ข้ออ้างเมื่อ 90 ปีก่อนของอาลิซาอูดในการทำลายสุสานคือคำกล่าวอ้างของไอซิสในวันนี้ / 8 เชาวาล ครบรอบวันแห่งการทำลายสุสานอัลบะกีอ์

2002

farsnews – ข้ออ้างเมื่อ 93 ปีก่อนของอาลิซาอูดในการทำลายสุสานบรรดาอิมามและสาวกของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล)ในอัลบะกีอ์นั้น คือคำกล่าวอ้างของไอซิสในวันนี้ ในการทำลายศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ต่างๆของโลกอิสลามและสุสานของบรรดาผู้ทรงคุณธรรมในซีเรียและอิรัก

8 เชาวาล ปีฮิจญ์เราะฮ์ ศักราช 1344 ครบรอบวันแห่งการทำลายสุสานอัลบะกีอ์ ในเมืองมะดีนะห์ อันเป็นสถานที่ฝังศพของบรรดาลูกหลานท่านศาสดา และบรรดาสาวกของท่านศาสดาอิสลาม ซึ่งรู้จักในนามวันการรื้อทำลาย “เยาวมุล ฮัดม์”

สุสานอัลบะกีอ์ คือ อนุสาวรีย์แห่งรัศมีของพระผู้เป็นเจ้าตลอดกาล ถึงแม้ว่าวันนี้จะมืดมิด เพราะไม่มีแม้ไฟสักดวงที่จะเปิดให้แสงสว่าง เพราะเป็นที่ฝังศพของอิมามผู้บริสุทธิ์ ลูกหลานท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.)ผู้นำแห่งมนุษยชาติ และปี้นี้ก็ครบรอบอีกปี ที่พวกวะฮาบีได้ทำลายสุสานอัลบะกีอ์

คงไม่มีมุสลิมคนใดปฏิเสธได้ว่า สุสานอัลบะกีอ์ คือมรดกทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งสถานที่หนึ่งในประวัติศาสตร์แห่งอิสลาม ไม่มีประเทศใดในโลกนี้ที่จะมีเรื่องราวที่สัมพันธ์กับประวัติศาสตร์ในช่วงศตวรรษแรกๆ ของอิสลามเท่ากับเมืองฮิญาซ

เนื่องจากว่าแหล่งกำเนิดต้นๆ แห่งอิสลามมีอยู่ที่นั่น และร่องรอยต่างๆ ของผู้นำผู้ยิ่งใหญ่หลายๆท่าน ในอิสลามถูกจารึกเอาไว้ ณ แผ่นดินแห่งนี้ แต่เป็นที่น่าเสียใจอย่างมากที่ในปัจจุบันนี้

บางกลุ่มที่คลั่งไคล้ลัทธิที่ดื้อด้านอย่างวะฮาบีย์ ได้ทำลายร่องรอยประวัติศาสตร์อันทรงค่าเหล่านั้นไปจนเกือบหมดสิ้น ด้วยข้ออ้างโคมลอย ซึ่งปราศจากตรรกะแห่งการอุตริกรรม และการตั้งภาคี

หนึ่งจากร่องรอยทางประวัติศาสตร์แห่งอัลอิสลามคือ สุสานอัลบะกีอ์ ซึ่งเป็นสุสานที่สำคัญยิ่งของอิสลามและมุสลิม เป็นร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่จะสามารถทำให้มุสลิม และมิใช่มุสลิมได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวในประวัติศาสตร์อิสลามได้เป็นอย่างดี ซึ่งผู้ที่เคยไปประกอบพิธีฮัจญ์มาแล้ว ก็มีน้อยคนนักที่ไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนสุสานแห่งนี้

สุสานอัลบะกีอ์ คืออนุสาวรีย์แห่งรัศมีของพระผู้เป็นเจ้าตลอดกาล ถึงแม้ว่าวันนี้จะมืดมิด เพราะไม่มีแม้ไฟสักดวงที่จะเปิดให้แสงสว่าง เพราะเป็นที่ฝังศพของอิมามผู้บริสุทธิ์ ลูกหลานท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ผู้นำแห่งมนุษยชาติ ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากท่านศาสดา

มุฮัมมัด (ศ.) คือ ท่านอิมามฮะซัน (อ.), อิมามอะลี ซัยนุลอาบิดีน (อ.), อิมามมุฮัมมัด บากิร (อ.), และอิมามญะอ์ฟัร ซอดิก (อ.) และรวมถึงเหล่าสาวกผู้ทรงธรรมของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) อีกนับพันคน

บรรดานักกอรีผู้มีชื่อเสียง ลูกหลานบนีฮาชิมหลายท่านด้วยกันก็ถูกฝังในสุสานแห่งนี้ แล้วจะไม่ให้เรียกสุสานอัลบะกีอ์ว่า คืออนุสาวรีย์แห่งรัศมีของพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไรกันเล่า?

