โดย อาจารย์โกวิท อเนกชัย
ตีพิมพ์ในสาสน์อิสลาม ฉบับ 3 /2546
ตลอด ช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านไป มีเหตุการณ์เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรามากที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อพระพุทธศาสนาก็ มี ในกรณีทะเลาะวิวาท ตีความของคำว่า “ พระนิพพาน ” เป็นอัตตาหรืออนัตตา
สำหรับผู้ที่ยึดถือข้างหนึ่งข้างใดไว้แล้ว ก็เป็นสิ่งที่แน่นอนว่า เขาจะต้องปฏิเสธความคิดตรงกันข้ามกับความคิดของตน แต่สำหรับนักภาวนาเล่า เราจะถือฝักถือฝ่ายได้หรือเปล่า ตามมติของผมนั้นนักภาวนาต้องยืนอยู่ตรงกลางแล้วมองออกทั้งสองซีก เข้าใจได้ทั้งสองฝ่าย จึงอาจประสานรอยร้าวได้ แต่ถ้าเรายืนข้างหนึ่งข้างใดแล้ว ย่อมเป็นการยากยิ่งที่จะประสานรอยร้าว แม้เรื่องธรรมดาๆ ไม่ใช่กรณีร้ายแรงก็เช่นกัน พระนิพพาเป็นจุดหมายปลายทางของมนุษย์ของชาวพุทธจริงหรือ? ต่างว่าเป็นชาวคริสเตียนหรือเป็นมุสลิม หรือเป็นคำถามต่อชาวพุทธว่า เป็นความจริงหรือที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระนิพพานเป็นจุดหมายปลายทาง แล้วพระนิพพานหมายถึงอะไร ความดับสนิท ความดับสูญ
พอผมฟังอย่างนี้แล้วผมหวาดเสียว ผมยังรักชีวิตอยู่ ยังอยากอยู่ในโลกกอยากกอดลูก อยากเห็นหน้าพ่อแม่อยู่ ดังนั้นเป็นปัญหาทีเดียวครับ
แม้ในหมู่ชาวพุทธเองก็ตาม การพูดว่าพระนิพพานเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิตนั้น ไม่ผิด แต่มันขึ้นกับความหมายที่แท้จริงนั่นเอง แต่นิยามนั้นมีข้อโต้แย้งเพราะพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัสอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า พรหมจรรย์นี้มีวิมุตติเป็นโอสาเร สาระของการปฏิบัติธรรมก็เพื่อเข้าถึงวิมุตติหรืออิสรภาพ ส่วนพระนิพพานนั้นเป็นโอตา เป็นที่หยั่งลง เพื่อที่จะเข้าใจได้ง่าย
สมมุติว่าผมมีเม็ดกรวดหรือลูกกระสุนแข็งๆ แต่ผมต้องการจะยิงเป้าที่อยู่บนฝ้าเพดาน เป้าหมายผมอยู่ที่นั่น เมื่อกระสุนโดนเป้าแล้ว มันก็ตกลงมาสู่พื้น ขาลงของกระสุนไม่ได้เป็นเป้าหมาย แต่มันล่อนลงเอง เป้าหมายของการภาวนาคืออิสรภาพ (วิมุตติ) ต่อแต่นั้นคือการหยั่งลงสู่พระนิพพาน (โอทตา – การหยั่งลง) หยั่งลงด้วยกฎธรรมชาติของมันเอง ไม่มีใคร ไม่มีกรมกองใด ไม่มีกองทัพใดเข้าถึงพระนิพพานได้ไม่มีใครเลยที่จะเดินเข้าสู่พระนิพพานได้ เพราะพระนิพพานไม่ใช่ที่ที่จะต้องไป แต่เป็นที่ที่ หยั่งลงเมื่อเป็นอิสระจากกิเลสตัณหา นั่นหมายความว่า มรรคไปสู่พระนิพพานนั่นว่างจากตัวตน ว่างจากบุคคลความพยายามจะเข้าพระนิพพานด้วยกิเลสสวะเป็นการสูญเปล่า
การกล่าวว่าพระนิพพานเป็นเป้าหมายนั้นเป็นพียงถ้อยคำล่อให้ปรารถนาเป็นโวหาร เปรียบเปรยกับสังสารวัฏฏ์ เป้าหมายของมนุษยชาติก็คืออิสรภาพ พ้นจากเครื่องพันธนาการอันหมายถึง กิเลสมูล โทษะ โลภะ โมหะ ถูกตัดราก เมื่อสิ่งเหล่านี้ขาดแล้วก็แจ่มแจ้งพระนิพพานเอง ข้อวิวาทบาดหมาที่แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ทำให้พระพุทธศาสนามัวหมองในทัศนะของผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ การยึดพระนิพพานว่าเป็นอัตตาก็ตาม พระนิพพานเป็นอนัตตาก็ตาม ล้วนคาดคิดขัดขวางกันโดยติดโวหารสมมุติ ถ้านักภาวนาต้องการดับทุกข์บางส่วนยืดถือเอาอัตตาก็ได้ เช่น ทำความสงบแบบฤาษีชีไพร ทำมากๆ เข้าก็สงบกลบเกลื่อนทุกข์เหมือนเอาหินทับหญ้าถ้าปรารถนาดับทุกข์สิ้นเชิง แล้ว ต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติโดยถ่ายเดียว
ดังนั้นถ้าจะยึดถือเอาอัตตาเป็นหลักก็ยึด เพื่อดับทุกข์บางส่วน ก็มีสิทธิ์ทำได้ในฐานะคนนอกพุทธศาสนา
