หลัง เกิดวิกฤติสงครามกลางเมืองในซีเรีย เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า กลุ่มก่อการร้ายต่างๆ เป็นภัยคุกคามต่อประเทศต่างๆ อย่างแท้จริง กลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้มีความเป็นมาอย่างไร? มีแหล่งสนับสนุนด้านการเงินและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆมาจากที่ใด? เหล่านี้เป็นคำถามที่หลายคนกระหายที่จะรู้
ทั้งนี้กลุ่มก่อการร้ายในซีเรียสามารถแบ่งเป็นกลุ่มๆพอสังเขปได้ดังนี้
1.กลุ่ม”ดาอิช” หรือ กลุ่มรัฐอิสลามในอิรักและซีเรีย (ชาม)
คือกลุ่มติดอาวุธ ที่มีแนวคิดซะละฟีย์หัวรุนแรง เป็นกลุ่มก่อการร้ายที่พยายามจะก่อตั้งระบบคอลีฟะฮ์ในซีเรียและอิรัก กลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่เคลื่อนไหวในอิรักและซีเรีย มีหัวหน้ากลุ่มมีชื่อว่า อบูบักร อัล บัคดาดี ระบบการปฏิบัติการและที่มาของกลุ่ม “ดาอิช” กลุ่มนี้ถูกก่อตั้งขึ้นมาจากการประชุมของกลุ่มติดอาวุธในอิรัก เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2006 ผลจาการประชุมครั้งนั้น อบูอุมัร อัลบัคดาดี ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าขบวนการ กลุ่มก่อการร้ายที่ถูกจัดตั้งขึ้นมา มีหน้าที่ในการโจมตีและก่อความไม่สงบในสถานที่ต่างๆ ในประเทศอิรัก หลังจาก อบูอุมัร อัลบัคเดดี ได้เสียชีวิตในวันที่ 19 เมษายน 2010 จากนั้น อบูบักร อัลบัคดาดี ก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำแทน ซึ่งการขึ้นมาเป็นผู้นำของอบูบักร อัลบัคเดดี ทำให้การเคลื่อนไหวและการก่อการร้ายถูกตีวงกว้างขึ้น ขบวนการกลุ่มนี้ก็ได้ร่วมปฏิบัติการในช่วงที่ได้เกิดวิกฤติงครามกลางเมือง ในประเทศซีเรียด้วยเช่นกัน
การก่อตั้ง ขบวนการช่วยเหลือ “นัสเราะฮ์” เพื่อชาวซีเรีย
จาก วิกฤติและสงครามกลางเมืองในซีเรีย กลุ่ม “ขบวนการช่วยเหลือ นัสเราะฮ์ เพื่อชาวซีเรีย”ในฐานะเป็นขบวนการสาขาย่อย ของขบวนการ “รัฐอิสลามในอิรัก” ถูกก่อตั้งขึ้น ในช่วงท้ายของปี 2011 และเป็นรู้จักกันในเวลาอันรวดเร็ว จากกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มอื่นๆ ขบวนการนี้เกิดจากคนกลุ่มหนึ่งที่มาจากต่างประเทศและใช้ชื่อกลุ่มว่า “ขบวนการช่วยเหลือชาวซีเรีย” วันที่ 9 เมษายน 2013 อบูบักร อัลบัคดาดี หัวหน้าขบวนการ “รัฐอิสลามในอิรัก” ได้ประกาศในข้อความเสียงของตนว่า ให้รวม “ขบวนการช่วยเหลือนัศเราะฮ์เพื่อชาวซีเรีย”และ ”รัฐอิสลามในอิรัก” เข้าด้วยกัน กลายเป็นกลุ่ม “รัฐอิสลามในอิรักและซีเรีย” ปลายเดือนธันวาคมปี 2010 และต้นปี 2014 การเริ่มเคลื่อนไหวของกองกำลังทหารประเทศอิรัก เพื่อกวาดล้างเมืองอัลอันบาร ทำให้สมาชิกขบวนการกลุ่ม“ดาอิช” ได้หนีการกวาดล้างเข้าเมืองฟูลูญะฮ์
เป้า หมายของ “กลุ่มดาอิช” หลังจากการก่อตั้งกลุ่ม “วาฮีดและญิฮาด” ซึ่งมี ”อบูมัศอับ อัซซารกอวี” เป็นหัวหน้าขบวนการ ในปี 2004 เขาได้ให้ความจงรักภักดีและสวามิภักดิ์ต่อ ”อุซามะ บินลาเดน” ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มเก่า “อัลกออิดะฮ์” จึงทำให้ขบวนการนี้กลายเป็นสาขาย่อยของกลุ่ม ”อัลกออิดะฮ์” ในอิรัก การเคลื่อนไหวและการปฏิบัติการอย่างกว้างขวาง จึงทำให้ขบวนการนี้กลายเป็นกลุ่มที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดกลุ่มหนึ่งใน ประเทศอิรัก หลังจากการเสียชีวิตของอัซกอวีในปี 2006 “อบูฮัมซะ อัล มูฮาญิร” ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าขบวนการ และในช่วงท้ายของปีนี้เอง กลุ่ม ”รัฐอิสลามในอิรัก” ด้วยการนำของ”อบูอุมัร อัลบัคดาดี” ก็ถูกก่อตั้งขึ้น
ใน วันที่ 19 เมษายน 2010 กลุ่มกองกำลังที่ร่วมกันระหว่างอิรักและอเมริกา ได้เคลื่อนไหวไปยังพื้นที่เป้าหมาย “อัซซัรซาร” ซึ่งเป็นสถานที่ที่ “อบูอุมัร”และ”อบูฮัมซะ”ใช้ในการกบดาน ได้เกิดการปะทะและการต่อสู้อย่างดุเดือด สุดท้ายสองผู้ก่อการร้ายก็ถึงจุดจบด้วยระเบิดที่ถล่มลงในบริเวณพื้นที่แห่ง นั้น ร่างทั้งสองผู้ก่อการร้ายถูกวางไว้ต่อหน้าสาธารณชน หลังจากนั้น หนึ่งสัปดาห์ ขบวนการนี้ก็ได้รับทราบข่าวการเสียชีวิตของทั้งสองในอินเตอร์เน็ต และสิบวันถัดมา”อบูบัก อัคบัคดาดี” ก็ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าคนใหม่ “อันนาศิร