ตามรายงานบุคคลแรกที่ถูกฝังในสุสาน แห่งนี้ คืออุสมาน บิน มัซอูน สาวกผู้ทรงเกียรติของศาสดามุฮัมมัด (ศ.)และท่านศาสดา (ศ.) ได้วางหินก้อนหนึ่งลงบนหลุมฝังศพของอุสมานด้วยมือของท่านเองและกล่าวว่า “จงฝังศพบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ของฉันที่นี่” แต่ต่อมาไม่นานเมื่อมัรวาน บิน ฮะกัม ผู้เป็นศัตรูกับบรรดาอะฮ์ลุลบัยต์ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) ได้เป็นเจ้าเมืองแห่งนครมะดีนะฮ์

เขาได้ไปเอาหินก้อนนั้นออกเสีย และสาบานว่าเขาจะไม่ยอมให้มีหินก้อนใดสักก้อนบนหลุมฝังศพของอุสมาน บิน มัซอูน เพื่อที่ต้องการจะไม่ให้ใครรู้จักท่าน

หนังสือหลายเล่มที่ได้บันทึกไว้พร้อม รูปภาพจากผู้ที่เคยไปเยี่ยมเยียนสุสานอัลบะกีอ์เมื่อก่อนนี้ เป็นที่ชัดเจนว่าสภาพของสุสานอัลบะกีอ์ ก่อนการเข้ามามีอำนาจของกลุ่มคลั่งไคล้ในลัทธิวะฮาบีย์ มีโดมและกรงเหล็กที่ทำด้วยทองแดงหรือเงิน กั้นล้อมรอบอย่างสวยงามวิจิตรตระกาลตา พร้อมทั้งมีหินศิลาจารึกนามของผู้ที่ถูกฝังอยู่ ณ ที่นั้นทุกคน แต่เมื่อวะฮาบีย์เข้ามามีอำนาจในผืนแผ่นดินฮิญาซ

พวกเขาลงมือทำลายอนุสาวรีย์รัศมีแห่งพระผู้เป็นเจ้านี้ทันที ตามหลักความเชื่อผิดๆ ที่พวกเขาอุปโลกน์ขึ้นมา การทำลายของวะฮาบีย์มิได้มีแค่นั้น พวกเขาลงมือทำลายสุสานอื่นๆ อีกหลายแห่งในนครมะดีนะฮ์ อาทิเช่น สุสานบรรดาชะฮีด (ผู้เสียชีวิตในหนทางพระเจ้า) ในสงคราม

อุฮุด หรือหลุมฝังศพของท่านฮัมซะฮ์ และอับดุลลอฮ์ บิดาของท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) รวมถึงอีกหลายสถานที่ในนครมักกะฮ์

ในความคิดและหลักศรัทธาของวะฮาบีย์ การบูรณะสุสาน การก่ออิฐหรือหินบนสุสานให้สูงกว่าพื้นดินเป็นสิ่งต้องห้าม

หรือการปฏิบัติเพื่อเป็นการให้เกียรติต่อสุสานของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยเฉพาะสุสานของบรรดาศาสดา บรรดาผู้เป็นที่รักของอัลลอฮ์

บรรดากัลยาณชนต่างๆ ก็ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม ซึ่งเป็นแนวความคิด ของอิบนุตัยมิยะฮ์ และศิษย์เอกของเขา

อิบนุก็อยยิม ที่มีความสับสนต่อรายงานต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องสุสาน จนมีการฟัตวาให้ทำลายสุสานต่างๆ ในนครมะดีนะฮ์ และต่อมาอิบนุตัยมิยะฮ์คนนี้ก็ยังได้ประกาศว่า

“การเยี่ยมเยียนสุสาน และการตะวัซซุล (การอาศัยสื่อยังพระผู้เป็นเจ้า) คือบิดอะฮ์ (การสร้างอุตริกรรมในศาสนา) และชิรก์ (การตั้งภาคีกับพระผู้เป็นเจ้า)”

อิบนุตัยมียะฮ์มีความเชื่อว่า   “การดุอาอ์ มีความนอบน้อม ขอสิ่งพึงประสงค์ ขอความช่วยเหลือ ณ สุสานอัลบะกีอ์ หรือสุสานอื่นๆ ต้องถูกประกาศห้ามอย่างจริงจัง และจะต้องทำลายสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่อยู่รอบๆ สุสานด้วย และหากยังมีการปฏิบัติสิ่งเหล่านั้นกันอีก   ก็จำเป็นที่จะต้องทำลายอย่าให้เหลือแม้แต่ซากของสุสาน แม้แต่ร่องรอยก็ไม่ต้องหลงเหลือให้เห็น”

