“หากใครก็ตามที่คิดว่า การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านที่เกิดขึ้น ในวันที่ 22 บะห์มัน (เดือนอิหร่าน) เมื่อ 37 ปีที่แล้ว ได้มาถึงจุดอิ่มตัว โดยการพิจารณาจาก การปฏิวัติในฝรั่งเศส ที่ไปถึงจุดสุดท้าย เมื่อปี 1789 เขาคนนั้น ย่อมไม่รู้จัก “การปฏิวัติ”อย่างแท้จริง และแท้จริงการปฏิวัติ ไม่ใช่ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจะต้องยุติ ที่เกิดขึ้นชั่วระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็สิ้นสุดลงในระยะเวลาต่อมา ทว่า การปฏิวัติ คือ ปรากฎการณ์ที่มีชีวิต และจะยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
นั่นคือ คำพูดของ ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน ที่ได้กล่าวในปีนี้ สำหรับการเคลื่อนไหวในลักษณะของการปฏิวัตินั้น เราสามารถศึกษา และวิเคราะห์ ได้ในสามขั้นตอน และเมื่อศึกษาจากขั้นตอนทั้งสาม จะทำให้เราได้คำตอบว่า การปฏิวัตินั้น กำลังไปสู่จุดตกต่ำ หรือ กำลังพัฒนาไปอีกก้าว ?
ขั้นตอนที่หนึ่ง คือ การพิจารณาจาก โครงสร้างของการปฏิวัติ กับ ระบบเก่า
ขั้นตอนที่สอง คือ การพิจารณาว่า การปฏิวัติดังกล่าว ได้ไปถึงเป้าหมายที่ได้วางไว้หรือไม่ ?
ขั้นตอนที่สาม คือ การพิจารณา รากฐานของการระบบการปฏิวัติ และการเริ่มต้นสร้างรัฐบาล และวิธีการปฏิรูปสังคม
โดยทั่วไปแล้ว ทุกการปฏิวัติ จำเป็นต้องอาศัย ความพยายาม และความอุตสาหะ ในการหล่อเลี้ยงชีวิตและจิตวิญญาณของมัน เพื่อรักษาแกนหลักทั้งสองประการให้มั่นคงไว้ได้ นั่นคือ หลักการปฏิวัติ และ หลักการปฏิบัติ, ความพร้อมในการตอบคำถาม และแก้ไขปัญหา สังคมที่เกิดขึ้น
หากระบบการปฏิวัติใด ไม่สามารถรักษา สองสิ่งนี้ไว้ ระบบนั้น จะตรงดิ่งสู่ความตกต่ำอย่างรวดเร็ว และจะสูญหายไปในท้ายที่สุด ตัวอย่างเช่นการปฏิวัติในอิยิปต์
ในอิยิปต์ การปฏิวัติ ต้องถึงจุดตกต่ำ เพราะการละเลย รากฐาน และเป้าหมาย ที่ได้ตั้งไว้ และเพราะการผูกใจ กับ เผด็จการ ตอนนี้พวกเขามีชะตากรรมอย่างไรในวันนี้ หลายๆ ท่านต่างก็ได้เห็นกันแล้ว เผด็จการสามสิบปีถูกปล่อยเป็นอิสระจากสถานจองจำ และคนที่ถูกเลือกโดยประชาชน กลายเป็นผู้ต้องหา ถูกคาดโทษ ประหารชีวิต การปฏิวัตินี้ ล้มเหลว ในขั้นตอนแรก และถูกบีบคอไว้ จนแทบไม่มีอากาศได้หายใจ ดังที่เห็นในปัจจุบัน
หรือจะเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ในแผ่นดินตะวันตก ซึ่งการปฏิวัตินั้นคือจุดกำเนิดของความเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น การปฏิวัติฝรั่งเศส ในศตวรรษที่ 18 การปฏิวัติในฝรั่งเศส คือ สงครามอุดมการณ์ ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว มันคือ การปฏิวัติของยุโรป ซึ่งเกิดขึ้นใหม่ ระหว่างประชาชนกับกษัตริย์ในยุคสมัยนั้น โดยมีเป้าหมายเพื่อล้มระบบเก่า และสร้างระบบใหม่ให้เกิดขึ้นในทวีปนี้ ในช่วงเริ่มต้นการปฏิวัตินี้สามารถล้มระบบเก่าได้สำเร็จ และเลิกระบบ สาธารณะชนเข้ามาแทนที่ แต่แล้วยี่สิบปีหลังจากการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส สิ่งที่พวกเขาเปลี่ยนแปลงได้ คือ การเปลี่ยนผู้ปกครอง จาก หลุยส์ เป็นอีกคนหนึ่ง และในปี 1809 นโปเลียนก็เข้ามาแทนที่ กลายเป็นจักรวรรดิ และ สโลแกนดั่งเดิมที่ต้องการให้ประชาชนมีเสรี ระบบการปกครองของนโปเลียน ก็เป็นเพียงความหวังที่เลื่อนลอย กระนั้นก็ตาม การปฏิวัติฝรั่งเศส ก็ยังคงถูกถือเป็น การปฏิวัติ อันประเสริฐ ในสายตาของฝรั่ง และพวกเขา ก็เชิดชูต่อการปฏิวัตินี้