ลิดีนนิลลาฮ์ สุไลมาน” ได้รับการแต่งตั้งเป็นเลขานุการทางการรบของขบวนการ สถานที่พำนักอาศัยของ นักรบขบวนการ “ดาอิช” ประเทศอิรัก นักรบขบวนการ”ดาอิช”ถูกจำกัดอาศัยอยู่ในบางพื้นที่ของเมืองต่างๆในประเทศ อิรัก โดยเฉพาะเมือง “อัลอันบาร”และได้เคลื่อนไหวอย่างลับๆในการก่อการร้ายทั่วประเทศอิรัก ตามรายงานต่างๆที่ถูกตีพิมพ์กลุ่ม” ดาอิช” ในครึ่งหลังของปี 2013 ได้ทำลายและระเบิดบ้านเมืองเกือบ 1400 หลัง จากการโจมตีเหล่านี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 1,996 คน และอีก 3,021 คนที่ได้รับบาดเจ็บ ประเทศซีเรีย ผู้ร่วมขบวนการดาอิชในซีเรียอาศัยอยู่ในพื้นที่ต่างๆของเมือง ราเกาะฮ์ ฮัลบ์ ฮูมะฮ์ลิอัสกียะฮ์ ดีรุลซูร ฮุมศ์ และอื่นๆ กระจายกันออกไป และในบางพื้นที่พวกเขาก็ครอบคลุมพื้นที่ไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ
ต้นตอ ความขัดแย้งของกลุ่ม”ดาอิช”และขบวนการนัสเราะฮ์ ชาวซีเรีย การเริ่มต้นเกิดความขัดแย้ง เนื่องจากการถูกกวาดล้างของขบวนการ”นัสเราะฮ์”และกลุ่ม”ดาอิช”ในประเทศ ซีเรีย ท้ายที่สุด “อัยมันอัลศะวาฮิรี”หัวหน้าของกลุ่มอัลกออิดะฮ์ ได้ตัดสินใจเลือก อบูบักร อัลบัคเดดี เป็นหัวหน้าขบวนการรัฐอิสลามในอิรักเพื่อที่จะรวมกับกลุ่มของตนและ ยกเลิก”กลุ่มนัศเราะฮ์” อัซซอวาฮิรี ได้เน้นการเคลื่อนไหวของกลุ่ม”รัฐอิสลามในอิรัก”ให้มีแต่เฉพาะในอิรักเป็น ส่วนใหญ่ เรื่องนี้นำความไม่พอใจแก่หัวหน้าขบวนการ”ดาอิช” ถึงขึ้น อัลบัคเดดี ได้กล่าวไว้ในเทปเสียงของเขา พร้อมกับข้อเสนอต่อ อัยมันซอวาฮิรี ถึงการไม่เห็นด้วยสำหรับการแบ่งแยกกลุ่ม”ดาอิช”และ”ขบวนการนัศเราะฮ์”ของ เขา เขาได้กล่าวว่า: “ตราบใดที่ชีพจรของเรากำลังเต้นอยู่ และเลือดของเรากำลังไหลอยู่ในเส้นเลือด กลุ่มรัฐอิสลามในอิรักและซีเรียจะต้องดำรงอยู่ต่อ และเราไม่ใช่พวกนิ่งเฉยและต่อรองกับใคร”
*ผู้สนับสนุนขบวนการ”ดาอิช” คือ ใคร?
เหล่า ผู้ร่วมขบวนการ”ดาอิช” อย่างเช่น ขบวนการ”นัสเราะฮ์ เป็นกลุ่มก่อการร้ายที่มีอยู่ในซีเรียและอิรัก ซึ่งมีความป่าเถื่อนและไร้ความปราณีที่สุด ทั้งคลิปภาพที่ได้ถูกตีพิมพ์อย่างแพร่หลาย จากอาชญากรรมต่างๆของขบวนการก่อการร้ายนี้ เป็นสาเหตุให้ผู้สนับสนุนกลุ่มติดอาวุธต่างๆในซีเรียท้วงติง และเป็นสาเหตุให้กลุ่มต่างๆไม่ได้รับการสนับสนุน แม้กระทั่งบางกลุ่มที่ได้รับสนับสนุนระหว่างประเทศก็ไม่เห็นด้วยกับคนกลุ่ม นี้ และได้ทำสงครามกับกลุ่ม”ดาอิช” หลังจากเกิดสงครามในประเทศซีเรีย มีการอัดฉีดความช่วยเหลือกระจายไปทั่ว ทั้งทางด้านการเงิน,อาวุธ,และความเชื่อในอุดมการณ์ และกลุ่มติดอาวุธโดยเฉพาะ”กลุ่มดาอิช” ก็ได้ทุ่มเทเป็นอย่างมาก เพื่อให้ได้มาซึ่งการช่วยเหลือและอำนาจปกครองเหนือกลุ่มอื่นๆ เป็นสาเหตุที่ทำให้กลุ่มติดอาวุธเกิดความขัดแย้งและนำสู่สงครามและการต่อสู้ ระหว่างกัน เนื่องจากกลุ่ม”ดาอิช”และขบวนการนัศเราะฮ์ ได้ประกาศถึงความไร้ประสิทธิภาพและความไร้สามารถของหัวหน้ากลุ่มขบวนการ ก่อการร้ายอื่นๆ จึงทำให้การช่วยเหลือของเหล่าทุนต่างประเทศอัดฉีดความช่วยเหลือลงมาเพียงสอง กลุ่มนี้ การช่วยเหลือต่างๆจะอยู่ในรูปแบบของการเงิน,อาวุธ,ความเชื่อในอุดมการณ์, ระบบสื่อสาร,การเรียนการสอนและอื่นๆ ที่มาจากเหล่าหัวหน้าที่อยู่ต่างประเทศ เช่น อาหรับ ตุรกี และประเทศร่วมอื่นๆอีกจำนวนหนึ่งในทวีปยุโรป เพื่อพยายามจะทำให้สงครามนี้ดำเนินอยู่ต่อ และนำสู่การล่มสลายของประเทศซีเรีย การสั่งการและการบริหาร กลุ่ม”ดาอิช”มี โครงสร้างแบบองค์กร ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นจากผู้มีอำนาจในพื้นที่ต่างๆกับ “สภามุญาฮีดีน” และ บรรดาผู้บัญชาการในการเคลื่อนไหวของกลุ่ม คำสั่งการของการจัดตั้งกลุ่มมีขึ้นมาอย่างลับๆ บางคนจากเหล่าบรรดานักวิเคราะห์ทางการเมืองได้ทำการค้นคว้าและชี้ให้เห็นว่า ผู้บัญชาการของกลุ่ม”ดาอิช”ในซีเรีย นั้นคือ กลุ่มที่ต่อยอดมาจาก”กลุ่มอัลกออิดะฮ์”ในประเทศอิรัก
2 .ขบวนการ ”นัศเราะห์” (ผู้ ช่วยเหลือเพื่อชาวซีเรีย )
ในขณะที่เกิดวิกฤติการณ์สงครามกลางเมืองในประเทศซีเรีย เหล่าบรรดาหัวหน้าขบวนการติดอาวุธต่างๆ พยายามเป็นอย่างมากที่จะปล่อยข่าวว่า วิกฤตการณ์นี้เกิดจากประชาชนชาวซีเรีย ต้องการปฏิวัติการปกครองประเทศของตน หลังจากนั้นไม่นานการกระทำต่างๆของกลุ่มก่อการร้ายที่มีอยู่ก็เริ่มปรากฏชัด ต่อสายตาประชาชนในซีเรีย ทั้งๆที่ชื่อต่างๆของพวกเขาก็ไม่เคยถูกรู้จักมาก่อนเลยในประเทศซีเรีย
