ชาวคริสต์คนหนึ่ง นาม ซาการียา บิน อิบรอฮีม ได้เล่าว่า : ข้าพเจ้า เข้ารับศาสนาอิสลาม และได้กลายเป็นมุสลิมคนหนึ่ง ในเหตุการณ์ครั้งหนึ่งนััน ข้าพเจ้าได้ร่วมเดินทางไปเพื่อประกอบพิธีฮัจญ์ ที่นครมักกะฮ และเพื่อถามปัญหาบางประการ ข้าพเจ้าจึงเข้าพบ อิมามศอดิก(อ) (ผู้ซึ่งเป็นลูกหลานของศาสดามูฮัมมัด(ซล)) ข้าพเจ้าจึงกล่าวกับเขาว่า : “กระผม เคยเป็นชาวคริสต์มาก่อน แล้วตอนนี้กระผมได้เป็นมุสลิมแล้ว” อิมาม จึงกล่าวถามว่า : ท่านเห็นสิ่งใดหรือ จึงทำให้ท่านกลายเป็นมุสลิม ?
ซะการียา ตอบว่า เพราะโองการอัลกุรอ่านบทนี้
وَكَذَٰلِكَ أَوْحَيْنَا إِلَيْكَ رُوحًا مِنْ أَمْرِنَا ۚ مَا كُنْتَ تَدْرِي مَا الْكِتَابُ وَلَا الْإِيمَانُ وَلَٰكِنْ جَعَلْنَاهُ نُورًا نَهْدِي بِهِ مَنْ نَشَاءُ مِنْ عِبَادِنَا ۚ وَإِنَّكَ لَتَهْدِي إِلَىٰ صِرَاطٍ مُسْتَقِيمٍ
และเช่นนั้นแหละเราได้วะฮียฺอัลกุรอาน แก่เจ้าตามบัญชาของเรา เจ้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอะไรคือคัมภีร์ และอะไรคือการศรัทธาแต่ว่าเราได้ทำให้อัลกุรอานเป็นแสงสว่างเพื่อชี้แนะทาง โดยนัยนั้นแก่ผู้ที่เราประสงค์จากปวงบ่าวของเรา และแท้จริงเจ้านั้น จะได้รับการชี้แนะสู่ทางอันเที่ยงธรรมอย่างแน่นอน (42:53)
เมื่อ ได้ฟังเช่นนั้นแล้ว อิมามจึงกล่าวต่อว่า : พระเจ้าทรงชี้นำท่านแล้ว พระเจ้าทรงชี้นำท่านแล้ว พระเจ้าทรงชี้นำท่านแล้ว จนครบสามครั้งหลังจากนั้น ท่านได้กล่าวกับซาการียาว่า “โอ้บุตรที่รัก หากเธออยากจะถามอะไร ก็จงถามมาเถิด”
ซะการียาจึงกล่าวว่า : พ่อแม่และครอบครัวของกระผมเป็นชาวคริสต์ มารดาของกระผมเป็นคนตาบอด ผมซึ่งเป็นมุสลิมจะใช้ชีวิตร่วมกับพวกเขาได้หรือไม่? กระผมจะร่วมทานอาหารร่วมสำรับกับพวก เขาได้หรือไม่ ? อิมามจึงถามว่า พวกเขาบริโภคเนื้อสุกรหรือไม่ ? ซะการียาตอบว่า ไม่ครับ พวกเขาไม่บริโภคเนื้อสุกร และไม่แตะต้องมัน. อิมามจึงกล่าวตอบว่า ” ฉะนั้นแล้วก็ไม่มีปัญหาแต่ประการใด เธอจงอยู่ร่วมกับมารดาของเธอเถิด แล้วจงประพฤติตนอย่างดีงามต่อนาง และหากความตาย ได้ย่างกรายมาสู่นาง จงมอบหมายให้ตนเอง เป็นผู้ฝังนางเถิด และจงอย่าแจ้งข่าวนี้แก่ผู้ใด จนกว่า พระเจ้าจะประสงค์ให้เธอมาพบกับฉัน ณ แผ่นดินมีนา.
ซะการียาได้เล่าต่อว่า ข้าพเจ้าได้พบกับอิมามอีกครั้งที่เมืองมีนา และเมื่อข้าพเจ้ากลับสู่(มาตรภูมิ)เมืองกูฟะฮ์
ข้าพเจ้า ได้ปฏิบัติต่อมารดา ด้วยการให้เกียรติ และประพฤติตนดีต่อนาง ได้หุงหาอาหารและป้อนให้นาง ได้ซักล้างเสื้อผ้าของนาง และได้ช่วยเหลือรับใช้ปรนนิบัตินาง จนกระทั่งมารดาของข้าพเจ้า พูดว่า “โอ้ลูกชายที่รัก ตอนที่เธอยังนับถือศาสนาของฉัน เธอไม่เคยปฏิบัติ และแสดงความรักต่อฉันเช่นนี้เลย ไฉนเมื่อเธอรับศาสนานี้ เธอจึงปรนนิบัติกับฉันเช่นนี้ ? ซะการิยา ตอบมารดาของตนว่า ” ชายผู้หนึ่งซึ่งเป็นลูกหลานของศาสดาของเรา(ศ)ได้สั่งให้ฉัน ปฏิบัติดีต่อมารดา” มารดาของฉันจึงกล่าวว่า ชายคนที่สั่งให้เธอทำอย่างนี้ คือศาสดาหรือ ? ข้าพเจ้าได้ตอบว่า “ไม่ใช่ครับผม หากแต่เขาคือบุตรหลานของศาสดา” เมื่อมารดาได้ฟังเช่นนั้น นางจึงกล่าวว่า”ศาสนาของเธอคือศาสนาที่ดีที่สุด” จงบอกเล่าเรื่องราวของศาสนานี้มาให้กับฉันเถิด” ข้าพเจ้าจึงเล่าเรื่องราวของอิสลามให้มารดาฟัง จน
ท้ายที่สุดเธอก็ได้กลายเป็นมุสลิม ข้าพเจ้ายังได้สอนนางเกี่ยวกับหลักศาสนบัญญัติของอิสลาม มารดาได้ทำละหมาดซุฮริ อัศริ มัฆริบ และ อีชา
แล้วในคืนนั้นเองนางก็ได้ล้มป่วยลง มารดาได้เรียกข้าพเจ้ามาแล้วกล่าวว่า “อะไรที่เธอได้สอนฉัน จงสอนมันอีกครั้งเถิด ข้าพเจ้าจึง สอนนางอีกครั้งหนึ่ง แล้วมารดาก็ยอมรับ หลังจากนั้นนางก็จากโลกนี้ไปอย่างสงบ รุ่งเช้าชาวมุสลิมได้เข้าร่วมพิธีฝังศพของมารดา ฉันได้นมาซให้นาง และนำร่างของนางฝังคืนสู่แผ่นดิน.
(อัคลาค วะตัรบียัต อิสลามีย์ 1/72)