ใน ช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ กลุ่มก่อการร้ายต่างๆ ซึ่งมีแนวคิดอย่างสุดโต่งและบ้าคลั่ง ต่างก็ออกปฏิบัติการทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศมุสลิมก่อให้เกิดความไม่สงบและหลั่งเลือดไปทั่วแผ่นดิน
แน่นอน ว่า สัจธรรมจะต้องมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น หลังจากที่เราได้เห็นถึงเหตุการณ์ความรุนแรงและความป่าเถื่อนของกลุ่มก่อการ ร้ายสุดโต่งเหล่านี้แล้ว สิ่งหนึ่งที่ควรตระหนักถึงก็คือ การเฝ้าระวังไม่ให้ตกเป็นเป้าของผู้ไม่ประสงค์ดี ที่อ้างคำสอนอันบริสุทธ์ของศาสนาอิสลาม มาใช้หลอกลวงชาวมุสลิม และสร้างภาพลบให้กับศาสนาต่อสายตาพี่น้องต่างศาสนิก
ในวันนี้ จึงอยากขอนำเสนอกลุ่มก่อการร้ายอีกกลุ่มหนึ่งที่ชื่อ “โบโกฮาราม” (Boko Haram) เพื่อให้ทุกคนได้ทำความรู้จักถึงอันตรายของกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ และป้องกัน ไม่ให้มุสลิมชาวไทย ตกเป็นเครื่องมือ ของมารที่กำลังสวมหน้ากากของอิสลาม ที่บาง กรณี เราจะเห็นแนวคิดและคำสอนที่สุดโต่งของกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้ เช่นการญิฮาดุนนิกาฮ การลักพาตัวนักศึกษา การต่อต้านไม่ให้สตรีมุสลิมเรียนรู้และทำการศึกษา หรือแม้กระทั่งการสั่งประหารผู้อื่นที่ไม่มีแนวคิดเหมือนพวกเขาด้วยการตัก ฟีร
ประวัติการก่อตั้งกลุ่ม “โบโกฮาราม” (Boko Haram)
หนึ่งในกลุ่มก่อการร้าย ที่กำลังสร้างหายนะให้กับโลก และสร้างความเข้าใจผิดทำลายภาพลักษณ์ของอิสลา ม ก็คือ กลุ่ม “โบโกฮาราม” ที่มีฉายาว่า “อัลกออิดะห์แห่งแอฟริกาตะวันตก” อ้างความชอบธรรมโดยการใช้ศาสนาอิสลามเป็นหลัก โดยมีหลักการว่า การศึกษาใดก็ตามที่ไม่ใช่อิสลาม หรือการศึกษาจากความรู้ของตะวันตก เป็นสิ่งที่ต้องห้าม (ฮารอม) โดยชื่อหลักของกลุ่มนี้ในภาษาอาหรับ คือ ยะมาอะห์อะห์ลิซซุนนะฮ์ลิดดะวะห์วัลยิฮาด ( لجماعة أهل السنة للدعوة و الجهاد) ที่มีความหมายว่า กลุ่มตามแบบฉบับศาสดาเพื่อการเผยแพร่และต่อสู้
กลุ่ม นี้ก่อตั้งขึ้นโดย มูฮัมมัด ยูซุฟ ในปี 2002 โดยได้สร้างกองกำลังโบโกฮารามขึ้น ภายใต้การบังคับบัญชาของตัวเองเพื่อทำการเผยแพร่ทัศนะของตัวเองว่า “การศึกษาและวิธีการศึกษาแบบตะวันตกเป็นสิ่งต้องห้าม”
แนวคิด มูฮัมมัด ยูซุฟ