กลุ่ม ที่เรียกตนว่า “ขบวนการช่วยเหลือ”นัศเราะห์”เพื่อประชาชนซีเรีย ได้ใช้ชื่อนี้เพื่อหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชน ซึ่งขบวนการนี้เป็นหนึ่งในขบวนการที่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับ”กลุ่ม อัลกออิดะฮ์” ซึ่งมีรากฐานความเชื่อในแบบซะละฟีย์สุดโต่ง และกลุ่มนี้ก็ถูกสร้างขึ้นมาในช่วงท้ายปี 2011 คือช่วงเริ่มสงครามซีเรีย ด้วยการให้การสนับสนุนจากเหล่าประเทศอื่นๆ จึงทำให้ขบวนการนี้เป็นขบวนการที่มีประสิทธิภาพอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นกลุ่มที่ใช้ต่อกรกับประชาชนและทหารชาวซีเรีย
ผู้เข้า ร่วมขบวนการก่อการร้ายนี้ จะต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์ผ่านสงครามต่างๆมาอย่างโชกโชน ไม่ว่าจะเป็นสงครามในอิรัก อัฟกานิสถาน และลิเบีย เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มขบวนการอื่นๆกลุ่มนี้จะมีความเหนือกว่าอยู่เป็นอัน มาก ผู้ร่วมขบวนการนี้ได้ก่ออาชญากรรมต่างๆอย่างมากมายทั้งต่อประชาชนและทหารใน ซีเรีย ขบวนการนี้ก็เหมือนดั่งขบวนการอื่นๆที่เป็นสาขาย่อยของขบวนการ”อัล กออิดะฮ์”ที่เรียกร้องเชิญชวนอิสลามแต่ไม่เคยประกาศเรื่องราวต่างๆของไซออนิ สต์ที่ได้ยึดครองแผ่นดินปาเลสไตน์ และนำความเดือดร้อนมาสู่ประชาชนในแผ่นดินแห่งนั้น และพวกเขาก็ไม่เคยเหนี่ยวไกแม้กระทั่งกระสุนนัดเดียวเพื่อที่จะปลดปล่อยแผ่น ดินปาเลสไตน์อันศักดิ์สิทธิ์
ขบวนการ”นัศเราะห์” เป็นขบวนการติดอาวุธกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่ในแถบชายแดนทางตอนเหนือของซีเรียและตุรกี จนถึงแถบชายแดนเลบานอน และนักรบของกลุ่มขบวนการติดอาวุธนี้ ได้ทำสงครามกับประเทศซีเรีย เป็นผู้ที่ผ่านการอบรมฝึกฝนและมีอาวุธที่ก้าวหน้ากว่ากลุ่มอื่นๆ ตามรายงาน ที่ถูกตีพิมพ์ กลุ่มนัศเราะห์ จะมีสวัสดิการอำนวยความสะดวกมากกว่ากลุ่มอื่นๆหลายเท่า ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ได้มีการทุ่มทุนในปริมาณมหาศาลจากประเทศต่างๆ ซึ่งคือ การช่วยเหลือทางการเงิน เพื่อจะให้กลุ่มมีประสิทธิภาพในการทำงาน กลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้ ถูกจัดตั้งขึ้นในประเทศตุรกีจากหัวหน้ากลุ่ม”อิควานุลมุสลิมีน” ภายใต้การดูแลจากสภาที่มาจากคำสั่งของ “ฟารูค ตัยฟูร” ซึ่งเป็นรองหัวหน้า แต่ปัจจุบันถือว่าเขาเป็นผู้นำที่แท้จริง ผู้ร่วมขบวนการกลุ่มจะเป็นผู้รับ คำสั่งโดยตรงจากสำนักงานปฏิบัติการสากลของ”ฟารูค ตัยฟูร” ที่ตั้งอยู่ใกล้เขตแดนตุรกีและซีเรีย หลังจากอาชญากรรมต่างๆของนักรบ ขบวนการ”นัศเราะห์”ถูกเปิดเผยในซีเรีย ไม่ว่าจะเป็น การฆ่าสตรี บรรดาเด็กๆและพลเมืองอย่างทารุณ อเมริกาผู้ให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาลและการก่อสงคราม ก็ถูกกดดันให้ประกาศว่ากลุ่มนัศเราะห์ คือ หนึ่งในองค์กรก่อการร้าย
ด้วย ระบบการสื่อสาร สิ่งตีพิมพ์ และวิดิโอต่างๆ อาชญากรรมต่างๆของคนกลุ่มนี้ถูกเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต และสื่อบางองค์กร , เป็นการบีบบังคับให้หัวหน้าของของขบวนการติดอาวุธกลุ่มอื่นๆ ถือว่ากลุ่ม”นัศเราะห์”เป็นผู้ก่อการร้ายที่มีภัยต่อกลุ่มของตน เพื่อที่จะหยุดข่าวอื้อฉาวเหล่านั้น แต่การกระทำนี้ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการช่วยเหลือที่อยู่อย่างต่อเนื่องแก่ กลุ่มก่อการร้าย ขบวนการก่อการร้ายกลุ่มนี้ได้เริ่มต้นด้วยการแถลงการณ์ใน วันที่ 24 มกราคม 2012 ว่า ชาวซีเรียได้เรียกร้องถึงการทำสงครามและการขนอาวุธเพื่อต่อสู้กับรัฐบาล ซีเรีย *การเข้าร่วมกันระหว่างขบวนการ”นัศเราะห์”กับกลุ่มรัฐอิสลามในอิรัก
