ในขณะที่อเมริกาอ้างตนวาเป็นผู้ที่เรียกร้องเพื่อสิทธิมนุษยชนรายใหญ่ที่สุดในโลก และสหรัฐฯ ก็เป็นชาติที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนรายใหญ่ที่สุดของโลกเช่นกัน นั้นหมายความว่าสิทธิมนุษย์ชนตามแบบฉบบของสหรัฐอเมริกา เป็นสิ่งที่โกหกหลอกลวงที่ใหญ่ที่สุดและสำหรับโลกของเรา
สหรัฐฯ เป็นชาติที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ข่าวเช่นนี้ประชาชนไม่ควรตกตะลึงและไม่น่าเชื่อ เพราะอำนาจของสื่อที่อยู่การครอบงำของสหรัฐฯ สามารถปกปิดประชาชนจากทั่วโลกเพื่อให้ห่างไกลใจจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในโลกเพื่อให้ประชาชนปฏิเสธและเกิดความสงสัย
สหรัฐฯ ณ ตอนนี้ ตามการยอมรับและการสารภาพของทนายความชาวอเมริกาที่เป็นรู้จักกันดี ถือว่าอเมริกา เป็นชาติที่ “ละเมิดสิทธิมนุษยชนรายใหญ่ที่สุด” ในโลก
เมื่อวันศุกร์สัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดาทนายความของนักโทษ “นอกกฎหมาย” ใน Bagram คาบูล ได้พูดกับผู้สื่อข่าวโดยยอมรับในประเด็นดังกล่าวและย้ำว่าอเมริกาเป็นชาติที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในโลกรายใหญ่ที่สุดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ได้ละเมิดสิทธิของบรรดานักโทษใน Bagram ‘ ได้ทำการทรมานและฆ่าพวกเขา และบางคนเสียชีวิตในสภาพที่ถูกทรมาน
ทนายความดังกล่าวเป็นเจ้าหน้าที่ของ “เครือข่ายความยุติธรรมโลก” โดยกล่าวว่า บรรดาทนายความนักโทษใน Bagram ในอดีตที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลาหกปียังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมนักโทษแม้แต่สักครั้งเดียว
ทนายความใน Bagram กล่าวว่า รัฐบาลอัฟกานิสถาน ด้วยการรับผิดชอบในการคุมขังนักโทษใน Bagram เพื่อเป็นการ พิสูจน์อำนาจอธิปไตยของตน
ทีน่า ฟอสเตอร์ หัวหน้าเครือข่ายดังกล่าว กล่าวว่า อยากจะขอบคุณรัฐบาลฮามิด การ์ซัย ในการรักษาอธิปไตยของชาติของอัฟกานิสถานและมีความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติด้วยความยุติธรรมต่อนักโทษในคุกตามรัฐธรรมนูญอัฟกานิสถาน ”
นางสาวฟอสเตอร์กล่าวว่า นักโทษใน Bagram ถูกทรมาน และเจ้าหน้าที่ได้ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน ”
เขากล่าวว่าในฐานะที่เป็นพลเมืองของสหรัฐฯ คนหนึ่งรู้สึกมีความ “ละอายใจ” มาก ที่ประเทศของเขา “เป็นประเทศที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนรายใหญ่ที่สุดในโลก.”