ข้อ เท็จจริงอันหนึ่งมีว่า ความยึดถืออะไรให้เป็นอัตตานั้นเป็นความคลาดเคลื่อนขั้นพื้นฐาน ซึ่งมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นตัวตนของเรา แรกสุดคือรูปกาย ร่างกายนี้ซึ่งมันตั้งอยู่ 70 ปีบ้าง 80 ปีบ้าง ยึดถือ ได้ว่าเป็นตัวตนของเราแต่ที่จริงมันยึดไม่ได้อยู่แล้ว แพทย์หรือผู้มีความรู้ทางด้านสรีรวิทยา ทางด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพอะไรเหล่านั้น จะบอกเราว่า ช่วงเจ็ดปีเท่านั้น เซลล์ทุกเซลล์ในร่างตายหมดโดยที่เซลล์ใหม่เกิดขึ้นแทน เพราะฉะนั้นทุกๆ ปี ทุกๆ เจ็ดปีนี้ ไม่ใช่เนื้อไม่ใช่ตัวของเราแล้ว หรือแม้แต่พุ่มไม้ที่เราเห็นอยู่ เรามาวัดศานติ – ไมตรีนี่ เห็นพุ่มไม้พุ่มหนึ่งใหญ่เห็นทรวดทรงของมันเหมือนกับทรงผมของเรา ที่เราไว้ทรงผมใหม่ เห็นอยู่เดือนหนึ่งปีหนึ่ง ที่จริงเส้นผมทุกเส้น ใบไม้ทุกใบร่วงโรยตลอด แต่มันขึ้นมาใหม่แทน มันขึ้นแซม
ดังนั้นภาพที่เราเห็นนั้นเป็นมายา มายานั้นมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งหลอกลวง มันไม่ได้หลอกลวงเลย มันเพียงแต่ลวงตาคนที่ไม่รู้เท่าทัน ว่าไปแล้ว ผู้รู้เท่าไม่ทันนั้นเองหลอกลวงตัวเอง โดยการมองผิดพลาดไป ใบไม้โรยอยู่ทุกขณะ ขณะที่เราพูดกันสองนาทีนี่ใบไม้ร่วงหล่น เส้นผมบนศีรษะก็ร่วงหล่นไป แต่ที่มันทรงสภาพอยู่ได้นั้น เพราะความสืบ ต่อ ปรากฏการณ์ทั้งหมดเป็นภาพหมายสืบต่อ มายานั้นภาษาบาลีแปลว่างดงามยิ่ง ไม่ได้แปลว่าหลอกลวง มันลวงตา ประหนึ่งว่าภาพสะท้อนเป็นแอ่งน้ำในทะเลทรายหรือ ในฤดูร้อนที่แดดร้อนจัดเดือนเมษายน ถ้าขับรถหรือเดินไปเห็นแอ่งน้ำสะท้อนอยู่ข้างหน้า แต่พอเข้าใกล้จุดกำเนิดถึงใจกลางของมันนั้นก็ปรากฏว่ามันไม่มี แต่ครั้นเราถอยกลับมาที่จุดสังเกตอันเก่าอันแรกเริ่มนั้น มันปรากฏอีกแล้วมันเป็นอยู่อย่างนั้นเอง มันไม่ได้ตั้งใจจะหลอกลวงใคร
กายนี้ก็เหมือนกัน แต่มนุษย์ยึดถือว่ากายนี้เป็นตน เป็นฉัน เป็นของๆ ฉันเป็นสิ่งที่ฉันต้องยึดเกาะ ฉันจะเอาอย่างนั้น ฉันจะเอาอย่างนี้ นี่คือสาเหตุแห่งความทุกข์ยากของมนุษย์เรายกตัวอย่างผมเองเป็นคนผิวค่อนข้าง ดำคล้ำ แต่ผมเกิดคิดจะมีผิวขาวอย่างฝรั่งมังค่า ทุกเช้าที่ส่องกระจก ผมจะต้องเป็นทุกข์ความอยากที่จะขาวยิ่งตอกย้ำความดำขึ้นทุกวัน ถ้าวันไหนที่ผมรับความจริงนี้ได้ ดำ ยอมรมรับมายาโดยความ เป็นมายา วันนั้นเป็นวันที่สิ้นสุดความทุกข์ในกรณีที่อยากจะขาวใช่หรือเปล่า ถ้าผมยังไม่ทิ้งความอยากจะให้ขาวด้วยเหตุที่อยากลอกเลียนคนอื่น อยากเหมือนคนอื่น ก็จะทุกข์อยู่อย่างนั้น ทุกวันจะทุกข์อยู่อย่างนั้น เมื่อเราเคลื่อนตัวเข้าสู่ใจกลางของภาพลวงตาแล้ว เราเข้าใจความจริงลึกซึ้งว่าสิ่งที่ปรากฏนั้น มันปรากฏได้ที่จริงมันไม่มี แต่พอถอยกลับมันปรากฏอีกแล้ว แต่ว่าการถอยกลับมาในจุดเดิมครั้งที่สอง พอเพียงที่จะเข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏได้ แต่ไม่มีเนื้อหา ปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า สิ่งที่เรียก Hoio gram ส่วนใหญ่คนรุ่นใหม่รู้จักดี เมื่อผมเห็นครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์เมืองเซนต์ หลุยส์ เขาจัดไว้เพื่อให้เด็กสนุก เขาฉายรังสีแสงสังเคราะห์ภาพขึ้นโดยไม่มีจอ ที่หัวมุมโค้งหักเสี้ยว เดินไปไม่ทันรู้ตัวก็เจอไดโนเสาร์ โผล่หัวออกมา แต่ถ้าเราเอามือคว้ามัน ไม่มีอะไรอย่างที่ตาเห็น