ใน วันที่ 9 เมษายน 2013 เขาได้ประกาศในเทปบันทึกเสียงของเขา ถึงการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของขบวนการ “นัศเราะห์” และ ขบวนการ”รัฐอิสลามในอิรัก” หลังจากนั้นจึงเกิดขบวนการใหม่ขึ้นมาในชื่อว่า “ขบวนการรัฐอิสลามในอิรักและซีเรีย” แต่ทว่าหลังจากนั้น “อัยมัน อัซซอวาฮิรี” ได้ยกเลิกการรวมกลุ่ม และได้สั่งการให้ทั้งสองกลุ่มรับผิดชอบในพื้นที่ต่างๆของตน ที่ตนเองมีอยู่ การกระทำนี้ของ “อัซซอวาฮิรี” เป็นเหตุให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มขบวนการ”นัศเราะห์” กับ กลุ่ม”รัฐอิสลามในอิรัก” และเกิดความขัดแย้งระหว่างผู้ร่วมขบวนการของทั้งสองกลุ่ม *สื่อและโฆษณาของ ขบวนการ”นัศเราะห์” การแถลงการณ์และคำประกาศต่างๆของขบวนการ”นัศเราะห์” จะเผยแพร่โดยเน้นไปในรูปแบบของสโลแกน “ผู้ก่อตั้งประภาคารสีขาว” *สัญชาติต่างๆของผู้เข้าร่วมขบวนการ”นัศเราะห์” โดยส่วนใหญ่ผู้เข้าร่วมกลุ่มขบวนการ”นัศเราะห์”คือพวกก่อการร้ายรุ่นเก่า ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ผ่านสงครามมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นอิรัก อัฟกานิสถาน เชชเนีย และประเทศอื่นๆ ด้วยเหตุที่พวกเขาผ่านประสบการณ์อย่างโชกโชนในเรื่องของการนองเลือด จึงถูกส่งมาที่ซีเรีย ผู้เข้าร่วมขบวนการนี้ มาจากหลายๆประเทศ ที่เข้ามาสู่สงครามในซีเรีย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น อาหรับ เติร์ก อุซเบกิสถาน เชชเนีย ตอจิกิสถาน และแถบยุโรป กลุ่มคนเหล่านี้เพื่อที่จะเข้าร่วมขบวนการนัศเราะห์ จำเป็นจะต้องผ่านการตรวจสอบจากคนที่น่าเชื่อถือ ถึงจะเข้าร่วมขบวนการได้ * ท่าทีของอเมริกากับคณะมนตรีความมั่นคงเกี่ยวกับขบวนการ”นัศเราะห์” การเผย แพร่คลิปและรูปภาพอาชญากรรมต่างๆของขบวนการ”นัศเราะห์” ที่ได้กระทำต่อสิทธิของพลเมืองและกองกำลังทางทหารของซีเรีย ในที่สุด เดือนธันวาคมปี 2012 อเมริกาจำเป็นจะต้องขึ้นบัญชีดำว่าขบวนการ”นัศเราะห์”เป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งการกระทำครั้งนี้ได้เกิดการคัดค้านอย่างรุนแรงของฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้าม กับรัฐบาลซีเรียที่อาศัยอยู่นอกประเทศซีเรีย แม้กระทั่งหัวหน้ากลุ่มขบวนการที่เรียกตนเองว่า ทหารอิสระ ก็ไม่เห็นด้วยเช่นเดียวกัน คณะมนตรีความมั่นคงระหว่างประเทศก็เช่นเดียวกัน ในวันที่ 30 พฤษภาคม ได้มีบันทึกขบวนการนี้ลงในบัญชีดำว่า ขบวนการ”นัศเราะห์”เป็นขบวนการก่อการร้าย
3.ขบวนการอะฮ์รอรอัลชาม หรือ ขบวนการปลดปล่อยซีเรีย
ในช่วงต้น กลุ่มนี้คือสาขาย่อยหนึ่งขององค์กร “ประภาคารสีขาว” ซึ่งในคำประกาศครั้งนั้น พวกเขาได้ประกาศจัดตั้งกลุ่มขบวนการปลดปล่อยซีเรียขึ้นมา ขบวนการนี้มีความสัมพันธ์กับกลุ่มขบวนการ”นัศเราะห์”เช่นเดียวกัน ส่วนใหญ่ แล้วในการแถลงการณ์หรือการประกาศต่างๆของ”องค์กรประภาคารสีขาว” จะเผยแพร่โดยเน้นไปที่ขบวนการ”นัศเราะห์”เสมอ แต่ขบวนการปลดปล่อยซีเรีย ออกมาแถลงการณ์โดยเน้นย้ำว่าขบวนการของตนเป็นขบวนการอิสระและไม่ได้ขึ้นตรง กับขบวนการอื่นแต่อย่างใด ขบวนการปลดปล่อยซีเรีย คือ กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งจากซะละฟีย์ที่มีความคิดสุดโต่งในซีเรีย เนื่องจากวิกฤติสงครามกลางเมืองประเทศซีเรีย ในปี 2011 กลุ่มนี้เกิดขึ้นมาเพื่อที่จะทำสงครามกับทหารและหน่วยความมั่นคงโดยมีเป้า หมายที่จะทำลายประเทศซีเรีย มีอับดุรเราะห์มาน อัลซูรี เป็นหัวหน้าขบวนการของคนกลุ่มนี้ ผู้นำของขบวนการนี้ มีการอ้างอิงว่ามีผู้ปฏิบัติตามคนกลุ่มนี้มากกว่า 25 ขบวนการซึ่งอาศัยอยู่อย่างกระจัดกระจายในพื้นที่ต่างๆในซีเรีย
4.ขบวนการนักรบอิสระ
ขบวนการก่อการร้ายนี้ ประกอบด้วยกลุ่มนักรบติดอาวุธ ซึ่งเปรียบได้ดั่งกองกำลังที่ถูกจัดตั้งขึ้น บางส่วนเคยเป็นกองกำลังทหารเก่า บางส่วนก็ถูกส่งมาจากประเทศต่างๆ เช่นตุรกี บางส่วนจากประเทศตะวันตก อาหรับ และอ่าวเปอร์เซีย ซึ่งกองกำลังกลุ่มนี้จะได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษไม่ว่าจะทางด้านการเงิน อาวุธ และ อื่นๆ กองกำลังเหล่านี้ก่อนที่จะถูกส่งมายังประเทศซีเรียจะต้องได้รับการฝึกก่อนใน แผ่นดินตุรกี ริยาดอัลอะซัด และ ฮูเซ็นฮัรมูช เป็นเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งหลักและดูแลการเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อการร้าย นี้ ขบวนการนักรบอิสระได้อ้างว่า พวกเขามีสาขาย่อยต่างๆอย่างมากมายที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ต่างๆในประเทศซีเรีย และกลุ่มที่เป็นที่รู้จักที่สุดคือ ร่มธงแห่งเสรีภาพ และ ร่มธงแห่งเอกภาพ
