presstv – อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านกล่าวกับเลขาธิการกลุ่ม “ญิฮาดอิสลามีย์” พร้อมคณะผู้ติดตาม เมื่อบ่ายวันพุธที่ผ่านมา ว่า ด้วยวิกฤติการณ์อันเลวร้ายอย่างต่อเนื่อง ทำให้พวกที่สนับสนุนรัฐเถื่อนไซออนิสต์อิสราเอลพยายามที่จะทำให้ปัญหาปาเลสไตน์ถูกลืม แต่ด้วยกับการยืนหยัด และการต่อสู้ของประชาชาติชาวปาเลสไตน์ ผืนแผ่นดินอันมีเกียรติแห่งนี้จะได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระอย่างแน่นอน
ผู้นำการปฏิวัติอิสลามได้ชื่นชมแรงบันดาลใจแห่งศรัทธา และจิตวิญญาณแห่งการยืดหยัดในหมู่ชาวปาเลสไตน์ว่า วิถีเดียวเท่านั้นในการปลดปล่อย “อัลกุดส์อันทรงเกียรติ” ก็คือการยืนหยัดและการต่อสู้ นอกจากแนวทางนี้ล้วนแล้วแต่ไร้ผล และ “เป็นหมัน” ทั้งสิ้น
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ได้ตอกย้ำในการดำเนินแผนการดังกล่าวว่า แน่นอนว่า มีบางกลุ่มที่ได้รับมอบหมายและภารกิจเพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่ม “ญิฮาดอิสลามีย์”แห่งปาเลสไตน์บรรลุข้อตกลงสิบฉบับด้วยเหตุนี้ต้องระวังอย่าให้แผนดังกล่าวถูกบันทึกเพียงลายลักษณ์อักษรบนกระดาษ และในช่วงต้นของขั้นตอนแรกและยุทธวิธีนั้นอย่าให้มันถูกลืมเป็นอันขาด
ผู้นำการปฏิวัติยังได้กล่าวถึงมูลเหตุและอุปสรรค์สำคัญของภูมิภาคนี้ก็คือการมีอยู่ของมหาอำนาจผู้อหังการ และมหาซาตาน อันหมายถึงอเมริกา พร้อมกับชี้ถึงการเข้ามาเสี้ยมของเหล่าชัยฏอนตัวเล็กตัวน้อยในภูมิภาคทำให้เกิดวิกฤติการณ์ร้ายซ้ำซากว่า เป้าหมายของพวกมันนั้นก็คือความพยายามที่จะทำให้ ปัญหาปาเลสไตน์กลายเป็นเรื่องเล็กที่ไม่สำคัญในความนึกคิดของผู้คนโดยทั่วไปในภูมิภาคนี้ และทำให้ประชาชาติทั้งหลายหลงลืมในปัญหาสำคัญนี้
ผู้นำการปฏิวัติอิสลามกล่าวเสริมว่า สาธารณรัฐอิสลามแม้จะมีการเผชิญหน้าในบางกรณีในระดับภูมิภาคก็ยังคงประกาศชัดอย่างต่อเนื่องว่าปาเลสไตน์คือปัญหาอันดับแรกของโลกอิสลามและจะคงทำหน้าที่ของตนในด้านนี้ต่อไป
ผู้นำสูงสุดได้ชี้ถึงภารกิจของ “กลุ่มต่างๆในปาเลสไตน์ บรรดาอุลามาอ์ นักคิดนักอ่านและนักเขียนแห่งโลกอาหรับ” ในการฟื้นฟูรักษาเรื่องปาเลสไตน์ให้คงไว้ในความนึกคิดของผู้คนโดยทั่วในประชาชาติทั้งหลายว่า ต้อง “สร้างบรรยากาศทางปัญญาและวาทกรรมรวมในโลกอิสลามเกี่ยวกับลำดับความสำคัญเรื่องของปาเลสไตน์” ด้วยความพยายามที่มากขึ้นโดยที่เจ้าหน้าที่ในบางประเทศที่ฉวยโอกาส นั้นมีความหวาดกลัวต่อปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ยังกล่าวถึงความพยายามของอเมริกาและสมุนบริวารที่รับใช้มันในภูมิภาคนี้ในการสร้างวิกฤติการณ์ร้ายต่าง ๆ ให้เป็นเรื่องความขัดแย้งในทางมัซฮับหรือสำนักคิดอิสลามว่า เป็นสิ่งที่สวนทางกับคำโฆษณาชวนเชื่อ เพราะพี่น้องซุนนีในเมืองฮัลบ์ โมซูล และเมืองต่าง ๆ ล้วนถูกพวกอาชญากรตักฟีรีย์เข่นฆ่าสังหารหมู่ ด้วยเหตุนี้ วิกฤติการณ์ร้ายต่าง ๆ เหล่านั้นไม่ได้มีความเกี่ยวพันระหว่างชีอะฮ์ซุนนีแต่อย่างใด