กาย เนื้อซึ่งมันตั้งอยู่ได้เพราะกระบวนการอาหารถ้าเราอยากผอมหรืออยากตาย ง่ายนิดเดียว คือ อย่ากิน ไม่กิน ไม่หายใจ เดี๋ยวก็ตาย ฉะนั้นรูปร่างอ้วนพี ดำขาวอะไรนี่ มันขึ้นกับอาหารและอุณหภูมิ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ยีน มันไม่ได้บอกว่าฉลาดหรือโง่ ถ้ากินมาก ผลของการ กินมากจะอ้วน กินน้อยก็จะผอม รูปทรงรูปกายนั้นตั้งอยู่ได้ด้วยอาหาร ทีนี้ยังการอีกกายหนึ่ง ซึ่งเข้าใจขึ้นและมักจะเอามาโจมตีกัน คือ กายทิพย์ เพราะว่าถึงจะมี กาย สิ่งที่เรียกว่ากายทิพย์ หรือที่นักคิดได้แผ่ขยายไปเป็นโลกทิพย์หรือทิพย์โลก ซึ่งนักคิดอีกฝ่ายหนึ่งอาจจะบอกปฏิเสธทันที แต่แล้วข้อเท็จจริงอันนี้พระพุทธเจ้าแถลงถึงกายทิพย์ว่าเกิดแต่มโนธาตุดัง ได้กล่าวแล้ว ไม่ใช่เรื่องพิสดารอะไร แต่ภายใต้จิตนึกจะมองไม่เห็น หรือถ้าจิตตกภวังค์เช่นในเวลาหลับ เข้าสู่นิทรารมณ์ ก็จะไม่เห็นเหมือนกัน ภาวะตื่นในหลับ หลับในตื่น จะเห็นทิพยโลกแต่ ทิพย์โลกเหมือนกับภาพลวงตานั่นเอง ไม่ได้มีเนื้อหาใดๆ แต่มันปรากฏได้จริงอย่างอัศจรรย์ใจ ฉะนั้นในพระสูตรจึงบอกว่า พระพุทธเจ้าทรงสนทนากับเทพยดา บางครั้งท่านบอกว่า ท่านเห็นแสงบ้าง ไม่เห็นรูป บางครั้งเห็นรูปแต่ไม่เห็นแสง ทั้งรูปทั้งแสงเป็นสิ่งเดียวกัน เป็นรูปของแสงโลกที่เป็นทิพย์นั้นเกิดแต่มโนธาตุ
ผู้ มีประสบการณ์ในเรื่องนี้และผ่านเลยไปสู่วิปัสสนา ก็ไม่สงสัยในความปรากฏได้อย่างแปลกประหลาดของแสงภายในคลองอินทรีย์ประสาทอัน เป็นรูปนิมิต ราวกับปราสาทมนตร์ของคนธรรมพ์เป็นเนรมิตกรรมสังเคราะห์ขึ้นด้วยแสง ถ้าผู้มีประสบการณ์นั้นมีสติอยู่ ความสงสัยไขว่คว้าก็ไม่มี แล้วก็ผ่านเลยไปแต่ถ้าไม่เคยเจริญสติ ผลีผลามเข้าสมาธิลึกๆ จะเข้าไปยึดถือทิพย์โลกว่าเป็นสิ่งจริงแท้ แล้วอาจบัญญัติเรียกชื่อว่า ธรรมกายหรือแดนวิสุทธิเกษตรอะไรก็แล้วแต่ อันนั้นเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา
ถ้า เราพิจารณาจากอริยมรรคมีองค์ 8 หมวด สัมมาสติก่อนสัมมาสมาธิ แต่คนไม่รู้เรื่องจะทำสมาธิเข้าก่อน โดยขาดสติขาดสัมปชัญญะพอเห็นทิพยโลกหรือปรากฏการณ์แปลกประหลาดก็ยึดถือว่า เป็นจริงเป็นตุ เป็นตะ แล้วก็เกลียดชังคนอื่นที่ไม่เห็นด้วย ถ้าอ้างประสบการณ์คนอื่น ผมไม่สู้ถนัดนัก หรืออ้างตำราก็ตำราก็ไม่ถนัด แต่ถ้าอ้างตัวเอง ผมเคยทำภาวนาชนิดที่สงบระงับเข้าสู่ทิพย์โลกมันประหลาดมหัศจรรย์ แล้วก็หลงใหล แล้วก็เคลิบเคลิ้มไปแรมปี ด้วยอำนาจของแสงสว่างประหลาดชนิดหนึ่งที่ฉายวาบขึ้นมา แล้วจะเห็นรูปทิพย์ประหนึ่งก้อนน้ำแข็งลอยอยู่ในน้ำ คือ มันภาพเดียว มันเกิดจากพลังของมโนธาตุและวาสนา คือแนวโน้มหรือความปรารถนาที่จะเห็นอะไร เช่นเหมือนที่เรานอนฝันถึงคนรัก ก็เห็นใบหน้าแนบแน่น อีกทั้งปิติอิ่มใจ
ศาสนาในโลกนี้มีอยู่มาก แต่มีอยู่สองประเภท ประเภทเทวนิยมกับอเทวนิยม พระพุทธศาสนาแม้จะอ้างถึง
ปรากฏการณ์กายทิพย์ ก็เพียงเพื่อป้องกันการด่วนสรุป ของผู้มีอุจเฉททิฏฐิ *และสัสสตทิฏฐิ * * ทั้งจัดเป็นอเทวนิยม ยกเรื่องอริยสัจ เรื่องความจริงของชีวิตเป็นข้อใหญ่ใจความทิพยโลกเป็นทางผ่านเท่านั้น สำหรับผู้ที่มีสติสมบูรณ์รู้สึกตัว จับอิริยาบถเคลื่อนไหวได้ จะผ่านทิพยโลกด้วยความเข้าใจและผ่านเลย แต่ถ้าผู้ที่ฝึกสมถะไม่เข้าใจเข้ายึดถือไขว่คว้า แล้วฝังหวังลงในนั้น ที่นี้ก็ทะเลาะกับอื่น ผมจำตัวเองได้ว่า เมื่อมีประสบการณ์นี้แล้วเกลียดระอาความเป็นมนุษย์มาก รู้สึกมนุษย์นี่มันโสโครก ไม่อยากพูดไม่อยากฟัง แล้วผิวพรรณเปล่งปลั่งผุดผาด เพราะโลกทิพย์นั้นเป็นโลกของแสงสว่าง กายเนื้อตั้งอยู่ได้ด้วยอาหารกายทิพย์เกิดแต่มโนธาตุ ยังมีสภาพเราสะท้อนถูกยึดถือว่าเป็นตัวตนอีกอันหนึ่ง คือตัวเราในความทรงจำของเรา เช่น เราจำได้ว่าเป็นลูกใคร ทุกๆ คนที่นั่งในที่นี้ มีพ่อมีแม่มีญาติพี่น้องดังภาพกระจกแต่ละเงาสะท้อนเมื่อเรายืนต่อหน้าพ่อ เรารู้สึกเป็นลูก ฉันเป็นลูกของท่านผู้นี้ แต่พอเรายืนต่อหน้าน้อง ฉันเป็นพี่ เหมือนกระจกหกด้านสะท้อน ภาพตัวเองขึ้นมา แล้วถูกยืดถือเป็นตัวตนอันเนื่องจากความจำ ถ้าเครื่องมือหรือการถูกกระทำให้ลืมหมดก็จำตัวนั้นไม่ได้ เช่น คนเสียจริตเสียสติไปจำไม่ได้ ตัวเองเป็นใครก็ไม่รู้