5.ขบวนการฟะตาห์อัลอิสลาม (ชัยชนะของอิสลาม)
กลุ่มฟะตาห์อัลอิสลาม คือขบวนการติดอาวุธกลุ่มหนึ่ง ซึ่งนำมาจากค่ายผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ คือ ค่ายนะฮ์รุลบาริด ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเลบานอน ขบวนการก่อการร้ายนี้ถูกก่อตั้งขึ้นในเดือน กุมภาพันธ์ปี 2006 ผู้ร่วมขบวนการฟะตาห์อัลอิสลามมาจากสัญชาติอาหรับที่มาจากประเทศต่างๆ ในช่วงต้น ยูซุฟ ชากิรุล อับซี คือผู้รับผิดชอบในการเป็นผู้นำคนกลุ่มนี้ ในปี 2002 ประเทศจอร์แดนได้กล่าวหาว่า อัลอับซี ได้ฆ่านักการทูตสหรัฐอเมริกา ต่อมาในปี 2004 ประเทศจอร์แดนได้ตัดสินประหารชีวิต อัลอับซีพร้อมกับ อบูมุศอับ อัซซัรกอวี * ชะตากรรมของผู้นำขบวนการฟะตาห์อัลอิสลาม ในบันทึกได้มีการรายงานชะตากรรมของ ชากีร อัลอับซี ที่มีความขัดแย้งกัน บางรายงานได้กล่าวไว้ว่า เขาถูกจับในขณะที่เขามีความขัดแย้งกับกลุ่มขบวนการค่ายนะฮ์รุลบาริด หลังจากนั้นก็ถูกฆาตกรรม แต่อีกแหล่งข่าวหนึ่ง สำนักข่าวเอเอฟพีของฝรั่งเศสรายงานอ้างอิงจากหน่วยงานทหารจากประเทศเลบานอน ได้เน้นว่า อัลอับซี มีแนวโน้มว่าเขาอาจหนีจากค่ายนะฮ์รุลบาริดออกมาได้
*สงครามฟะตาห์อัลอิสลามและทหารเลบานอน การเกิดการปะทะกันของอัลฟะตาห์และทหารของเลบานอน เกิดขึ้นในวันที่ 20 เดือนพฤษภาคม 2007 ในค่ายนะฮ์รุลบาริด ซึ่งการปะทะกันครั้งนี้นี้เกิดขึ้นระหว่างที่กลุ่มขบวนการฟะตาห์อิสลามกำลัง เข้าทำการปล้นธนาคาร บะฮ์รุลมุตะวัสสิท และได้เกิดการปะทะกันกับหน่วยความมั่นคง จึงทำให้ส่วนหนึ่งของพวกเขาได้จบชีวิตลง หลังจากเกิดการปะทะอย่างรุนแรงทหารของฝ่ายเลบานอนก็ได้ฆ่าและจับกุมคนกลุ่ม นี้ไว้ได้ *ระเบิดในซีเรีย โทรทัศน์ซีเรียได้เผยแพร่ในวันที่ 7 เดือนพฤษจิกายนว่า กลุ่มติดอาวุธบางส่วนสารภาพว่ามีความเกี่ยวข้องกับขบวนการ “ฟาตะห์อิสลาม” ในการวางระเบิดรถยนต์ ซึ่งตั่งอยู่ในเมืองหลวงของซีเรียในเดือนกันยายนปี 2008 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 14 รายและบาดเจ็บอีก 27 คน ทางสถานีโทรทัศน์ซีเรียยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ดำเนินการการโจมตีครั้งนี้คือผู้ก่อการร้ายที่มีเชื้อสายอาหรับซาอุดี อาราเบีย ข่าวเป็นทางการของซีเรียยังได้ตั้งข้อสังเกตอีกว่า “อัลมุสตักบิล” แห่งเลบานอน คือหนึ่งในผู้นำทางด้านการเงินของกลุ่ม”ฟะตาห์อัลอิสลาม” 6.กลุ่มอัลกออิด ะฮ์ กลุ่มอัลกออิดะฮ์ คือ การรวมตัวของเหล่านักก่อการร้าย ซึ่งประกอบจากคนจำนวนหนึ่งที่มาจากประเทศต่างๆ และยังมีสาขาต่างๆอย่างมากมายกระจัดกระจายอยู่ในประเทศต่างๆ กลุ่มอัลกออิด ะฮ์ ถูกก่อตั้งขึ้นประมาณ ปี 1998 และ 1999 หลังจากนั้นก็รับหน้าที่ในการก่อการร้ายและโจมตีในสถานที่ต่างๆ การรวมตัวครั้งนี้ในประเทศเยเมนและประเทศอื่นๆ เป็นที่รู้จักภายใต้สโลแกน “กลุ่มอัลกออิดะฮ์ในคาบสมุทรอาหรับ” ส่วนในประเทศอิรัก คือ “ขบวนการรัฐอิสลามในอิรัก” ในซีเรีย คือ “ขบวนการรัฐอิสลามในอิรักและซีเรีย” และ “ขบวนการนัศเราะห์” ซึ่งนับว่าเป็นสาขาย่อยของกลุ่มอัลกออิดะฮ์เช่นกัน การโจมตีในรูปแบบของกลุ่มอัลกอิดะห์มีทั้งการพลีชีพ และการวางระเบิดต่างๆ ในเวลาเดียวกัน โดยมีเป้าหมายที่แตกต่างกันไปตามวาระ จึงได้มีการกล่าวไว้ว่า ปรัชญาการบริหารที่มั่นคงของขบวนการอัลกออิดะฮ์นั้น คือ ไม่มีศูนย์กลางในการรับคำสั่งและการตัดสินใจกระทำอะไรก็ไม่ต้องผ่านการผู้ ใด สถาบันต่างๆระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น สภาความมั่นคง สหประชาชาติ สหภาพยุโรป และสภาอีกจำนวนมากจากประเทศต่างๆ ต่างถือว่ากลุ่มอัลกออิดะฮ์ คือ องค์กรหนึ่งที่เกิดมาจากการรวมตัวของกลุ่มก่อการร้าย ในเดือนตุลาคม ปี 2001 “อุซามะฮ์ บิน ลาเด็น”ได้อ้างว่าชื่อกลุ่มอัลกออิดะฮ์ ที่มีขึ้นมานั้นได้เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้สักพักหนึ่งแล้ว เกิดขึ้นมาแบบชั่วคราว และ อบู อุบัยดะฮ์ อัลบันชีรี คือ ฐานที่ตั้งในการฝึกของเหล่านักรบ เพื่อใช้ในการต่อกรกับขบวนก่อการร้ายของรัสเซีย และเราได้เรียกฐานที่ตั้งของเราว่า อัลกออิดะฮ์ และชื่อนี้ก็ยังคงอยู่กับพวกเรา