แนวคิด และอุดมการณ์หลักของกลุ่มนี้ ประกอบด้วยหลายโครงสร้าง ซึ่งโครงสร้างที่สำคัญที่สุด คือ การปกครองระบอบอิสลามในประเทศไนจีเรีย และการสร้างอำนาจให้กับกองทัพและการนำกฎหมายของอิสลามมาใช้ทุกๆ จังหวัดในประเทศ ในขณะที่กฎหมายอิสลามถูกนำมาใช้ในไนจีเรียทางภาคเหนือถึง 12 จังหวัด แต่เมื่อสืบลึกลงไปกลับพบว่า กฎหมายดังกล่าวยังไม่ถูกนำมาใช้และทางรัฐบาลก็ไม่ได้ประกาศหรือชี้แจงใดๆ เกี่ยวกับการใช้กฎหมายอิสลาม
ซึ่ง การเคลื่อนไหวครั้งแรกของกลุ่มนี้ เริ่มต้นโดยเหล่าเยาวชนและวัยรุ่นที่สนับสนุนแนวคิดของ มูฮัมมัด ยูซูฟ ซึ่งเบื้องต้นนั้น เป็นการสนับสนุนแนวคิดของ มูฮัมมัด ยูซุฟ ในเมืองมอดีกูรีย์ ในรัฐโบรีโน่
เบื้อง ต้นนั้น มูฮัมมัด ยูซุฟ ไม่ได้เริ่มการเคลื่อนไหวของกลุ่มด้วยการใช้ความรุนแรงในทันทีทันใด เขาเริ่มจากการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลต่างๆนาๆ และตัวของเขาเองได้ติดต่อสัมพันธ์อยู่กับเหล่านายพลในกองทัพ ซึ่งนายพลกลุ่มนี้ที่เป็นผู้ปล่อยตัวเขาในแต่ละครั้งที่ถูกจับกุมตัว
กระทั่ง ในปี 2003 เกิดความขัดแย้งและการปะทะกันระหว่างสองฝ่าย ทำให้ มูฮัมมัด ยูซุฟ หนีไปกบดานอยู่ที่ซาอุดิอาราเบีย และได้ประกาศตัวอย่างเป็นทางการว่า จะดำเนินการสร้างระบบการศึกษาแบบอิสลามต่อไป
ใน ช่วงนี้ มูฮัมมัด ยุซูฟ ได้พบปะกับผู้บัญชาการรัฐโบรีโน่ อยู่เสมอ ซึ่งในปี 2004 เขาได้เดินทางกลับไป ไนจีเรียอีกครั้งหนึ่ง และหลังจากนั้นเป็นเวลาหลายปีก็เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้นอีกในชูอียา ปี 2009 ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการปะทะระหว่างโบโกฮารามกับฝ่ายตำรวจและทหารของรัฐบาล
มูฮัมมัด ยูซุฟ ก่อนและหลังการถูกควบคุมตัว
ใน การปะทะกันระหว่างโบโกฮาราม และตำรวจในปี 2009 สมาชิกจำนวนหนึ่งของกลุ่มนี้เสียชีวิต มูฮัมมัด ยูซุฟ จึงเลือกวิธีการตอบโต้ด้วยอาวุธ และทำการถล่มอาคารต่างๆ ของรัฐบาล สถานีตำรวจ และคุกแห่งหนึ่ง ซึ่งการตอบโต้ของโบโกฮารามในครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ใน 5 จังหวัด และกินระยะเวลาหลายวัน
แน่นอน ทางฝ่ายรัฐบาลก็ออกมาตอบโต้กลุ่มโบโกฮารามอย่างรุนแรงด้วยเช่นเดียวกัน กองกำลังฝ่ายรัฐบาล ได้วางกฎเข้มงวดโดยการจับกุมทุกๆ คนที่เป็นสมาชิกของกลุ่มนี้ ซึ่งถ้าหากเจ้าหน้าที่เห็นสมาชิกคนใดของกลุ่มออกมาปรากฎตัวเดินตามถนนแล้วจะ เข้าจับกุมในทันที และจะทำการสั่งประหารเหล่าสมาชิกนี้โดยไม่ทำการรีรอใดๆ