ขันธ์ ทั้งห้าที่ประกอบประชุมกันล้วนแล้วแต่เป็นมายาเป็นภาพลวงตา เป็นเพียงภาวะสืบต่อ สิ้นแรงทะยานในภาพชาติ ขันธ์ 5 ก็กลายเป็นเพียงธาตุตามธรรมชาติ เป็นความว่างในที่สุด ความเป็นก้อนเป็นแท่งนี่มันเป็นมายาทั้งนั้นยิ่งลงลึกเข้าสู่โครสร้างของ อะตอมด้วยแล้ว อนุภาคที่หมุนวนมันเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
เมื่อ 20 ปีก่อนผมอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ได้ดูโปรแกรม สารคดีเรื่องสุขภาพของมนุษย์เรื่องหนึ่ง ชมแล้วก็เย็นไปทั้งตัว เย็นถึงสันหลัง เพราะว่าเขาเอากล้องโทรทัศน์เล็กๆสอดเข้าไปในเส้นเลือด ผ่านเข้าไปในหัวใจ แล้วก็ถ่ายทอด ออกมาสู่จอ พร้อมกับขยายเสียงด้วย เม็ดเลือดชนกันดังเหมือนกับดูกับตู้รถไฟชนกัน ผมเย็นไปทั้งตัว โอ นี่ร่างกายของเราจริงๆ หรือ แต่ความสี้ลับของธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้นเราไม่ใช่เราเลย ถ้าถามว่าเราคือใคร เราคือสติปัญญาที่รู้ตัวเอง พอจะพูดได้ว่า นั่นละเป็นเรา เราคือ สติ เราคือ ความรู้สึกตัว ดังนั้นเมื่อเอาสติเข้ามาจับการเคลื่อนไหวในตัวตนในภาพหนึ่งๆ นั่นเองทำให้เราทุกข์หนัก เราคิดถึงตัวในฐานะหนึ่งๆ มาเกินไปหรือเปล่า เราจึงทุกข์เวลาไม่ทุกข์ เราก็ไม่ค่อยคิดเท่าไร ภาพของตัวตนนั้นเป็นเพียงภาพสะท้อนเท่านั้น แต่ใครหยาบหยามภาพสะท้อนนั้นเราจะโกรธ เมื่อเราเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้แล้ว การปฏิบัติต้องไม่ใช่สนองตัวตน ไม่เอาตัวตนเป็นหลักเป็นศูนย์กลาง เช่น ฉันอยากได้สมาธิ ฉันอยากจะได้สมาธิเร็วๆ ฉันไม่อยากเป็นอะไรนี่ มันเป็นเรื่องของเขาตัวเองเข้าไปเป็นศูนย์กลางแล้ว
ใน คืนเดือนมืดและฝนตกหนัก ดินแฉะ อากาศชื้น ถ้าเราจะจุดไฟด้วยไม้ขีดคงลำบากไม่ใช่น้อย ต่อให้ฟืนแห้งสนิท ภาวะอากาศมันชื้นจัด ไม่ขีดก็แห้ง กลักไม้ขีดก็แห้งแต่จุดยาก ถ้าบรรยากาศอุ่น แต่ไม้แฉะ ก้านไม้ขีดหรือกลักไม่ขีดแฉะก็จุดยาก ต้องถึงพร้อมด้วยเหตุปัจจัยจึงจะจุดไฟได้ ดังนั้นเรามาสร้างบรรยากาศก่อนที่เราจะรู้สึกตัวได้ดี
ธรรมะ ของพระพุทธเจ้านั้น ว่ากันว่าทีตั้ง 84,000 หรือเปล่า มีอยู่วันหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงประทับที่ป่าประดู่ลาย ทรงกอบใบไม้บนพื้นดินขึ้นกำหนึ่ง แล้วก็ถามพระสาวกที่ประชุมกันเบื้องหน้าว่า ใบไม้ที่อยู่ในกำมือตถาคตกับใบไม้ทั้งป่า ไหนจะมากกว่ากัน พระสงฆ์ก็ตอบซื่อๆว่า มันเทียบกันไม่ได้ ใบไม้ในป่ามากมายก่ายกอง ใบไม้ในกำมือพระองค์นั้นน้อยนิดเดียว พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า สิ่งที่ตถาคตรู้เปรียบด้วยใบไม้ทั้งป่า แต่ที่นำมาสอนเพื่อเกื้อกูลประโยชน์แก่พวกเธอทั้งหลายแค่ใบไม้กำมือเดียวแต่ คำถามว่ามือเดียวนั้นคืออะไร ทรงอธิบายว่า คือเรื่องราวของอริยสัจ เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุที่ทำให้เราอมทุกข์น้อยเนื้อต่ำใจอะไรอย่างนี้ เรื่องทุกข์ทั้งสิ้น แล้วก็ที่สุดของทุกข์ และหนทางปฏิบัติต่อไปจนถึงที่สุด นี่คือใบไม้กำมือเดียว
แต่ว่า บรรยากาศที่จะทำให้อากาศแห้งพอที่จะจุดไฟขึ้น ใบไม้ฝ่ามือเดียว คือทำความเข้าใจสิ่งต่อไปนี้ คือโน้มเอียงไปในทางบรรยากาศทางธรรม ตามปกตินั้นในจิตใจของเรามันเอนเดียงไปในทางโลกย์ เรายังสนุกกับโปรแกรมทีวีช่องโน้นช่องนี้ เราติดละครหลังข่าว ยังติดรสอยู่ ถึงพรากจิตมาอยู่วัดแล้วก็ยังอดติดไม่ได้ คือเราเสพรสของโลกย์มันติดจนกระทั่งพรากไม่ได้ พรากแล้วหงุดหงิด
