่งนั้นมีชาวอเมริกัน 66 คนอยู่ด้านใน ขณะที่กลุ่มนักศึกษาก็ได้จับกุมตัวชาวอเมริกันไว้เป็นตัวประกันนานถึง 444 วัน

แม้ว่าในปี 2532 อิมามโคมัยนีจะเสียชีวิตลงแต่ก็มีอยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ขึ้นมาสานต่อในการเป็นผู้นำสูงสุดแห่งอิหร่าน และนับวันความแข็งแกร่งและอำนาจของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านยิ่งประจักษ์ชัดต่อประชาโคมโลก โดยเฉพาะหลังจากที่ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน   อิหร่านกลายเป็นเนื้อหอมสำหรับนานาชาติในการสร้างความสัมพันธ์และลงนามบรรลุข้อตกลงด้านต่างๆกับอิหร่าน โดยมีผู้นำหลายสิบชาติได้มุ่งหน้าเยือนอิหร่านอย่างไม่ขาดสาย รวมทั้งประเทศไทย  …….

1979_Demonstrations_Posters_Khomeini_Mosaddegh_Takhti

ปัจจัยสำคัญแห่งความสำเร็จของการปฏิวัติอิสลามในมุมมองของอิมามโคมัยนี

 ประเด็นหลักที่ต้องการนำเสนอในที่นี้คือ ในทัศนะของอิมามโคมัยนี อะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้การปฏิวัติอิสลามประสบความสำเร็จ ???  ซึ่งมีหลายๆปัจจัยแต่ขอนำเสนอเพียงบางส่วนดังนี้

1- การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน เป็นการปฏิวัติเพื่ออัลลอฮ์(ซบ)

ปัจจัยแรกที่ทำให้การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านได้รับชัยชนะในทัศนะของอิมามโคมัยนี (รฎ.) คือเป็นการลุกขึ้นต่อสู้เพื่อพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวและเพื่อความพึงพอพระทัยของพระองค์เท่านั้น นี่คือปัจจัยหลักที่สำคัญที่สุดของการปฏิวัติครั้งนี้ อิมามโคมัยนี (รฎ.) ได้ประกาศสิ่งนี้ตั้งแต่เริ่มแรกของการเคลื่อนไหวในวาระต่างๆของท่าน

อิมามโคมัยนี (รฎ.) ได้อรรถาธิบายโองการ “จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด ฉันขอเตือนพวกท่านเพียงข้อเดียวว่า พวกท่านจงยืนขึ้นเพื่ออัลลอฮ์ (ครั้งละ) สองคน และคนเดียว” (ซูเราะฮ์สะบะอ์ โองการที่ 46)     ว่า “ศาสดาอิบรอฮีม (อ.) ศาสนทูตของอัลลอฮ์ (ซบ.) ได้ต่อสู้ยืนหยัดกระทั่งหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งดุนยาคือลุกขึ้นต่อสู้เพื่อพระองค์เดียว ท่านศาสดามูซา (อ.) ผู้ที่พระองค์ทรงตรัสกับท่านโดยตรง สามารถโค่นล้มฟาโรห์ด้วยไม้เท้าอันเดียวจนกลายเป็นบุคคลที่รักยิ่งของพระองค์ ก็เนื่องจากการลุกขึ้นต่อสู้เพื่อพระองค์เดียว และศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ศาสดาองค์สุดท้ายที่ลุกขึ้นต่อสู้กับความป่าเถื่อนต่างๆ ในวันนั้นโดยการป่าวประกาศถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.) ก็คือการลุกขึ้นต่อสู้เพื่อพระองค์เดียวเช่นกัน”

อิมามโคมัยนี (รฎ.) ก็เป็นอีกท่านหนึ่งที่ได้น้อมรับพระบัญชาของพระองค์ และได้ปฏิบัติตามแบบฉบับของบรรดาศาสดาทั้งมวลในการยืนหยัดต่อสู้กับผู้ปกครองทรราช เพื่อพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียว ในวันนั้นกษัตริย์ชาห์แห่งอิหร่านได้เริ่มทำลายรากฐานของอิสลามอย่างเปิดเผย บรรดาศัตรูอิสลาม สหรัฐอเมริกา อิสราเอล เข้ามามีอำนาจอย่างมากมายในประเทศอิหร่าน ท่านจึงลุกขึ้นต่อสู้กับกษัตริย์ชาห์แห่งอิหร่านตามพระบัญชาของพระองค์อัลลอฮ์ (ซบ.)

การลุกขึ้นต่อสู้ของท่านหาใช่ให้ได้มาซึ่งอำนาจ ทรัพย์สินเงินทอง และตำแหน่งลาภยศ  ฯลฯ แต่อย่างใด แต่เพื่อความพึงพอพระทัยของพระองค์เท่านั้น ตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องนี้ เหตุกาณ์หนึ่งหลังจากที่การปฏิวัติได้รับชัยชนะ กษัตริย์ชาห์ก็ถูกขับไล่ออกจากอิหร่าน อิมามโคมัยนี (รฎ.) ถูกเชิญให้ไปอยู่ในวังอันรโหฐานของกษัตริย์ชาห์ในฐานะประมุขสูงสุดของประเทศอิหร่าน แต่ท่านปฏิเสธคำเชิญนั้นและได้ใช้ชีวิตในบ้านเล็กๆหลังหนึ่งใกล้กับสถานที่ปฏิบัติศาสนกิจจนท่านจากโลกนี้ไป