ใน เวลาเดียวกัน ยูซุฟ ถูกจับกุมตัวและถูกคุมขังอยู่ในสถานีตำรวจแห่งหนึ่ง เขาถูกฆ่าอย่างลึกลับในเวลาต่อมา ซึ่งการเสียชีวิตของเขาเป็นอย่างไรนั้น จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีรายงานแน่ชัดถึงสาเหตุการตายของเขา เหตุการณ์การนองเลือดระหว่างฝ่ายตำรวจและโบโก้ฮารามในครั้งนั้น ทำให้เหล่าสมาชิกถูกสังหาร ประมาณ 800 ถึง 1,000 คน
ซึ่ง ภายหลังจากที่ มูฮัมมัด ยูซุฟ ถูกสังหาร กลุ่มโบโกฮาราม ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างเปิดเผย เป็นเวลาถึง 1 ปี การเคลื่อนไหวถูกห้ามไม่ให้เปิดเผยอย่างสมบูรณ์ ทุกๆ สถานที่ที่เคยจัดตั้งการชุมนุมหรือมัสยิดถูกทำลายทิ้ง สมาชิกของกลุ่มถูกสังหารเป็นจำนวนมาก ส่วนสมาชิกที่เหลืออยู่ก็แตกกระจายกันไปหลายพื้นที่ ซึ่งสมาชิกที่เหลืออยู่นั้นต่างก็ทยอยหลบหนีไปอยู่ประเทศเพื่อนบ้านเช่น โซมาเลีย หรือ แอลจีเรีย โดยส่วนมากจะอพยพไปอยู่ในอัฟกานิสถาน และได้ทำการศึกษาเรียนรู้จากกลุ่มสุดโต่งอื่นในช่วงเวลาดังกล่าว
การสังหารหมู่กลุ่มโบโกฮาราม ปี 2013 โดยฝ่ายรัฐบาล
จน กระทั่งช่วงต้นปี 2010 มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นอีก โดยการบุกถล่มสถานีตำรวจและค่ายทหาร ซึ่งการก่อการในครั้งนี้ กลุ่มโบโกฮารามได้แสดงตัวเป็นผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ต่างๆ อย่างเปิดเผย และได้ออกแถลงการณ์ถึงสาเหตุที่ออกปฏิบัติการ นั่นก็คือ การล้างแค้นให้กับ มูฮัมมัด ยูซุฟ และได้เสนอข้อเรียกร้องต่างๆ มากมาย เช่นการเรียกร้องให้ผู้มีส่วนในการสังหารสมาชิกของกลุ่มรับผิดชอบกับการกระ ทำที่ทำไว้กับพวกเขา การปล่อยตัวนักโทษให้เป็นอิสระ การสร้างมัสยิดของกลุ่มนี้ขึ้นมาใหม่
กล่าว ได้ว่า แนวทางการเคลื่อนไหวของโบโกฮารามเปลี่ยนไปจากเดิมนับตั้งแต่ปี 2010 และเริ่มที่จะใช้อาวุธอย่างเต็มรูปแบบเพื่อทำการต่อสู้กับรัฐบาล เป้าหมายใหม่ของกลุ่มนี้ไม่ได้อยู่ที่สถานที่ทำการของรัฐบาล หรือสถานีตำรวจเป็นหลัก แต่เป็นการลอบสังหารเจ้าหน้าที่รัฐบาล อาจารย์ และครู ทั้งมุสลิม คริสตศาสนิกชน และเหล่าผู้นำศาสนา
ปฏิบัติ การที่สำคัญที่สุดภายหลังจากการเปลี่ยนแนวทางในการดำเนินการได้แก่ การลอบวางระเบิดตลาดอบูจาในเมืองหลวงของไนจีเรีย ในปี 2010 การวางระเบิดสถานีตำรวจ และสถานที่เลือกตั้งในเมืองมาดีกูรีย์ ในปี 2011 และการลอบวางระเบิดองค์การสหประชาชาติ ในอบูจา ปี 2011 หลังจากนั้นจึงมีการลอบวางระเบิดตามโรงเรียนสตรีต่างๆทางภาคเหนือของ ไนจีเรียซึ่งเป็นเป้าหมายของคนกลุ่มนี้