เรา มาสู่บรรยากาศของธรรมะฝ่ายมือเดียว ประการแรกที่สุด ท่านต้องเข้าใจว่า ชีวิตประกอบด้วยรูปและนามหรือกายกับจิต รูปและนามไม่ใช่ของสองสิ่งซึ่งแยกกันได้รูปและนามนั้นแยกได้ด้วยสติปัญญา เท่านั้น คือการหยั่งรู้ว่าชีวิตนี้มีรูปและนาม คือกายและจิต เมื่อผมเคลื่อนไหวมืออย่างนี้ มันเป็นทั้งรูปทั้งนาม ถ้ามีแต่รูปมันเคลื่อนไม่ได้คนตายก็นอนนิ่งกระดิกไม่ได้ สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตทุกชนิดที่กระดิกกระเดี้ยได้ นับตั้งแต่หนอนตัวเล็กๆ จนถึงช้างหรือไดโนเสาร์ล้วนแล้วแต่เป็นรูปธรรม รูปกับนามกระทำร่วมกันอยู่นี่เป็นข้อแรกที่ต้องทำในใจ ต่อความรู้ การกำหนดรู้ เพื่อเป็นบรรยากาศ และเพื่อความเข้าใจที่ลึกในลำดับต่อไปคือนามรูป ทีนี้กำหนดรู้ว่า ในรูปนามนี้มันมีรูปโรค นามโรค รูปโรคก็คือ โรคกายซึ่งต้องไปหาหมอ เว้นไว้แต่ตัวเองเป็นหมอเอง ไปหายาสมุนไพรมากิน โรคทางกายต้องไป โรงพยาบาล ไปหาหมอ ให้หมอตรวจ หรือถ้าไม่ยอมเสียเงินก็รักษาตัวเอง โรคทางกายนี้รวมถึงโรคเกี่ยวกับระบบประสาท แล้วก็นามโรค โรค ทางอารมณ์ เช่น ทุกข์ใจ เช่น ความโลภ ความเกลียด ความริษยา ความน้อยเนื้อต่ำใจ มันเป็นโรคเหมือนกัน โรคนั้นแปลว่าสิ่งเสียดแทงอย่างโรคทางกายภาพหมายความว่า เราเป็นฝี มันก็เจ็บยอกอยู่ โรคทางจิตใจก็คือ มันเสียดแทงเข้าไปที่ใจ เช่นคนด่าเรา คนว่าด่ากระทบกระแทก ถึงแม้แต่พ่อแม่ว่าเรา เราก็น้อยใจ อดน้อยใจไม่ได้ กายก็เป็นโรคอย่างหนึ่งจิตเป็นโรคอย่างหนึ่ง ทั้งสองรวมลงในหนึ่งคือทุกข์ สภาพไม่น่าปรารถนา
สำหรับ โรคทางจิตใจหรืออารมย์นั้นจะหายขาดต่อเมื่อหันเข้าภาวนา ปฏิบัติธรรม เพราะว่าโรคทางอารมณ์นั้นรักษาไม่ได้โดยหมอ โรคกิเลส หมอเองก็เจ็บป่วยเหมือนกัน หมอเองอาจจะป่วยกว่าคนไข้ด้วยซ้ำไปบางโอกาสรู้จักรักษาแต่โรคกาย แต่โรคจิตใจไม่ค่อยรู้จัก
วัน หนึ่ง พราหมณ์คนหนึ่งซึ่งเขามีสุขภาพดีมากนั่งสนทนากับพระพุทธองค์ ดูเหมือนชื่อพราหมณ์มาคันทิยะบิดาของนางมาคันทิยา เมื่อพระพุทธเจ้าปรารภถึงสุขภาพทางกาย เขาลูบเนื้อลูบตัวเขาบอกว่าใช่สุขภาพกายเขา โรคกายเขาไม่มี เป็นที่มาของพระพุทธภาษิตที่ว่าอาโรคยาปรมาลาภา ความปราศจากโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เขาบอกจริงพระโคดม เขาเองมีโรคน้อยมาก พระพุทธเจ้าทรงชี้ต่อไปว่า แต่โรคมีอยู่สอง คือโรคทางกายและโรคทางจิตใจ เขาก็นิ่งเขาก็รู้ดีเขายังมีความทุกข์ใจ
ทีนี้ ก็ลำดับต่อไป เป็นอารมณ์พื้นฐาน บรรยากาศของการภาวนาคือ ต้องเข้าใจว่าทั้งรูปนามนั้นตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รูปก็ไม่เที่ยง ถึงวันหนึ่งก็ดับ นามก็ไม่เที่ยง โลก ชีวิตเป็นเพียงกระแสแห่งไตรลักษณ์ ถึงวันหนึ่งเมื่อสิ้นอายุขัย ร่างกายก็แตกทำลายธาตุนั้น ก็จะหลั่งไหลไปสู่ถิ่นกำเนิดของมัน ดิน ก็ไปสู่ดิน น้ำก็ไปสู่น้ำ ไฟก็ไปสู่ไฟ สู่ที่มา วิญญาณก็จะดับสู่ที่แปลงอยู่เป็นนิจ ตั้งแต่จุลจักรวาล โครงสร้างของอะตอมมีการหมุนเวียน ไม่ได้นิ่งสนิท จนกระทั่งมหาจักวาลก็มีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวทุกๆ ขณะ เรานั่งอยู่ที่ตรงนี้นี่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ร่างกายเรานั่งนิ่ง แต่หัวใจเราเต้นทำงาน ปอดเอาลมเข้า เอาลมออก ดังนั้นกระแสธรรมชาติไหลผ่านตัวเรา หรือพูดง่ายๆ เราเป็นเพียงกระแสธรรมชาติ เท่านั้น ความหมายของคำว่า ทุกขัง นั้นแปลว่า เสียด ทาน แม้ไม่ยึดถือนี่ก็ดูท่าทีเป็นทุกข์อยู่ในตัว แต่เนื่องจากธรรมะ บัญญัติขึ้นเพื่อมนุษย์ ดังนั้นความหมายของคำว่าทุกข์ จะเกิดเต็มความหมายต่อเมื่อไปยึดเป็นสิ่งเที่ยง สิ่งไม่จีรังยั่งยืนให้เที่ยง เมื่อสวนกระแสธรรมชาติอย่างนี้ก็เกิดแรงเสียด เช่น เหมือนที่ผมบอกอยากจะให้ผิวขาวโดยพื้นเพกำพืดมันผิวดำ ก็ทุกข์เท่านั้นเอง คำว่า อนัตตา มีความหมายลุ่มลึกว่า เป็นสิ่งที่บังคับบัญชาไม่ได้ เอาอย่างโน้นเอาอย่างนี้ไม่ได้ ธรรมชาติเขาไม่ได้ตามใจเรา สมมุติว่าคนอายุ 30 ปีนี้ ขณะนี้ วินาทีนี้อายุ 30 ปรารถนาจะให้เป็น 31 มันทำไม่ได้ เรียกร้องยังไงก็ทำไม่ได้ หรือ ปรารถนาให้ เป็น 29 นี่ทำไม่ได้ อายุขัยไปเรื่อยทุกขณะ เราเปลี่ยนกฎตายตัวนี้ไม่ได้ หรือแม้แต่เกิดแก่เจ็บตาย เราก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ชีวิตรักษาไว้ไม่ได้ ครั้นถึงอายุขัยมันก็แตกทำลายเรามักจะได้ยินคำพูดที่ว่า คนนี้จิตใจอ่อนแอเหมือนผู้หญิงที่จริงจิตไม่มีเพศ จิตเป็นธาตุรู้เท่านั้นเอง แล้วก็ความรู้สึกตัวนี่ก็เหมือนกัน ผู้หญิงก็รู้สึกสดๆ ผู้ชายก็รู้สึกสดๆ ได้