*อุซามะฮ์ บิน ลาเด็น คือใคร? อุซามะฮ์ บิน ลาเด็น คือบุตรชายคนที่ 17 จากบรรดาบุตรทั้งหมดในจำนวน 52 คนของมหาเศรษฐีชาวซาอุดิอารเบีย มูฮัมมัดบินเอาวด์ บิน ลาเด็น หลังจากที่อุซามะฮ์ บิน ลาเด็นสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย มะลิกอับดุลอะซีซ เขาก็ได้รับหน้าที่ในการดูแลทรัพย์สินของบิดา ที่ได้ทิ้งมรดกไว้ให้เขาจำนวนหลายล้านดอลลาร์ ด้วยทรัพย์สินมหาศาลเหล่านี้ ทำให้เขามีเป้าหมายที่จะสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายในอัฟกานิสถานและสร้างกลุ่ม ก่อการร้ายอัลกออิดะห์ ในปี 1988 อุซามะฮ์ บิน ลาเด็นก็ได้วางรากฐานกลุ่ม”อัลกออิดะห์”ขึ้นในอัฟกานิสถาน
ปี เตอร์ เบอแกน นักข่าวของอังกฤษและอเมริกา ได้กล่าวว่าถึง สำนักงานการกุศลระหว่างประเทศ ซาโรโย سارایو ซึ่งได้อ้างอิงถึงรายงานสองแผ่นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับงบประมาณของบินลาเด็น ในอัลกออิดะห์ และจากเนื้อหาของรายงานสองแผ่นนั้น ได้ข้อสรุปในที่ประชุมว่า การสร้างขบวนการใหม่นั้นคือ อัลกออิดะฮ์ ได้ถูกสร้างขึ้น ในวันที่ 20 สิงหาคม ในที่ประชุมนั้นประกอบไปด้วยบินลาเด็นและผู้เข้าร่วมอีกจำนวนหนึ่ง ได้ข้อสรุปร่วมกันว่า “กลุ่มอัลกออิดะห์” จะเป็นองค์กรสากลที่ใช้เป็นแหล่งรวบรวมนักต่อสู้อิสลาม และเช่นเดียวกันก็จะมีเงื่อนไขสำหรับผู้เข้าร่วมขบวนการ แต่ในขณะที่ชื่อ “กลุ่มอัลกออิดะห์” ยังไม่เป็นที่เปิดเผย พวกเขาก็มีการเคลื่อนไหวอย่างลับๆมาโดยตลอด
โลเรน ไรซ์ นักข่าวอังกฤษและนักเขียนชาวอเมริกา กล่าวเปิดเผยว่า ในวันที่ 11 สิงหาคมปี 1988 กลุ่มอัลกออิดะห์ ได้มีการประชุมบรรดาเหล่าผู้อาวุโสจำนวนหนึ่ง ของกลุ่ม ญิฮาดอิสลามีแห่งอียิปต์ เช่น อิมามอัชชะรีฟ อัยมันอัซซอวาฮิรี อับดุลอะซอม และอุซามะห์บินลาเด็น และในที่ประชุมนั้นก็ได้ข้อสรุปว่าจะใช้จ่ายเงินของบินลาเด็นไปในการฝึกฝน เพื่อการญิฮาดอิสลาม หลังจากโซเวียตถอนตัวออกจากอัฟกานิสถาน การญิฮาด ก็กลับมาเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องในที่ต่างๆ หลังจากนั้นเดือนเมษายน ปี 2002 ชื่อขบวนการ “กออิดะตุลญิฮาด” ก็ได้ถูกประกาศขึ้น ในปี 2003 นักข่าวชาวอียิปต์ ได้เขียนพาดหัวข้อข่าวในหนังสือพิมพ์ อัลอะฮ์รอม ไว้ว่า “การประกาศชื่อกออิดะตุลญิฮาด” หลังจากนั้นกลุ่มญิฮาดต่างๆที่มีอัยมัน อัซซอวาฮิรี เป็นหัวหน้าในอียิปต์ ได้เข้าร่วมกลุ่มต่างๆที่มีอุซามะห์ บิน ลาเด็น เป็นผู้นำขบวนการ ในช่วงเริ่มต้นของการก่อตั้งกลุ่ม “อัลกออิดะห์” มีเป้าหมายหลักเพื่อจะมาต่อกรกับกองกำลังโซเวียต ตามรายงานจำนวนหนึ่งจาก ศูนย์กลางของนักค้นคว้า และสื่อต่างๆได้ออกมาเปิดเผยว่า อเมริกาได้ให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินต่อชาวอัฟกันผ่านทางหน่วยข่าวกรอง ของปากีสถานในการต่อกรกับกองกำลังโซเวียต และสงครามนี้ก็อยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยการสหรัฐภายใต้ชื่อว่า “การเคลื่อนไหวดั่งพายุ” ในช่วงนั้นมีพวกอาหรับจำนวนหนึ่ง มีความเกี่ยวข้องกับสงครามครั้งนี้ด้วย และ นับวันยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้น บุคคลเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า “อาหรับอัฟกัน” ในปี 2006 โลแรนไรต์ นักข่าวและนักเขียนชาวอเมริกา ได้เผยว่า ซาอุดิอาราเบีย อัดฉีดเม็ดเงินในปีๆหนึงถึง 600 ล้านดอลลาร์ในสงครามนี้ เงินทุนเหล่านี้มาจากประเทศอาหรับและเศรษฐีชาวซาอุดิอารเบีย เช่น อุซามะ บิน ลาเด็น ในปี 1984 อับดุลเลาะห์ อะซอม และ บินลาเด็น ได้ก่อตั้งสำนักงาน ในเมืองเปชาโวร
อับ ดุลเลาะห์ อะซอม คือใคร? อับดุลเลาะห์ อะซอม เป็นที่รู้จักในฐานะ ผู้บุกเบิกและนักต่อสู้ในประเทศอัฟกานิสถาน เขามีความคิดเหมือนกลุ่มอิควานุลมุสลิมีน เขาเรียนจบปริญญาตรี จากมหาวิทยาลัย ชะรีอัต ซีเรีย ในปี ฮ.ศ.1386 เขาได้เข้าเรียนต่อปริญญาโทในมหาลัย อัลอัซฮัร ในสาขานิติศาสตร์อิสลาม และสำเร็จการศึกษาในปี ฮ.ศ.1389 ในปีฮ.ศ.1390 เขาได้เดินทางไปประเทศจอร์แดนเพื่อทำการสอนในมหาวิทยาลัย ชะรีอัต อะมาน หลังจากนั้นมหาวิทยาลัยนี้ได้ถูกรวมกับมหาวิทยาลัยอัซฮัร ต่อมาในปี ฮ.ศ.1393 เขาก็สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก ในสาขานิติศาสตร์อิสลาม