ความสอดคล้องที่ได้จากรายงานและบันทึกต่างๆโบโกฮารามได้แบ่งเป้าหมายออกเป็น 5 กลุ่ม คือ
1. บุคคลของรัฐบาล
2. คริสต์ศาสนิกชน
3. มุสลิมชีอะฮ์
4. มุสลิมซูฟีย์
5. ประชาชนทั่วไปที่มีความเห็นต่างกับโบโกฮาราม
โบ โก้ฮารามได้ประกาศสโลแกนหลักคือ การยึดกฎชะรีอะห์อิสลาม และการกวาดล้างชาวคริสต์ทางภาคเหนือของไนจีเรีย และการต่อสู้กับผู้ปฏิเสธ อย่างเป็นทางการ
ผู้นำ คนใหม่ของโบโกฮาราม ในปี 2010 คือ อบูบักร เชเกา CIA ได้ประกาศรางวัลเป็นจำนวน 8 ล้านดอลลาร์ สำหรับผู้ที่รู้แหล่งกบดานของหัวหน้าคนใหม่
อบูบักร เชเกา (Abubakar Shekau)
ประ ธาธิบดีไนจีเรีย กู๊ดลัค โจนาธาน ได้ออกแถลงการณ์ถึงปฏิบัติการต่างๆ ของโบโกฮาราม นับตั้งแต่ปี 2009 โดย โบโกฮาราม ได้สังหารผู้คนเป็นจำนวน 12,000 คน และมีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวน 8,000 คน
อบู บักร เชเกา ได้ออกแถลงการณ์ในวิดีโอหนึ่ง โดยเรียกร้องการปล่อยตัวสมาชิกของกลุ่ม เพื่อตอบโต้ประเด็นเรื่องเสรีภาพของสตรี เขาได้อ้างว่า เขาได้รับการดลให้ขายเด็กผู้หญิงเหล่านี้
กล่าว กันว่า อบูบักร ชีกาอู มีบุคลิค ระหว่างนักทฤษฎีกับผู้ก่อการร้าย นับตั้งแต่ อบูบักร เชเกา ขึ้นครองตำแหน่งผู้นำของโบโกฮาราม การเคลื่อนไหวของกลุ่มนี้กลับรุนแรงและเหี้ยมโหดมากยิ่งขึ้น ในปฏิบัติการครั้งล่าสุดของเขานั้น เขาได้ยอมรับพร้อมกับหัวเราะด้วยความอำมหิตที่ได้ลักพาตัวนักศึกษาหญิงจำนวน 200 คน และได้แบ่งส่วนหนึ่งไว้ขาย และแบ่งอีกส่วนเพื่อบังคับให้แต่งงาน
สมาชิก โบโกฮารามเรียก เชเกา ว่า ผู้นำ หรืออิมาม เชเกาได้สังหารประชาชนจำนวน 180 คนในเมืองกาโน ทางตอนเหนือของไนจีเรีย นับเป็นเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด และได้ส่งสาส์นผ่านวิดีโอว่า “ฉันได้ลิ้มรสถึงความสุข ในการสั่งหารทุกๆ คนที่พระเจ้าสั่งให้ฆ่า ซึ่งความสุขอันนี้ เหมือนกับการฆ่าไก่ และแพะ”
กรณีการลักพาตัวนักศึกษาหญิง 276 คน
การ ลักพาตัวครั้งใหญ่ใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ โบโก้ฮารามได้จับนักศึกษาหญิงในโรงเรียนหนึ่งและลักพาตัว โดยเปิดฉากด้วยการเข้าโจมตีโรงเรียนแห่งหนึ่งในตอนกลางคืน หลังจากนั้นจึงได้ยึดเสบียงอาหารของโรงเรียนแห่งนี้ และนำตัวเด็กสาวจำนวน 276 คนไป
ประชาคมสตรีมุสลิมโลก ออกแถลงการณ์ประนามการก่ออาชญากรรมของโบโกฮาราม