ลำดับ ต่อมา สิ่งที่เราต้องทำความรู้จักและเข้าใจเพื่อให้เป็นบรรยากาศ เพื่อการตื่นขึ้นของชีวิตนั้นก็คือเรื่องสมมติ และสิ่งที่เป็นปรมัตถ์ คือสิ่งที่มนุษย์ว่า กับสิ่งที่ธรรมชาติเป็น อย่างเงินนี่เป็นสิ่งสมบัติ เป็นเศษกระดาษเงินนั้นเป็นสิ่งสมมติขึ้น ทองคำเป็นสิ่งจริงแต่สมมติค่าขึ้น แต่ว่าธาตุทองนั้นเป็นธรรมชาติ ไม่มีราคา ไม่มีรูปพรรณสัณฐานแน่นอน เป็นแร่ชนิดหนึ่งแทรกอยู่ในดินในภูเขาสิ่งสมมติ คุณค่าสมมติเหล่านี้เราต้องรู้จัก ในกระแสธรรมชาติไม่ได้เป็นอย่างนั้น ของแพงหรือถูกเป็นคุณค่าสมมติอย่างเราไปตลาด ถามว่าราคาเท่าไร โปรดสังเกตภาษาไทยให้ดี คำว่า ราคา น่าจะมาจากคำว่า ราคะ หมายความว่า มนุษย์มีราคะในอะไร สิ่งนั้นจะแพง เช่นทองคำ ราคะ หมายความว่า มนุษย์มีราคะในอะไร สิ่งนั้นจะแพง เช่นทองคำแต่ในกระแสธรรมชาตินั้น ทองกับดินเหนียวนี่เหมือนกันไม่เชื่อลองให้หมูเดินผ่าน หมูมันจะไม่สนใจ บางทีมันชอบโคลนมากกว่า เพราะมันนุ่มกว่า มันแตกต่างกันทางด้านคุณสมบัติ แต่ด้านคุณค่าของมันแล้วทัดเทียมกัน แต่ทีนี้ถ้าเราเดินไปเจอเพชร เราอาจจะฆ่ากันตายเพื่อแย่งชิงสิ่งสมมติเหล่านี้ ความเป็นพระนักบวชก็เป็นสิ่งสมมุติการโกนหัวห่มเหลือง ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งสมมติขึ้น โบสถ์ วัด พระพุทธรูป เป็นสิ่งสมมติขึ้น สมมติเพื่อเป็นที่ตั้งขอความเคารพ กราบไหว้ นอบน้อม ซึ่งส่งผลดีต่อชีวิต เจอพระพุทธรูป เจดีย์ก็ยกมือไหว้ แสดงคนนั้นเป็นคนอ่อนโยน แต่ต้องเข้าใจว่าล้วนเป็นสิ่งสมมติว่าไม่ใช่ปรมัตถ์ ไม่ใช่ความจริงแท้
ต่อ มาให้เข้าใจอีกอันหนึ่งว่า ความหมายของคำว่าศาสนา ต้องเข้าใจว่าศาสนาไม่ใช่โบสถ์ไม่ใช่พระประธานไม่ใช่พิธีกรรม อันนั้นเป็น วัฒนธรรม ศาสนาหมายถึงตัวชีวิต ถ้าไม่มีชีวิตก็จะไม่มีศาสนา ทีนี้พระพุทธศาสนาที่แตกต่างจากศาสนาอื่นตรงที่ว่า นอกเหนือจากเรื่องชีวิตแล้วยังระบุบ่งว่า ในชีวิตนี่มีธรรมชาติของพุทธะอยู่ ธรรมชาติ ของพุทธะนั้น คือ การตื่นรู้ตัว เรารู้ตัวดีจึงไม่บ้า ไม่ผิด เพี้ยน ไม่วิกลจริต แต่ยังเป็นการตื่นน้อยๆเมื่อใครมาด่าว่าก็ทนไม่ไหวแล้ว ไม่สามารถดำรงความปกติอยู่ได้ สภาพปกติธรรมดาที่เราเป็นนั่นเอง เป็นสิ่งสลักสำคัญอยู่ในตัวมันเอง คำพูดที่ว่า ทุกๆ คนเป็นพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว แต่เจ้าตัวไม่รู้จัก ความคิดปรุงแต่งมากำบัง การปฏิบัติธรรมนั้น แท้ที่จริงไม่ใช่อะไรอื่น คือการเปิดเผยธรรมชาติแท้ของจิตใจจิตเดิมแท้นั้นคือพุทธะ คำพูดนี้ได้รับการขานรับจากทุกๆนิกายของมหายาน จิตที่บริสุทธิ์เปรียบน้ำที่บริสุทธิ์ นั้นเป็นน้ำตามธรรมชาติ แต่เราเอาสีเจือเข้าไป สีมันเข้าไปบังความบริสุทธิ์ แต่ถ้าเรากลั่นอีกทีหนึ่ง ความบริสุทธิ์ของน้ำก็ยังมีอยู่ กลั่นน้ำก็ย่อมได้น้ำ แยกสีออก กิเลสซึ่งเกาะติดอยู่กับหลุดออกจากจิต ความทุกข์ต่างๆ ก็เหือดแห้งไป
ทันใด ที่ความคิดก่อรูปขึ้น พอเรารู้ตัว ความคิดจะตกไปซึ่งๆ หน้า พร้อมกับสิ่งที่พ่วงมา แต่ผมไม่บอกแล้วว่า ความคิดนั้นมีทั้งคุณและโทษ เมื่อความคิดต่อยึดกันเข้า ก็เกิดดวงวนขึ้นมา เหมือนบุรุษหนึ่งจุดคบไฟขึ้นแล้วแกว่งในที่มืด ที่จริงคบอันเดียว แต่ภาพลวงตาก็เกิดเป็นวงความคิดต่อความคิด ต่อความคิด เกิดเป็นภาพลวงตา มีความหมาย รู้ว่า ตัวฉัน ของของฉัน ถ้าใครคนหนึ่งยื่นมือไปจับข้อมือคนที่กำลังแกว่งคบเพลิง ความลับก็จะแตกออก เมื่อ สติเข้มข้นขึ้น พอความคิดเกิด ความรู้สึกตัวเกิดทันควันจังหวะพอดิบพอดีขึ้นมา