ใน ปีฮ.ศ.1400 อับดุลเลาะห์ ถูกขับไล่ออกจากจอร์แดน เขาได้เดินทางไปยังประเทศต่างๆแถบอาหรับ เขาได้ทำการสอนอยู่ในมหาวิทยาลัยมะลิกอับดุลอะซีซ ในปีฮ.ศ.1401 เขาถูกส่งไปยังมหาลัยนานาชาติ ในกรุ่ง อิสลามาบัด แต่หนึ่งปีถัดมามหาวิทยาลัย อับดุลอะซีซ กลับปฏิเสธที่จะต่อสัญญาว่าจ้างแก่เขา อับดุลเลาะห์ อะซอม ได้เริ่มเคลื่อนไหวกลุ่มก่อการร้ายในปีฮ.ศ. 1402 ร่วมกับกลุ่มติดอาวุธกลุ่มหนึ่งในอัฟกานิสถาน ในวันที่ 24 รอบิอุลซานี ปีฮ.ศ.1410 อับดุลเลาะห์ อะซอมถูกฆาตกรรม และเสียชีวิตในเมืองเปชาโวร
*การ ขยายอำนาจต่างๆของอัลกออิดะห์ผ่านสำนักงานต่างๆ ในปี 1986 อับดุลเลาห์อะซอม กับอุซามะห์ บิน ลาเด็น ได้ร่วมกันเปิดสำนักงานในประเทศอเมริกา ซึ่งถูกรู้จักในนาม “ศูนย์ผู้ลี้ภัยกัฟฟาฮ์” ในมัสยิดฟารูค ซึ่งตั้งอยู่ในบลูคลิน สมาชิกที่โดนเด่นที่สุดในสำนักงานบลูคลิน คือ สายลับสองหน้าซึ่งมีนามแฝงว่า “อาลีมูฮัมมัด” แจ๊คโคลน เจ้าหน้าที่เอฟบีไอ ได้ถือว่า สายลับสองหน้าคนนี้เปรียบเสมือนดั่งอาจารย์คนแรกของบินลาเด็น
สำนักงาน ต่างๆเหล่านี้ใช้ในการเตรียมพร้อมสำหรับฝึกฝนให้แก่ อาสาสมัครในการรบในเปชาโวร ปากีสถาน และในพื้นที่ต่างๆตามชายแดนของอัฟกานิสถาน อับดุลเลาะห์ เป็นผู้ที่มีความเชื่อใจต่อบินลาเด็นเป็นอย่างมาก จึงตัดสินใจนำสำนักงานต่างๆเข้าร่วมกับเขา บินลาเด็นก็เช่นเดียวกัน ด้วยกับเงินและเส้นสายต่างๆที่มีอยู่อย่างมากมายในซาอุดิอารเบีย เงินเป็นจำนวนหลายล้านดอลลาร์ที่เป็นรายได้จากน้ำมันในประเทศต่างๆแถบอาหรับ และอ่าวเปอร์เซีย เขาใช้ในการช่วยเหลือหน่วยงานเหล่านี้มาตลอด หลังจากเกิดเหตุการณ์ลอบสังหาร อับดุลเลาะห์อะซอม สำนักงานต่างๆของเขาก็ร้างว่างเปลาไม่มีใครดูแล ต่อมาหลังจากนั้น สำนักงานส่วนใหญ่ได้ตกอยู่ภายใต้การดูแลของบินลาเด็น ในเดือนพฤศจิกายนปี 1989 อาลีมูฮัมมัด ได้เดินทางไปยังอัฟกานิสถานและปากีสถาน เพื่อเป็นผู้ช่วยระดมความคิดและวางแผนกับบินลาเด็นแถบตะวันออกกล
หลังจากหลายที่อเมริกาได้โจมตีและรุกรานประเทศต่างๆในแถบตะวันออกกลาง และใช้ข้ออ้างในการปราบปรามการก่อการร้ายและอัลกออิดะห์ สื่อต่างๆของอเมริกา ก็ได้ประกาศถึงการเสียชีวิตของอุซามะ บิน ลาเด็น หัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ ในเช้าวันที่ 2 พฤษภาคม ปี 2011 จากน้ำมือของกองกำลังพิเศษของอเมริกา สถานที่ปะทะกัน คือ อับวัตออบอด ในปากีสถาน กิโลเมตรที่ 120 เมืองอิสลามมาบัต การปะทะเกิดขึ้นประมาณ 40 นาที กองกำลังพิเศษของอเมริกาจากการดำเนินงานของซีไอเอ ก็ได้บุกเข้าไปในรังหลบซ่อนของบินลาเด็น และได้ทำการสังหารเขา แต่รูปภาพหรือวิดิโอจากการโจมตีครั้งนี้ไม่ได้ถูกเปิด เผย และการไม่เปิดเผยจึงนำมาสู่ข้อสงสัยและความไม่แน่นอน ในการอ้างอิงนี้ของอเมริกาเกี่ยวกับการฆาบินลาเด็น
*ความ สัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับกลุ่ม”อัลกออิดะห์” มีการเผยแพร่ข้อมูลความ สัมพันธ์และการติดต่อกันระหว่างอเมริกากับอัลกออิดะห์อย่างมากมาย ด้วยกับเรื่องราวนี้ “โรบิน คุก” เลขาธิการสหรัฐคนเก่าในปี 1997-2001 ได้ออกมากล่าวว่า การก่อตั้ง อัลกออิดะห์ และการรวมตัวกันของเหล่าสมุนบินลาเด็นนั้น สุดท้ายจะเป็นผลร้ายต่อความมั่นคงของตะวันตกที่มีอย่างกว้างขวางอย่าง แน่นอน โรบินคุก ยังได้เน้นอีกว่าชื่อ อัลกออิดะห์ ช่วงหนึ่งเคยเป็นแค่ชื่อของไฟล์หนึ่งในคอมพิวเตอร์ ซึ่งภายใต้ชื่อนั้นมีข้อมูลนักรบและกลุ่มติดอาวุธเป็นพันๆคน ซึ่งเป็นข้อมูลของหน่วยงานกลางสหรัฐ ที่ได้ฝึกฝนกลุ่มนักรบเหล่านี้เพื่อจะได้ใช้งานในการสู้รับกับรัสเซีย
6.ตอลิบัน (ขบวนการเหล่านักเรียนศาสนา)
หลังจากรัฐบาลอัฟกานิสถานหมดวาระ ในปี ค.ศ.1992 รัฐบาลนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย ดังนั้นความมั่นคงในอัฟกานิสถานจึงเกิดวิกฤติขึ้น ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1994 มุลลาอุมัร พร้อมกำลังพล 1,500 คน จากบูลูจิสถาน และ ปากีสถาน ได้มุ่งหน้าสู่อัฟกานิสถาน หลังจากนั้นก็เป็นที่รู้กันว่า เป้าหมายของการปรากฏตัวครั้งนี้ของกลุ่มติดอาวุธ เกิดจากการให้การสนับสนุนจากกลุ่มคนชาวปากีสถานในการผ่านเข้าไปยัง อัฟกานิสถานและสิ้นสุดการเดินทางที่เติร์กมินิสถาน แต่หลังจากข่าวนี้รั่วไหลออกมา จึงมีการโยกย้ายกลุ่มก่อการร้ายที่เป็นชาวปากีสถานและอัฟกันเข้าไปยังประเทศ อัฟกานิสถาน
*มุลลาอุมัร คือ ใคร?