เขากล่าวว่า เรารู้ว่าหลายร้อยคนถูกทรมานในเรือนจำของสหรัฐฯ และเรายังรู้ว่าคนที่อยู่ในคุกต้องสูญเสียชีวิตของพวกเขาเพราะจากการถูกทรมาน แน่นอนว่าเราเชื่อว่าสหรัฐฯ และนโยบายของรัฐบาลได้มีการละเมิดสิทธิของผู้คนจำนวนมาก”
นางสาวฟอสเตอร์กล่าวว่า ประชาชนจำนวนมากถูกสหรัฐฯ ควบคุมตัวและกักขังโดยไม่มีหลักฐานและถูกจองจำในคุก Bagram
นี่คือความจริง ในขณะที่สหรัฐฯ ไม่มีความละอายใดๆ ออกมาอ้างตนว่าเป็นผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชนสำหรับคนทั่วโลกและหนึ่งในคำเรียกร้องของสหรัฐฯ ที่ได้ส่งทหารเข้าไปในอัฟกานิสถานก็เพื่อแคมเปญฟื้นคดีแสวงหาความยุติธรรมสำหรับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการละเมิดสิทธิมนุษยชน ดังนั้นเป็นไปได้อย่างไรที่หลังจากกว่าหนึ่งทศวรรษที่ปรากฏตัวเรียกร้องสิทธิมนุษยชนอันจอมปลอมและมดเท็จของตะวันตก มาถึงตอนนี้อเมริกาเพิ่งจะมีความรู้สึกผิดชอบต่อประเทศของพวกเขา ที่ได้”ละเมิดสิทธิมนุษยชนรายใหญ่ที่สุดในโลก” และความรู้สึก “ละอายใจ” กระนั้นหรือ ?
ข้อมูลที่ถูกนำเสนอโดยเครือข่ายยุติธรรม สร้างความประหลาดใจอย่างมากว่าการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นในอเมริกามานานกว่าสิบปีที่ผ่านมาซึ่งมันเสมือนกับว่าสิทธิมนุษยชนเป็นหนี้ของชาวอเมริกา
ประชาชน “ผู้บริสุทธิ์” ในอัฟกันและชาวต่างชาติในคุก “นอกกฎหมาย” โดยไม่สามารถเข้าถึงทนาย การพิจารณาคดีอย่างยุติธรรม กระบวนการทางกฎหมายที่จำเป็น อธิปไตยของชาติและรัฐบาลแห่งชาติ และการเข้าถึงขององค์กรระหว่างในกระบวนการของรัฐอธิปไตยและเป็นรัฐบาลของประชาชน ยังถูกทรมานจนแม้กระทั่งตายอย่างทรมาน ดังนั้นในสภาพการณ์ดังกล่าวจะเป็นไปได้อย่างไรที่ประเทศของตนเป็นประเทศที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของในโลก กลับอ้างตน ภายใต้ข้ออ้างของการละเมิดสิทธิมนุษยชนทำการลงโทษชาติอื่นๆ ได้กรีทาทัพเข้าสู่ประเทศอื่นๆ และเรียกร้องความยุติธรรมสำหรับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการละเมิดสิทธิมนุษยชนกระนั้นหรือ ?
นี่แสดงให้เห็นว่าในขณะที่สหรัฐฯ อ้างตนวาเป็นผู้ที่เรียกร้องเพื่อสิทธิมนุษยชนรายใหญ่ที่สุดในโลก และสหรัฐฯ ก็เป็นชาติที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนรายใหญ่ที่สุดของโลกเช่นกัน นั่นหมายความว่าสิทธิมนุษยชนตามแบบฉบับของสหรัฐอเมริกา เป็นสิ่งที่โกหกหลอกลวงที่ใหญ่ที่สุดและสำหรับโลกของเรา
แม้แต่บริบทด้านสิทธิมนุษยชนอเมริกายังใช้ประโยชน์ให้กับตนเองในการครอบงำและกดขี่ประชชาติทั่วโลกเพื่อกำหนดชะตากรรมนั้นหมายความว่าเขาฉวยโอกาสอย่างไร้ความปรานีและโหดร้ายของสิทธิมนุษยชนในทางที่ผิดเพื่อสนองความโลภและการหลอกลวงทางการเมือง การทหารและเศรษฐกิจพลังงาน
ดังนั้นการเปิดเผยการก่ออาชญากรรมเหล่านี้เป็นหน้าที่ของทุกคนที่มีมโนธรรมที่จะต้องตื่นตัวและตระหนักถึงความทุกข์ของมนุษย์ทุกคน…..
อ้างอิง islamtimes