มันก็เปิดเผยความจริงที่เป็นปรมัตถ์คือสภาพเหนือคิด สิ่งใดที่เราคิดถึงได้ล้วนเป็นสมมติเพราะว่าเราคิดด้วยภาษาของเรา เราพูดอยู่ข้างใน พูดตรึกนึก พอเราเปล่งคำพูดข้างนอกก็เนื่องกับความคิด เราคิดตามภาษาของตัวเอง ฝรั่งก็คิดเป็นภาษาของเขา เราคิดเป็นภาษาของเรา คนอยู่สองวัฒนธรรมคือพูดได้ทั้งสองภาษา ก็แล้วแต่สิ่งแวดล้อม อยู่ในเมืองไทยก็คือรักษาภาษาไทย แต่ความรู้สึกตัวนั้นไม่เป็นไทยหรือเทศ เวลาปฏิบัติอย่างให้มันพูด แต่ห้ามไม่ให้คิดไม่ได้ แต่อย่างให้มันพูดได้ คำพูดเป็นเสียงซุบซิบอยู่ข้างใน ตัดมันออกไป อย่าให้มันพูด ให้มันเงียบ ข้างในให้มันมันเงียบไว้ แล้วยกมือสร้างจังหวะ มันจะซึมซับกับความเงียบสงัด แล้วก็เบาโปร่งขึ้นมา รักษาตัวปกติไว้ให้ดี เพราะตัวปกตินี้จะนำไป ยิ่งอารมณ์ภาวนาสูงละเอียดอ่อนเท่าไร ยิ่งปกติเท่านั้น ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วจะเพลี่ยงพล้ำ กลายเป็นยึดติดในประสบการณ์พิสดารอย่างโลกทิพย์ หรือ พลังแปลกๆ ซึ่งมันจะออกอีกทางหนึ่ง ไม่ใช่ว่าทิพยโลกหรือพรหมโลกนั้นเหลวไหลแต่ไม่ใช่ศาสนาของพระพุทธเจ้า เท่านั้นเอง คนที่บูชาพระพรหมหรือนั่งสมาธิเห็นนิมิตนั้น เขาก็สงบสุขเหมือนกันแต่จะดับทุกข์สิ้นเชิงไม่ได้ มันไปติดสภาพสงบหลุมสงบ เป็นตาข่ายอันละเอียดอ่อนและลึกซึ้งที่สุดตรงที่ว่า ติดสงบนั้นยากที่จะถอนตัวขึ้น อุปมาเหมือนคนขับรถมาจากกรุงเทพฯจะไปนครศรีธรรมราช ถ้าเข้าไปในตัวเมืองสุราษฎร์ ซึ่งรถจอแจแล้วออกยาก แต่ถ้าไปถนนเลี่ยงเมือง (bypass) ก็ได้ยินทุกสิ่งทุกอย่าง เข้าใจหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ผ่านเลยดังนั้นการเจริญสติให้เป็นสมาธิบนฐานของการเคลื่อนไหวเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อไม่ให้หลงกลความสงบ
สาระ สำคัญอยู่ที่การภาวนา การภาวนานั้นไม่ใช่การบ่นพึมพำบทมนตรา หรือนโมตสสะ หรือสัมมาอรหังหรือกรรมวิธียกมือสร้างจังหวะภาวนานี้ที่จริงความหมายเดียว กับคำว่า พัฒนา การภาวนานั้นเมื่อเราเอาจิตใจที่ขยันปฏิบัติเข้าเป็นตัวตั้ง เอาความอดทนเข้ามายืนไว้ มัน เหมือนกับเราจะขับรถยนต์ ตามธรรมดาเราขับไม่เป็นกลัว ความไม่มั่นใจ ความไม่เข้าใจอะไรทั้งหมด แต่ถ้าเราปฏิบัติการอย่างนั้นเรื่อยๆทุกวัน นั่งหลังพวกมาลัยสตาร์ทเครื่องออกรถบ่อยๆไม่ช้าไม่นานเราก็เป็นนักขับที่ดี ได้และปลอดภัยการปฏิบัติธรรมนั้นมองอีกแง่หนึ่งเป็นการปลุกสัญชาตญาณให้ตื่น ปกติเราจะกลัวงูมากเกือบทุกๆคน สมมุติว่าผมนั่งบรรยายอยู่นี่ มีงูเหลือม หรืองูเห่าเลื้อยเข้ามา ทุกคนจะนั่งปกติไม่ได้ บางคนอาจต้องกระโดดโหยงขึ้นมาเลย แต่เวลาความคิดเลื้อยเข้ามานี่เรากลับไม่รู้สึก คล้ายๆ เราชินว่า เราไม่ตื่นตัวพอ แต่ถ้าคนเป็นนักภาวนาจริงๆความคิดแม้นิดนึ่งผ่านเข้ามาเช่น ความคิดเกลียดคนอื่น มีความโกรธอยู่ในความคิดนี่ เขาจะจับได้แล้วมันสิ้นสุดกันที่ตรงนั้นเรียกว่าเด็ดหัวของความคิดที่จะนำมา ซึ่งสิ่งร้าย
ในเบื้องต้นนี้ขอให้จับความรู้สึกตัวสดๆ บนฐานการเคลื่อนไหว คือเอาสัมปชัญญะสมปฤดีมาดูการเคลื่อนไหว คือเอาสัมปชัญญะสมปฤดีมาดูการเคลื่อนไหวที่กำลังเป็นไปในตัวเอง นี่เป็นบทฝึกเบื้องต้นที่สุด แต่ครั้นเมื่อจิตตื่นแล้วไม่ต้องยกมือก็ได้ เพราะว่า การก้มการเงยนี้ก็เป็นอยู่ท้องพองยุบ หรือแม้แต่ตัวเองเจ็บป่วยไม่สามารถเดินได้ นั่งดูคนอื่นเดินจงกรมก็เป็นสมาธิได้ หรือแม้แต่พลิกมือ หรือกำหนดการเต้นของหัวใจ อย่าเข้าไปในความคิด และอย่าพยายามหยุดความคิด ความคิดเป็นกลไกของจิตใจ บางคนอาจจะเข้าใจผิด เพราะคิดว่าความคิดนี่แหละทำให้เราลำบาก ต้องหยุดมัน อย่าพยายามหยุดความคิดแต่ให้ทันการ อย่าเข้าตามความคิดไป กลับมาที่ความรู้สึกตัว กลับมาที่การเคลื่อนไหว เล่นกันอยู่อย่างนี้ สักพักใหญ่ ในที่สุดสัญชาตญาณชนิดหนึ่ง คือสัญชาตญาณการป้องกันตน