หลัง จากที่โบโกฮาราม ได้ลักพาตัวนักศึกษาหญิงไป กลุ่มสตรีมุสลิมโลกได้ออกมาประนามการกระทำของโบโกฮาราม โดยถือว่า กลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่แสดงบทบาทของซาตาน และอ้างความชอบธรรมด้วยการปฏิวัติ ด้วยการต่อต้านไม่ให้มีการศึกษาใดๆ ก็ตามที่ได้มาจากตะวันตก ซึ่งการเผยแพร่ดังกล่าวมาจากแผนการของไซออนนิสต์และตะวันตก ภายใต้หน้ากากอิสลาม และถือว่าการโจมตีของคนเหล่านี้ไม่ใช่ลูกผูชาย นอกจากนี้องค์กรสตรีมุสลิมโลก ยังได้ส่งสาส์นปลอบใจ และแสดงความเป็นหัวใจเดียวกัน ให้กับญาติ และครอบครัว ของ นักศึกษาที่ถูกลักพาตัว
มุฟตีย์ ซาอุ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอัลฮะยาต ปฏิเสธกลุ่มโบโกฮาราม
โบ โก้ฮาร่าม ได้ประกาศตัวเองว่า พวกเขานั้นสังกัดนิกายวะฮาบีย์ ทว่า อับดุล อาซิซ อาลี ชัยค์ มุฟตีระดับสูงของซาอุดิอาราเบีย ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอัลฮะยาต ว่า โบโกฮารามนั้นเป็นกลุ่มบุคคลที่หลงทาง และถือว่าเป็นคอวาริญจ์ (กบฎศาสนา) เพราะพวกเขาทำลายอิสลามและมุสลิม การบังคับให้แต่งงานนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามในศาสนา (ฮารอม) กลุ่มนี้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อทำลายอิสลาม เราจะต้องชี้แจงถึงการกระทำของพวกเขา และพวกเขาเป็นผู้กดขี่ต่อผู้อื่น
บทบาทของทูตสหรัฐ ในเหตุการณ์ความไม่สงบไนจีเรีย
วิกิ ลีกส์ ได้ออกมาเปิดเผยบันทึกลับว่า ทูตสหรัฐได้เสนอแนวทางในการทำลายเสีถยรภาพของประเทศไนจีเรียอย่างลับๆ และได้ดำเนินการตามแผนงานดังกล่าว เป้าหมายคือการสร้างภาวะความอ่อนแอให้เกิดขึ้นในประเทศไนจีเรีย ในฐานะคู่แข่งทางยุทธศาสตร์เชิงทฎษฎีในทวีปแอฟริกา ในอีกด้านหนึ่งก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ทางด้านพลังงานที่สหรัฐสามารถกอบโกย ได้จากการควบคุมสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นภายในประเทศ
วิกิลีกส์ ยังได้เปิดโปงอีกว่า โปรแกรมที่ทูตสหรัฐได้ดำเนินการในไนจีเรีย คือ ภารกิจการสอดแนม และปฏิบัติการต่างๆ ดังต่อไปนี้
1.การจารกรรมข้อมูลจากคณะรัฐบาล
2.การสอดแนม ฝ่ายกระทรวงการเศรษฐกิจ
3.การสอดแนม บุคคลสำคัญ ในประเทศ
4.การสนับสนุนกลุ่มกบฎและกลุ่มต่อต้านต่างๆ
5.การจ่ายสินบน มอบสิทธิพิเศษให้กับชาวอเมริกันในการทำธุรกิจแสวงหาผลกำไรตามสถานที่ต่างๆ
นี่เป็นข้อมูลที่วิกิลีกส์ได้ออกมาเปิดโปงแผนการของสหรัฐในประเทศไนจีเรีย