ทว่า สองร้อยปีหลังจากนั้น ในปี 1979 ประชาชนกลุ่มหนึ่งได้ลุกขึ้นปฏิวัติ ภายใต้ อุดมการณ์ ของศาสนาอิสลาม ด้วยนามของ “พระเจ้า” และการปฏิวัตินี้ เกิดขึ้นในอิหร่าน ซึ่งนับตั้งแต่วันที่จัดตั้ง จนถึง วันนี้ การปฏิวัตินี้ มีอายุได้ 37 ฤดูใบ้ไม้ผลิแล้ว นั่นหมายความว่า การปฏิวัติในอิหร่าน สามารถยืนยันคงกระพัน ได้ยาวนานกว่า การปฏิวัติในฝรั่งเศส ถึง 17 ปี
การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน สามารถส่องแสง และสร้างโครงสร้างทางความคิดให้กับโลก และขจรขจายไปทั้งตะวันตก และตะวันออก (ในประเทศไทย ตัวอย่างของผลการปฏิวัติในอิหร่าน ส่งผลให้ มุสลิมรณรงค์ในการคลุมฮิญาบ) และการปฏิวัตินี้ ยังได้ฉีกแผ่นกระดาษโฆษณาชวนเชื่อ ของผู้รู้ชาวตะวันตก ที่พยายาม ฉายภาพให้เห็นว่า ศาสนาคือ ระบบที่ล้าหลัง และไม่สามารถใช้บริหาร ปกครองมนุษย์ได้
ปัจจัยที่ทำให้ การปฏิวัติมีชีวิต
หากเราถือว่า รากฐาน และ การปฏิบัติ ของ ผู้ปฏิวัติ คือ ปัจจัยทำสำคัญ ที่ทำให้การปฏิวัติมีชีวิต เราจะเห็นว่า การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน สามารถ ทำให้การปฏิวัตินี้มีอายุยืนยาว ภายหลังจากการ ก่อตั้งระบบ และ โครงการปฏิวัติได้สำเร็จ ในวันนี้ เราต่างได้เห็นว่า ในแต่ละภูมิภาคของโลก อัดแน่นไปด้วยบรรยากาศของภัยความมั่นคงทางการเมือง และ มีการจุดไฟและความรุนแรงให้ลุกลา ขึ้นทั่วโลก ทั้งๆ ที่ความมั่นคงทางการเมือง คือ เสาหลักที่สำคัญในการพัฒนาโลก แต่อิหร่านก็ยังสามารถรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยได้อย่างดีเยี่ยม แม้ว่าจะต้องเผชิญกับ แรงกดดันจากรอบด้านก็ตาม ตามคำกล่าวของผู้นำอิหร่านเผยว่า “ปัจจุบันศูนย์วิจัยข้อมูลของอิสราเอล รู้สึกวิตกกังวลต่อความก้าวหน้าทางความรู้และวิทยาศาสตร์ของอิหร่าน” และพวกเขายังใช้การเผยแพร่วัฒนธรรม มาทำลายการปฏิวัตินี้ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ รมต.กระทรวงต่างประเทศซาอุ ได้ออกมาเปิดเผยว่า “โลกมีความหวังที่จะให้อิหร่าน ซึ่งเป็นประเทศดื้อดึง เปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นประเทศสมาชิกอันทรงเกียรติของสังคมโลก” หรือ แม้แต่โอบามา ก็เคยพูดว่า “สโลแกน อเมริกาจงพินาศ จะต้องยุติลง” สิ่งเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่า พวกเขาต้องการที่จะลบล้างการปฏิวัตินี้ให้หายไป และที่ต้องการลบล้างเพราะเป้าหมายของการปฏิวัตินี้ คือ ภาพลักษณ์ที่แท้จริงของการปกครองแบบศาสนา หรือ ธรรมาธิปไตย
การปฏิวัติในวันนี้ นับวันยิ่งขึ้นสูงไปเรื่อยๆ ภายหลัจา นักปฏิวัติได้ทำให้การปฏิวัตินี้มั่นคง พวกเขาผ่านแผนสมคบคิด แบ่งแยกดินดิน ก่อกบฎ หรือ แม้แต่สงครามแปดปี ในวันนี้อิหร่านกำลังพัฒนาไปสู่อีกขั้นหนึ่ง และพวกเขายังสามารถจัดการกับปัญหาทางเศรษฐกิจได้ดีเยี่ยม แม้จะถูกบอยคอตจากหลายสิบประเทศก็ตาม และในตอนนี้ อิหร่านกำลังกลายเป็นประเทศที่เป็นพระเอกที่ทำให้เศรษฐกิจของชาวไทยดียิ่งขึ้น ดังที่เราได้ติดตามข่าว รองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ทำสัญญาการค้ากับอิหร่าน และประเทศอื่นๆ ,จีน ,รัสเซีย และประเทศอีกมากมาย ต่างเข้ามาทำสัญญาทางการค้า ซึ่งนั่น ชี้ถึง อนาคตที่สดใสของเศรษฐกิจของอิหร่าน และประเทศมิตรสหายที่ยิ้มให้กับพวกเขา
การปฏิวัตินี้ จึงกลายเป็น แม่แบบการปฏิวัติ และเป็นตัวอย่าง ที่สอนให้ ชาวโลก เรียนรู้ที่จะต่อสู้เพื่อ อุดมการณ์ ของตนเอง แม้จะต้องถูกคุกคามทั้งสิบทิศ เพราะพวกเขา ไม่เคยลืมเลือน เป้าหมายที่ วางไว้ เพราะพวกเขา ยังคงรักษา รากฐาน และโครงสร้างของการปฏิวัตินี้ให้มีชีวิตอยู่ต่อไป และเพราะพวกเขา เรียนรู้ที่จะแก้ไข และปฏิรูปสังคม ตามแนวทางของศาสดามูฮัมมัด (ศ) และวงศ์วานของท่าน และเพราะพวกเขา คือ ผู้ยืนหยัด ต่อการปฏิวัติของตนเองอย่างแท้จริง