2014-04-01-iranian-revolution

2- การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน เป็นการปฏิวัติแห่งศรัทธา

อิมามโคมัยนี (รฎ.) ได้กล่าวว่า “ปัจจัยที่นำสู่ชัยชนะ คือความศรัทธาที่มั่นคง ความศรัทธาได้นำมาซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกันของประชาชาติอิหร่าน ประชาชาติอิหร่านทุกคนได้ปรารถนาในสิ่งเดียวกัน ป่าวประกาศไปในทิศทางเดียวกัน รวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวกัน กู่ก้องตะโกนวาทกรรมด้วยเสียงอันดังพร้อมๆ กันว่า “สาธารณรัฐอิสลาม” คือสิ่งที่เราปรารถนา

ประชาชาติอิหร่านทั้งหมดมองเห็นการเป็นชะฮาดัต(พลีในหนทางของพระองค์)ว่าเป็นความสำเร็จที่รุ่งโรจน์  พวกเขาหลุดพ้นจากพันธนาการต่างๆ แห่งดุนยา ต่อสู้กับรถถัง กับระเบิดนานาชนิด และพวกเขาก็ได้มีชัยเหนือพลทหารของมารและฏอฆูตในที่สุด”

อิมามโคมัยนี (รฎ.) ได้กล่าวว่า “จงรักษาความศรัทธานี้ไว้ให้มั่น จงรักษาการปฏิวัตินี้ไว้ให้ได้ จงรักษาวาทกรรมอันยิ่งใหญ่ไว้ ความศรัทธาเท่านั้นที่จะทำให้รัฐแห่งนี้มีชีวิตชีวาตลอดไป การเปลี่ยนแปลงที่ได้เกิดขึ้นที่นี่ การปฏิวัติตัวตนของมวลมุสลิมที่ได้ก่อตัวขึ้นในที่นี่ คือปัจจัยที่นำสู่ชัยชนะของการปฏิวัติอิสลาม……”

 

Iranian_revolution_in_Rasht

3- การปฏิวัติอิสลาม คือการลุกขึ้นต่อสู้กับผู้กดขี่ และผู้บ่อนทำลาย
การลุกขึ้นต่อสู้กับผู้กดขี่และผู้บ่อนทำลาย คืออีกปัจจัยสำคัญหนึ่งที่นำชัยชนะมาสู่การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน อิมามโคมัยนี (รฎ.) และประชาชาติอิหร่านได้ยึดเอาบทบัญญัติหนึ่งของอัลกุรอานที่พระองค์ทรงมีพระบัญชาว่า
“และพวกท่านอย่าเห็นชอบไปกับบรรดาผู้อธรรม ไฟนรกจะสัมผัสพวกท่านได้ และสำหรับพวกท่านไม่มีผู้คุ้มครองใดๆ นอกจากอัลลอฮ์ แล้วพวกท่านจะไม่ช่วยเหลือ”  (ซูเราะฮ์ฮูด โองการที่ 113)

ดังนั้นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านโดยการนำของอิมามโคมัยนี (รฎ.) ได้รับชัยชนะคือการมีเป้าหมายต่อการลุกขึ้นต่อสู้กับการกดขี่ข่มเหงของผู้มีอำนาจ เป้าหมายสูงสุดของการปฏิวัติคือการ ต่อสู้กับการกดขี่ของผู้ปกครองที่อธรรม และผู้ที่บ่อนทำลายอิสลาม นี่คือเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน
อิมามโคมัยนี (รฎ.) ผู้นำการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ได้กล่าวไว้ว่า “ภารกิจของพวกเราคือ ลุกขึ้นต่อสู้กับการกดขี่ทั้งหลาย เราจะทำสงครามกับผู้กดขี่ทั้งหลาย ถ้าหากเราปฏิบัติภารกิจนี้จนพวกเขาล่าถอยไป นั่นคือความสำเร็จ แต่ถ้าหากไม่ นั่นหมายความว่าเราได้ปฏิบัติภารกิจของเราอย่างสุดความสามารถแล้ว”

ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นแค่เพียงปัจจัยเบื้องต้นที่ทำให้การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านได้รับชัยชนะ การปฏิวัติเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติแต่หากถามว่าการปฏิวัติใดบ้างที่ยังคงเป็นอมตะจนถึงทุกวันนี้ ถ้าไม่ใช่การปฏิวัติอิสลามในอิหร่านของท่านอิมามโคมัยนี (รฎ.)
อยาตุลลอฮ์ซัยยิด อาลี คาเมเนอี ได้กล่าวว่า “ถ้าไม่มีอิมามโคมัยนี (รฎ.) ก็จะไม่มีวันที่ขบวนการปฏิวัตินี้จะมีชื่อปรากฏอยู่ในโลก และหลังจากการปฏิวัติแห่งอิหร่านก็ยังจะไม่มีการปฏิวัติอื่นใดปรากฏขึ้นในโลก เว้นแต่การปฏิวัตินั้นจะมีชื่อของอิมามโคมัยนี(รฎ.) เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ด้วย”

การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านนั้นสำเร็จลงได้ก็เพราะมีผู้นำอย่างอิมามโคมัยนี(รฎ.)อีกทั้งความสำเร็จของท่านในด้านการสถาปนารัฐอิสลามแห่งอิหร่านได้กลายเป็นแรงดลใจให้เกิดการปฏิวัติในที่อื่นๆที่เกิดขึ้นในวันนี้……