นอกจาก นี้ ยังมีรายงานอีกว่า CIA ได้ถือโอกาศในการเข้าแทรกแซงประเทศ เมื่อเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างศาสนาและนิกาย โดยการจ้างประชาชนชาวมุสลิมที่ไม่มีอาชีพและผู้นำชนเผ่าต่างๆ และยังได้เป็นคนจัดหลักสูตรสอนให้กับ กลุ่มก่อการร้ายต่างๆประเทศอีกด้วยเช่นเดียวกัน
ใน เดือนกันยายน ปี 2011 สำนักงาน CIA ในแอลจีเรีย ได้มอบเงินให้กับโบโกฮารามเป็นจำนวนเงินถึง 40 ล้าน ไนรา (Naira – สกุลเงินไนจีเรีย) เพื่อความร่วมมือระยะยาว และในเดือนมิถุนายน ปี 2009 วิกิลีกส์ได้ออกมาเปิดเผยว่า CIA รู้ล่วงหน้า 2 เดือน ว่าจะมีปฏิบัติการต่างๆของโบโกฮาราม เกิดขึ้นในไนจีเรีย
นอกจาก นี้ ยังมีรายงานอีกว่า CIA ได้ทำการควบคุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาล โดยขู่ว่าจะเปิดโปงบทสนทนาทางโทรศัพmN หรือข้อมูลต่างๆ ที่ได้บันทึกไว้จากการลอบสอดแนม หากไม่เดินตามหมากที่พวกเขาตั้งไว้
หาก ทำการพิจารณากลุ่มโบโกฮาราม จะเห็นว่ากลุ่มนี้ต้องได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติอย่างไม่ต้องสงสัย มีหลักฐานต่างๆอย่างมากมายที่ชี้ถึง กรณีนี้
ไน เรียนับเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดของแอฟริกา โดยมีจำนวนประมาณ 160 ล้านคน ซึ่งเป็นมุสลิมจำนวน 80 ล้านคน ในทางตะวันตกของแอฟริกานั้นนับเป็นประเทศที่มีเศรษกิจใหญ่ที่สุด มีรายได้จากน้ำมันและก๊าซ ตัวเลขสตถิติชี้ว่า ประเทศไนจีเรียมีน้ำมันประมาณ 3,600 ล้านบาเรล และ และส่งออกน้ำมันวันละ 2 ล้านบาเรล ซึ่งสหรัฐได้ใช้น้ำมันจากไนจีเรียในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประมาณ 9 -11 เปอร์เซ็นต์ ไนจีเรียยังเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันเป็นรายแรกของแอฟริกา และเป็นประเทศที่จ่ายน้ำมันให้สหัรฐเป็นอันดับสี่
ประชากร ชาวมุสลิมของประเทศส่วนมากจะอาศัยอยู่ทางภาคเหนือ และทางภาคใต้นั้นจะเป็นจังหวัดที่มีชาวคริสต์ตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่เป็นจำนวน มาก ซึ่งแหล่งผลิตน้ำมันและก๊าซของประเทศนี้อยู่ทางภาคใต้ของไนจีเรีย จังหวัดเดลทายี นีญัร มีรายงานว่า ไนจีเรียและสหรัฐได้ร่วมมือกันเพื่อรักษาความมั่นคงของประเทศ ภายหลังจากปฏิบัติการของโบโกฮาราม
อ้างอิง:
http://salameno.ir
http://www.avapress.com/vdcjoheh.uqetvzsffu.html
http://www.mouood.org