มุ ลลาอุมัร เกิดในปี 1959 ในครอบครัวที่ยากจนในหมู่บ้าน นูเดะห์ มีสัญชาติ กันฮาร ในขณะที่รัสเซียทำการโจมตีอัฟกานิสถาน มุลลาอุมัร มีอายุประมาณ 19 ปี ในช่วงนั้น เขาได้ทิ้งการเรียน และได้นำตนเองเข้าไปร่วมกับกองกำลังประชาชน หลังจากนั้นหลายปี เขาได้เริ่มรวบรวมมวลชน เริ่มจากเหล่าบรรดานักเรียนศาสนา และเริ่มสร้างกลุ่มขบวนการของนักเรียนศาสนาขึ้นโดยใช้ชื่อว่า “กลุ่มตอลิบัน” มุลลาอุมัร ไม่เคยปรากฏตัวในสื่อใดๆ และภาพที่ชัดเจนของเขาก็ไม่มีใครเข้าถึง แต่จะมีการพูดถึงคุณสมบัติภายนอกของเขาอย่างผิวเผิน เขามีความสูงประมาณ 198 เซนติเมตร มีบุคลิกที่หยาบกระด้าง ผลจากการทำสงครามกับชาวรัสเซียทำให้เขาสูญเสียตาข้างหนึ่ง เหตุผลที่ว่าทำไม รูปหรือคลิปจากมุลลาอุมัรไม่ถูกเปิดเผย มีการอ้างความเชื่อของเขาว่า รูปและคลิปเป็นสิ่งที่ผิดกฏบัญญัติศาสนา เขาคือผู้ที่ออกคำสั่งให้ทำลายรูป ปั้นโบราณของชาวพุทธในปี 2001 ซึ่งรูปปั้นเหล่านี้ นับได้ว่าเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศอัฟกานิสถาน หลังจาก ขบวนการ”ตอลิบัน”อพยพออกจาก กาบิล ก็ไม่มีใครได้เห็นมุลลาอุมัรอีกเลย เหมือนกับ อุซามะฮ์ บิน ลาเด็น แต่ บินลาเด็น นั้นบางครั้งเขาจะปรากฏในสื่อต่างๆที่เป็นผู้สนับสนุนเขา ไม่ว่าจะทางเสียงหรือคลิปวิดิโอ ที่ถูกเผยแพร่ออกไป
*การ เข้ามาของขบวนตอลิบันยังเมืองกาบิล หลังจากที่มุลลาอุมัร และ กองรบของเขา ได้ควบคุมเหล่ากันดาฮาร์ได้ ในฤดูหนาวของปี 1995 และได้ทำการปิดล้อมเมืองกาบิล ในวันที่ 26 กันยายน ปี 1996 “บุรฮานุดดีน รอบบานี” เป็นนายกรัฐมลตรีอัฟกานิสถาน มีคู่แข่งคือ กัลป์บุดดีนฮิกมัตยาร พวกเขาพยายามอย่างมากเพื่อที่จะให้ทั้งสองคนนิ่งเฉยกับเรื่องความขัดแย้งและ ห้ามการสนับสนุนของฝ่ายตรงกันข้ามกับตอลิบัน และทั้งสองก็ได้หลบหนีจากคาบิล เมืองหลวงจึงตกอยู่ในมือของกลุ่ม”ตอลิบัน” หลังจากกลุ่ม”ตอลิบัน”บุกเข้าเมืองคาบิลสำเร็จ ก็ได้สร้าง “อิสลามอิมิเรต” ขึ้นมา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากซาอุดิอารเบียและยูเออี UAE
*ผู้ ให้การสนับสนุนกลุ่ม”ตอลิบัน” เป็นที่รู้กันว่าตอลิบันได้รับการช่วยเหลือ จากซาอุดิอารเบีย ทั้งทางด้านการเงินและโลจิสติก ซึ่งหลังจากตอลิบันได้สถาปนา อิสลามอิมิเรตขึ้นในกรุงคาบิล ซาอุดิอารเบียก็ให้การสนับสนุนเงินทุนให้กลุ่มนี้หลายล้านดอลลาร์โ ดยผ่านทางคณะกรรมการการกุศลประจำปี ในวันที่ 22 กันยายน 2001 เหล่าประเทศอาหรับ และ UAE ภายใต้การกดดันของประเทศต่างๆก็ออกมาชี้แจงว่าตนไม่ได้มีการยอมรับและรู้จัก เป็นพิเศษกับกลุ่ม”ตอลิบัน” แต่ปากีสถานก็ยังยืนกรานในเรื่องนี้ ตามรายงานต่างๆมีระบุไว้อย่างมากมายและถูกนำออกมาเปิดเผยว่าใครคือผู้ให้การ สนับสนุนหลักแก่กลุ่ม”ตอลิบัน” บางกลุ่มกล่าวว่า “กลุ่มตอลิบัน” คือหน่วยงานหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับประเทศปากีสถาน บางส่วนก็เชื่อว่า “กลุ่มตอลิบัน” คือ องค์กรที่ได้รับการก่อตั้งขึ้นมาจากอเมริกา * การโจมตีไปยังอัฟกานิสถาน หลังจากเกิดเหตุการณ์ 11 กันยายน ในอเมริกา อเมริกาก็ได้รับการช่วยเหลือจากประเทศต่างๆที่ร่วมสนธิสัญญากับตนในเดือน ตุลาคม ปี 2001 ได้ห้ามการโจมตีกับกลุ่มตอลิบัน และเบี่ยงเบนความสนใจไปยังอุซามะห์บินลาเด็น หัวหน้ากลุ่ม อัลกออิดะห์ ในการโจมตีอัฟกานิสถาน สงครามก็ได้เกิดขึ้นทั่วแผ่นดินอัฟกานิสถาน ท้ายที่สุด พลเมืองจำนวนนับพันๆคนทีต้องมาจมตายกลางกองเลือดอย่างอนาถ
*ผล ประโยชน์ที่มีร่วมกันในระหว่างอเมริกาและกลุ่ม”ตอลิบัน” อเมริกามองถึงผล ประโยชน์ที่มีไปในทิศทางเดียวกันกับตอลิบัน จึงไม่ได้แสดงท่าทีการต่อต้านในการจัดตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมา แต่ในเวลาถัดมาก็ได้ประกาศว่า ขบวนการนี้ คือ ขบวนการก่อการร้ายที่มีอันตรายอันดับหนึ่งของตน
*โครงสร้าง และรูปแบบการบริหารของกลุ่มตอลิบัน ขบวนการก่อการร้ายตอลิบัน ผู้ออกคำสั่ง และ ผู้มีอำนาจ ไม่เป็นที่รู้จัก และการบริหารก็ไม่มีขอบเขตจำกัดแต่อย่างใด ผู้ร่วมขบวนการนี้ ก็ไม่มีการแสดงบัตรประจำตัว หรือ บัตรใดๆให้เป็นที่รู้จัก หลังจากที่ผู้นำหลักของขบวนการ คือ มุลลาอุมัร มีสภาในการบริหาร จำนวนสมาชิกก็ไม่ได้มีจำนวนที่แน่นอน พวกเขาทั้งหมดร่วมเป็นที่ปรึกษาของกลุ่ม จำนวนของที่ปรึกษาของกลุ่มก็ไม่ได้มีจำกัดเช่นเดียวกัน ดารุลฟัตวา (บ้านวินิฉัยปัญหา)ของกลุ่มนี้จะประกอบจากคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่ในการวินิฉัยปัญหาต่างๆ และมี เมาลาวี นูร มูฮัมมัด ซากิบ เป็นหัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายนี้ ในสมัยการปกครองของตอลิบัน มุลลาอุมัร ได้มอบอำนาจการสั่งการอย่างกว้างขวางไปยังเมืองต่างๆ ซึ่งใครมีความสามารถจะจัดตั้งสภาขึ้นมา และมีความสามารถดูแลปัญหาต่างๆได้ ก็สามารถจัดตั้งสภาขึ้นมาได้ แต่ด้วยการจัดตั้งสภาต่างๆอย่างไม่มีระบบไม่มีหลักการ จึงเป็นสาเหตุของความด้อยประสิทธิภาพของสภาต่างๆเหล่านั้น สุดท้ายการตัดสินใจต่างๆจึงตกอยู่ภายใต้หน้าที่ของมุลลา อุมัร เช่นเดิม