ผู้นำสูงสุดอิหร่าน ชี้ อังกฤษเป็นแหล่งที่มาของภัยคุกคาม ความชั่วร้าย อันตรายและความทุกข์ยากเสมอมา

204

presstv – เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2559 ในการเข้าพบของบรรดาข้าราชการและแขกผู้เข้าร่วมสัมมนา “เอกภาพอิสลาม” ครั้งที่ 30  ณ กรุงเตหะราน  ซึ่งมีบรรดาทูตานุทูตของประเทศอิสลาม และประชาชนกลุ่มต่างๆ อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวย้ำว่า วันนี้สองความต้องการที่ขัดแย้งกันในภูมิภาคได้เผชิญหน้ากัน นั่นคือ “ความต้องการเอกภาพ” และ “ความต้องการความแตกแยก” และในสถานการณ์ที่เปราะบางเช่นนี้ “การพึ่งพาอัลกุรอานและคำสอนแห่งพระผู้เป็นเจ้า” ของท่านศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ (ซ็อลฯ) ในฐานะสื่อเยียวยาเอกภาพนั้น คือแนวทางแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากต่างๆ ของโลกอิสลาม

เอกภาพคือกุญเจแห่งการเผชิญหน้าต่อสู้กับมหาอำนาจผู้อหังการและนักล่าอานานิคม

ผู้นำการปฏิวัติได้ชี้ถึงความพยายามที่ไม่หยุดยั้งของมหาอำนาจและนักล่าอาณานิคม ในการสร้างความแตกแยกและความอ่อนแอแก่บรรดามุสลิม พร้อมกับเสริมว่า : โลกอิสลามวันนี้กำลังเผชิญกับปัญหาและความทุกข์ยากมากมาย โดยที่เอกภาพ การทำงานร่วมกัน ความร่วมมือและการข้ามผ่านความแตกต่างทางด้านนิกาย (มัซฮับ) และความคิด ภายใต้ร่มเงาของสิ่งต่างๆ ที่เหมือนกันในอิสลาม จะเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาและความทุกข์ยากเหล่านี้ได้

อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี กล่าวว่า  หากประชาชนและรัฐบาลอิสลามทั้งหลายมีความเป็นเอกภาพแล้ว สหรัฐอเมริกาและไซออนิสต์ก็จะสูญเสียอำนาจในการบีบบังคับความต้องการต่างๆ ของตนเหนือบรรดามุสลิม และแผนสมคบคิดที่จะทำให้ลืมประเด็นของปาเลสไตน์ก็จะล้มเหลว

ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลามถือว่าการโจมตีและการเข่นฆ่าชาวมุสลิมเริ่มจากประเทศพม่าในตะวันออกของเอเชีย ไปจนถึงประเทศไนจีเรียในตะวันตกของแอฟริกา และการเผชิญหน้ากันของชาวมุสลิมในภูมิภาคที่สำคัญมากในตะวันตกของเอเชียนั้น เป็นส่วนหนึ่งจากผลของแผนสมคบคิดต่างๆ ในการสร้างความแตกแยกของบรรดามหาอำนาจ และได้กล่าวเสริมว่า ในสถานการณ์และสภาพการณ์เช่นนี้ ชีอะฮ์อังกฤษ (ชีอะฮ์ที่ถูกสร้างโดยอังกฤษ (British Shia) และซุนนีอเมริกา (ซุนนีที่ถูกสร้างโดยอเมริกา American Sunnis) นั้น เป็นเหมือนสองปากของกรรไกรที่กำลังทำงานเพื่อจุดไฟและสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้น

ผู้นำการปฏิวัติอิสลามชี้ถึงการเผชิญหน้ากันระหว่างความต้องการของมาร (ชัยฏอน) ในการ “สร้างความแตกแยก” กับความต้องการที่จะก่อให้เกิดเกียรติศักดิ์ศรีของการสร้าง “เอกภาพ” โดยกล่าวว่า  นโยบายเดิมๆ ของอังกฤษบนพื้นฐานของการแบ่งแยกแล้วปกครอง ได้กลายเป็นวาระการปฏิบัติที่จริงจังของบรรดาศัตรูของอิสลาม

ความจำเป็นของการสร้างเอกภาพในโลกอิสลาม

ผู้นำการปฏิวัติอิสลามถือว่า การที่บรรดามหาอำนาจได้เพิ่มการเคลื่อนไหวต่างๆ ในการต่อต้านอิสลามหลังจากชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามนั้น เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความหวั่นกลัวของพวกเขาต่อความมั่นคงและการดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องของระบอบอิสลามที่แข็งแกร่ง ก้าวหน้าและเป็นแบบอย่าง และกล่าวเสริมว่า บรรดาศัตรูแม้ว่าพวกเขาจะมีการกล่าวอ้างการประนีประนอมและการเสริมสร้างภาพลักษณ์ภายนอกก็ตาม แต่ด้านในนั้นพวกเขามีความป่าเถื่อนและหยาบช้าอย่างสมบูรณ์แบบ ประเทศทั้งหลายจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเผชิญหน้ากับศัตรูที่ไร้ศีลธรรม ไร้ศาสนา และไร้ความยุติธรรมนี้

อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอีถือว่า “เอกภาพ” คือการเตรียมความพร้อมที่สำคัญที่สุดซึ่งเป็นความจำเป็นของโลกอิสลาม และกล่าวเสริมว่า  ทุกกลุ่มนิกายของอิสลาม ไม่ว่าจะเป็นชีอะฮ์หรือซุนนี จะต้องระมัดระวังจากการสร้างความแตกแยก และจะต้องยึดเอาท่านศาสดา (ซ็อลฯ) คัมภีร์อัลกุรอานและกะอ์บะฮ์อันทรงเกียรติ เป็นแกนกลางของเอกภาพและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลามได้เรียกร้องให้ประชาชนและรัฐบาลทั้งหลายตระหนักและระแวดระวังต่อแผนการร้ายต่างๆ ของบรรดาประเทศที่แสวงหาอิทธิพลและการครอบงำ และกล่าวเสริมว่า  ทำไมประเทศทั้งหลายที่เป็นอิสลามจึงเชื่อคำพูดของบรรดาศัตรูเกี่ยวกับภัยคุกคามต่างๆ และความเป็นศัตรูภายในของโลกอิสลามเอง และดำเนินตามนโยบายต่างๆ ของพวกเขาอย่างเปิดเผย

หลักคำสอนของท่านศาสดาคือสื่อแห่งการเยียวยาในการสร้างเอกภาพที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด

ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติอิสลาม ได้กล่าวย้ำว่า วันนี้สองความต้องการที่ขัดแย้งกันในภูมิภาคได้เผชิญหน้ากัน นั่นคือ “ความต้องการเอกภาพ” และ “ความต้องการความแตกแยก” และในสถานการณ์ที่เปราะบางเช่นนี้ “การพึ่งพาอัลกุรอานและคำสอนแห่งพระผู้เป็นเจ้า” ของท่านศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ (ซ็อลฯ) ในฐานะสื่อเยียวยาเอกภาพนั้น คือแนวทางแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากต่างๆ ของโลกอิสลาม

ผู้นำการปฏิวัติอิสลาม กล่าวอวยพรเนื่องในวันคล้ายวันประสูติของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) และวันประสูติของท่านอิมามญะอ์ฟัร (อ.) พร้อมกับเสริมว่า  ความสำคัญของการมีอยู่ของท่านศาสดาของอิสลามนั้น ถึงขั้นที่พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเกียรติทรงอ้างถึงพระคุณเหนือมนุษยชาติไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานอันศักดิ์สิทธิ์เนื่องจากการประทานความโปรดปรานที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้นี้

อยาตุลลอฮ์ คาเมเนอี ถือว่าคำสอนต่างๆ ของท่านศาสดามุฮัมมัด (ซ็อลฯ) คือแนวทางสำหรับความรอดพ้นของมนุษยชาติทั้งมวล โดยอ้างอิงถ้อยคำจากคัมภีร์อัลกุรอานที่ว่า “เราะห์มะตัน ลิลอาละมีน” (ความเมตตาแก่สากลจักรวาล) พร้อมกับกล่าเสริมว่า บรรดาศัตรูของมนุษยชาติและบรรดาพวกมั่งคั่งและพวกอหังการจะต่อต้านคำสอนที่จะทำให้เกิดความผาสุกนี้ ด้วยเหตุนี้เองพระผู้เป็นเจ้าจึงได้ทรงบัญชาต่อท่านศาสดา (ซ็อลฯ) ว่า นอกจากการยับยั้งตนจากการปฏิบัติตามและประนีประนอมกับบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา (กุฟฟาร) และบรรดาผู้กลับกลอก (มุนาฟิกีน) แล้ว ยังจะต้องต่อสู้และแสดงความแข็งกร้าวกับพวกเขา

ผู้นำสูงสุดได้กล่าวเสริมว่า  การต่อสู้ (ญิฮาด) กับบรรดาศัตรูของอิสลามและของมนุษยชาติ ตามสถานการณ์ต่างๆ ที่เหมาะสมนั้น บางครั้ง (เป็นการต่อสู้) ในทางการทหาร บางครั้งในทางการเมืองและในบางสภาพเงื่อนไข (เป็นการต่อสู้) ในทางวัฒนธรรมหรือแม้กระทั่งในทางวิทยาการ ประชาชาติมุสลิมทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้เผยแพร่ศาสนาและบรรดาเยาวชน จะต้องใช้ประโยชน์จากคำสอนและการใช้ชีวิตของท่านศาสดา (ซ็อลฯ) โดยการศึกษาค้นคว้าและทำความเข้าใจต่อคำสอนทั้งหมดเหล่านั้น

ในช่วงท้ายของคำพูด ท่านได้กล่าวกับประชาชนชาวอิหร่านว่า การดำเนินตามแนวทางที่น่าภาคภูมิใจของท่านอิมาม (โคมัยนี) และการปฏิวัติอย่างต่อเนื่อง การยืนหยัดเผชิญหน้ากับบรรดาศัตรู และการปกป้องสัจธรรมความจริงโดยไม่หวั่นกลัวใดๆ นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันจะนำมาซึ่งเกียรติศักดิ์ศรีและความผาสุกทั้งในโลกนี้และปรโลก