ผู้นำสูงสุดยังกล่าวอีกว่า เหล่าแกนนำกลุ่มขบวนการก่อการร้ายตักฟีรีย์ก็เหมือนกับบรรดาผู้นำของผู้ปฏิเสธ และกล่าวเสริมว่า หนึ่งในปัญหาสำคัญในภูมิภาคนี้ก็คือการเผชิญหน้ากับกลุ่มขบวนการก่อการร้าย เฉกเช่น ไอซิส อัลนุศราฟรอนด์และกลุ่มอื่น ๆ เพราะการสร้างวิกฤติการณ์ที่ต่อเนื่องของกลุ่มตักฟีรีย์ทั้งหลายทำให้ปัญหาปาเลสไตน์กลายเป็นเรื่องชายขอบ
ผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า จำเป็นที่จะต้องมีการต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวกับการมีอิทธิพลและแทรกซึมของกลุ่มก่อการร้ายตักฟีรีย์ในปาเลสไตน์ และกล่าวย้ำว่า ภารกิจของกลุ่มก่อการร้ายเหล่านั้น ก็คือการสร้างฟิตนะฮฺ ดังนั้นจะต้องเผชิญหน้ากับพวกมันด้วยความฉลาดหลักแหลมและเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ผู้นำสูงสุด ถือว่า ชัยชนะนั้นคือพันธะสัญญาของพระเจ้าที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน หากมีการต่อสู้อย่างต่อเนื่องและอดทนต่อความยากลำบาก และกล่าวเสริมว่า ความเป็นศัตรูกับแนวรบแห่งสัจธรรมเป็นเรื่องธรรมชาติของตัวตนบรรดาผู้อหังการและมหาอำนาจ ดังนั้นจงอย่าประหลาดใจไปกับการดำรงความเป็นศัตรูของพวกมัน
ผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า การดำเนินการต่อสู้นั้นต้องอาศัยการเปิดโลกทัศน์และการวิเคราะห์ที่ถูกต้องของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และกล่าเสริมว่า วิธีนี้เป็นวิธีแห่งสติปัญญาและเหตุผล ดังนั้นจะต้องเผชิญหน้ากับพวกมันด้วยความฉลาดหลักแหลม
ผู้นำสูงสุดได้ทบทวนถึงกลอุบายและแผนการร้ายของนักล่าอานานิคมที่มีต่อสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านอย่างต่อเนื่องว่า หัวใจของเรามีความเชื่อมั่นในพันธะสัญญาของพระผู้อภิบาลอย่างแท้จริงซึ่งเราจะปฏิบัติหน้าที่ของเราในทุกภาคส่วนให้ถึงที่สุด และไม่เกรงกลัวต่อการข่มขู่ใดๆทั้งสิ้น
อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่า ประชากรหนุ่มของปาเลสไตน์ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ และชี้ถึงความสำคัญของการสร้างชีวิตชีวาและการขับเคลื่อนไปยังเขตเวสต์แบงก์ว่า ระบอบยิวไซออนิสต์ ดั่งที่เคยกล่าวย้ำมาแล้วว่า ระบอบยิวไซออนิสต์จะดำรงอยู่ไม่เกิน 25 ปี โดยมีเงื่อนไขว่าชาวปาเลสไตน์และมวลมุสลิมจะต้องยืนหยัดต่อสู้และมีเอกภาพ
ผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า การระมัดระวังอย่างเต็มเต็มรูปแบบในความพยายามของศัตรู ‘เพื่อสร้างความแตกแยกและปัญหาภายในขบวนการญิฮาดอิสลามีย์ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ และกล่าวเสริมว่า ความสำคัญของขบวนการญิฮาดอิสลามีย์ในวันนี้ย่อมมีความสำคัญมากกว่าสมัยก่อน
ในการพบปะครั้งนี้ รอมฎอน อับดุลลอฮ์ เลขาธิการขบวนการญิฮาดอิสลามีย์แห่งปาเลสไตน์ได้กล่าวขอบคุณจุดยืนที่กล้าหาญและความปราดเปรื่องของผู้นำการปฏิวัติอิสลามและสาธารณรัฐอิสลาม อีกทั้งการสนับสนุนจากพี่น้องฮิซบุลเลาะฮ์แห่งเลบานอนที่มีต่ออุดมการณ์และประชาชาติปาเลสไตน์ที่ถูกกดขี่ โดยชี้ถึงสถานการณ์ความวุ่นวายในภูมิภาค ว่า เป็นเรื่องน่าเสียดายที่บางรัฐอาหรับได้ปล่อยวางในประเด็นปาเลสไตน์และหันมาแข่งขันในการเป็นพันธมิตรกับระบอบไซออนิสต์
รอมฎอน อับดุลลอฮ์ ถือว่าการปราบปรามที่ทวีความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์และการยึดครองดินแดนโดยไซออนิสต์อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฝั่งตะวันตก(เขตเวสต์แบงก์)นั้นเป็นผลพวงมาจากสถานการณ์แห่งความวุ่นวายอันนี้ พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์ความร่วมมือของรัฐบาลปาเลสไตน์กับอิสราเอลว่า โชคดีที่เยาวชนปาเลสไตน์ในวันนี้ได้มีการตื่นตัวและสร้างนวัตกรรมใหม่เกิดขึ้นและสานต่อขบวนการอินติฟาดาห์
เลขาธิการขบวนการญิฮาดอิสลามีย์แห่งปาเลสไตน์ ถือว่า การปิดล้อมฉนวนกาซาอย่างต่อเนื่องโดยมีประชากรอยู่อาศัยมากกว่าสองล้านคน และการทำให้พวกเขาถูกตัดขาดจากปัจจัยขั้นพื้นฐานแห่งการดำเนินชีวิตก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้น และกล่าวเสริมว่า ขบวนการญิฮาดอิสลามีย์แห่งปาเลสไตน์ได้มีการจัดทำแผนร่างฉบับที่สิบ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักคิดนักอ่านและนักเขียนแห่งโลกอาหรับ และเชื่อมันว่า วิธีเดียวที่จะได้รับชัยชนะคือการยืนหยัดต่อสู้ในฉนวนกาซ่าและการสนับสนุนขบวนการอินติฟาดาห์ในเวสต์แบงก์และรัฐบาลปาเลสไตน์ก็ควรประกาศยกเลิกข้อตกลงออสโล
รอมฎอน อับดุลลอฮ์ได้ชี้ถึงการเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวของศักยภาพและขีดความสามารถด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ของกลุ่มมุกอวิมัตต่างๆเมื่อเทียบกับสงคราม 51 วันกับอิสราเอล และการยกระดับพิสัยในการยิงและความแม่นยำของขีปนาวุธของกลุ่มมุกอวิมัตว่า ปาเลสไตน์เป็นแผ่นดินแห่งการกำหนดชะตากรรมครั้งสำคัญ และตราบใดที่สิทธิอันชอบธรรมนี้ยังไม่ถูกส่งมอบให้กับเจ้าของแล้ว ภูมิภาคนี้ก็จะไม่มีวันสงบ