ในความเป็นจริงแล้วมวลมุสลิมต่างเห็นพร้องต้องกัน และเข้าใจกันดีโดยไม่ต้องไม่ต้องใช้ปัญญาสักนิดว่า การขอความช่วยเหลือจากผู้ที่เป็นที่รักของพระผู้เป็นเจ้าเป็นสิ่งอนุญาตในอิสลาม ไม่ได้ขัดกับบทบัญญัติศาสนาแต่ประการใด เพราะการที่มุสลิมคนหนึ่งได้ขอความช่วยเหลือจากอัลลอฮ์ ผ่านท่านศาสดามุฮัมมัด และลูกหลานของท่านศาสดา (ศ.) ไม่ได้หมายความมุสลิมคนนั้นตั้งภาคีแต่ประการใด

เพราะเขาพึงทราบดีว่าผู้ประทานให้ คือพระองค์มิใช่ศาสดา แต่เนื่องจากว่าศาสดามุฮัมมัด (ศ.) คือบุคคลที่พระองค์ทรงรัก และเป็นคนใกล้ชิดของพระองค์ และการที่เราขอสิ่งประสงค์จากพระองค์ผ่านคนรัก และคนใกล้ชิดของพระองค์ นั่นคือการตั้งภาคีหรือ? วะฮาบีย์ถือว่าการปฏิบัติเช่นนั้นเป็นความผิดอันร้ายแรง

อิบนุตัยมียะฮ์ถึงขึ้นออกฟัตวาว่า

“หากบุคคลใดขอความช่วยเหลือจากบุคคลอื่นที่นอกเหนือจากพระผู้เป็นเจ้า เขาต้องรีบ (เตาบัต) กลับเนื้อกลับตัว หากไม่แล้วการฆ่าเขาคนนั้นเป็นสิ่งจำเป็น และทรัพย์สินทั้งหมดของเขาเป็นสิ่งอนุมัติทันที”

คงไม่จำเป็นต้องบอกว่าเหตุผลของการประกาศเช่นนั้นเพื่อรักษาศาสนาของพระองค์เพียงประการเดียว หากแต่ว่ามีมากกว่านั้น เพราะหากศึกษาดูโครงสร้างแนวความคิดของวะฮาบีย์แล้ว แท้จริงก็คือแนวทางหนึ่งของศัตรูแห่งอิสลามที่ต้องการเข้ามาทำลายอิสลาม ในคราบของอิสลามและมุสลิม

การบิดเบือนศาสนาอิสลามที่แท้จริง คือเป้าหมายหลักของศัตรู

แนวความคิดของวะฮาบีย์คือแนวความคิดหนึ่งที่แทรกซึมเข้ามาในหมู่มุสลิมซึ่งการถือกำเนิดของลัทธินี้ก็เป็นที่ทราบโดยทั่วไปเป้าหมายคือ สร้างความแตกแยกในหมู่มุสลิม ต่อต้านการญิฮาดและการต่อสู้ ห้ามจัดงานทำบุญต่างๆ ตามบ้านหรือในสุสาน ห้ามจัดงานวันเกิดท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ.) เป็นต้น โดยการโชว์สโลแกน “บิดอะฮ์” และ “ชิร์ก์” ซึ่งหากพิจารณาให้ดี การปฏิบัติทั้งหมดที่ลัทธินี้ต่อต้านล้วนนำมาซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกันของมวลมุสลิมทั้งสิ้น

ข้ออ้างของอาลิซาอูดในการทำลายสุสาน คือคำกล่าวอ้างของไอซิสในวันนี้

ข้ออ้างเมื่อ 93 ปีก่อนของอาลิซาอูดในการทำลายสุสานบรรดาอิมามและสาวกของท่านศาสดามุฮัมมัด(ซล)ในอัลบะกีอ์นั้น คือคำกล่าวอ้างของไอซิสในวันนี้ ในการทำลายศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ต่างๆของโลกอิสลามและสุสานของบรรดาผู้ทรงคุณธรรมในซีเรียและอิรัก ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาที่เกิดกลุ่มไอซิสในตะวันออกกลาง สุสานต่างๆที่สำคัญของโลกอิสลามและอุลามาอ์ผู้ทรงคุณธรรมในอิรักและซีเรียถูกไอซิสรื้อทำลายป็นจำนวนมาก