ป้องกันสติไม่ให้คล้อยไปตามความคิดไม่ให้ความคิดมันกลางไป ในที่สุดจะดีขึ้นภายในช่วงเวลาสั้นๆ ถ้าปฏิบัติต่อเนื่องจริงๆ ผมกล้ารับรอง สามวันเท่านั้นรู้เรื่อง รู้เรื่องในที่นี้หมายความว่า ความทุกข์ทุเลาเบาบางเพราะความคิดมันบางลง แต่สติมันไวขึ้นนั่นเอง ที่เราทุกข์หนักเพราะสติเราไม่ทัน เรื่องมันลุกลามเข้าไปกินใจเสียแล้วแต่ถ้าพอมันเกิดความคิด เช่นจะเกลียดใครขึ้นมานี่ เด็ดหัวมันเลย รู้ตัวแล้ว มันจะทิ้งทันที ในที่สุดการป้องกันคุ้มครองจิตใจตัวเองจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นในขณะที่นั่ง นิ่งสงบป้องกันไม่ได้ เหมือนที่บรรยายแล้วแต่กลางวันว่า ผู้ที่สงบ จมอยู่ในสมาธิแบบนิ่งแน่วนั้น เพียงเด็กๆ ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวก็โกรธแล้ว ไม่สามารถอดกลั้นอดทนได้ ขอลองปฏิบัติดูทดลองดู ทดลองดูแล้วก็เรียนรู้จากมัน ที่ผมพูดนี่ไม่ใช่การเรียนรู้ เป็นการบอกเล่าเก้าสิบเท่านั้นเอง จริงก็ยังไม่รู้ เท็จก็ยังไม่รู้เลย มันจะรู้จริงรู้เท็จก็ต่อเมื่อเราลงมือปฏิบัติ สักพักหนึ่ง ถ้ารู้สึกว่ามือไม้มันเบาขึ้น มันก็ดีแล้ว เอาสัมปชัญญะทั้งหมดไปสังเกต หรือไปดูการเคลื่อนไหวอย่าหลับตา ถ้าหลับตาแล้วโอกาสเพลี่ยงล้าต่อความง่วงสูงมาก การลืมตาดี เราอาศัยแสงสว่างเข้าไปปลุกให้ตื่นด้วย มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนกันมากครับที่ว่านั่งสมาธิต้องหลับตา ไม่ปรากฏว่าพระพุทธเจ้าท่านรับสั่งให้หลับตา แต่ถ้ารู้สึกตัวแล้วลืมตาก็ได้ หลับตาก็ไม่เป็นไรแสบตาก็หลับตา แต่ลืมตาไว้นั้นดีกว่า พยายามให้ต่อเนื่องแล้วสติต่างๆ เข้มข้นขึ้น ข้นขึ้นๆๆ จนกลายเป็นสมาธิที่ไม่มีระหว่าง (อนันตริกสมาธิ) คือไม่ได้ทำมัน แต่มันก่อตัวขึ้นเอง เหมือนสันดอนทรายที่ทะเลทรายมากองทีละนิดทีละหน่อยจนกระทั่งว่า แน่วแน่มั่นคงต่อเนื่องขยัน ไม่ช้าไม่นานก็จะรู้สึกเต็มๆ ตัวรู้สึกเต็มๆเคยได้ยินคนโบราณพูดไหมครับว่า คนนี้ไม่ค่อยเต็ม หวังว่าคงเคยได้ยิน คนไม่ค่อยเต็มคือคนสติขาดๆ เหลือๆ บางทีก็เกิน บางทีก็ขาดไป
ทีนี้คำเต็มๆ ที่ว่านี้มันจะอิ่มๆ และความหิวโหยทางจิตใจจะน้อยลงๆ เพราะความที่จิตเต็มๆเรียกว่าคนเต็มคนมีสติเต็ม เมื่อสติเต็มนั้น หมายความว่า มันกลายเป็นสมาธิที่ไร้นิมิตแล้ว ต่อแต่นั้นมันก็เกิดการเห็นอาการที่ความคิดเข้ามา อารมณ์เข้ายังไง จากไปยังไง วิปัสสนา เกิดตรงนี้ ตอนที่ยกมือเคลื่อนไหวยังไม่ใช่ เป็นการเตรียมการ เป็นการเร้าธาตุรู้ ตาลืมไว้ แต่อย่าจ้องดูอะไรเป็นพิเศษ เปิดตาไว้ โดยตั้งลำย้อนไปภายในตัวมันเอง พอภาวนาได้ที่จะรู้สึกใสๆ ขึ้น ที่จมูกใสๆขึ้นเข้มข้น และมีฉันทะยิ่งขึ้น แต่ถ้าเผลอคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ก็ดึงกลับมาใช้สัมปชัญญะดึงมากที่นี้ มาที่การเคลื่อนไหว ใหม่ๆ ต้องต่อสู้ มันเหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรีกับความพอเข้าไปในความคิดเราไม่รู้ตัว พอรู้ตัวมันไม่มีความคิด สลับไปสลับมา ทำโดยปกติอย่างนี้ไม่ต้องหวังผล ไม่ต้องคาดการณ์อะไรทั้งนั้น เหมือนขับรถยนต์ เราก็นั่งหลังพวงมาลัยทุกวัน ทำหน้าที่เดิมทุกวันแต่ว่าห้าปีล่วงไปนั้น กลายเป็นนักขับที่ดีได้แล้ว ความก้าวหน้ามันเกิดด้วยกระบวนการธรรมชาติ ไม่ใช่ด้วยน้ำมือมนุษย์ไม่ใช่น้ำมือของเราเพียงใช้จังหวะและการเคลื่อนไหว กระตุ้นธาตุรู้ที่หลับอยู่ในองค์แห่งภพ(ภวังค์) ถ้ารู้สึกตัวได้ดี มันไม่อยากพูดกับคน แล้วมันเฉยๆ อาการเฉยๆนี่เองเป็นรุ่งอรุณของอารมณ์วิปัสสนา เรียกดรุณวิปัสสนาวิปัสสนาอ่อนๆมันเกิดเมื่อจิตเข้าสู่อุเบกขาเฉยๆ ซึ่งเป็นวิถีทางของการตื่นของปัญญา เมื่ออารมณ์เข้ากลางๆนั้นใคร่ ความเกลียด บั่นทอนแรงของปัญญา บั่นทอนแรงของสติ เพียงแต่ตั้งลำเข้าไปรู้การเคลื่อนไหว แต่ถ้าไปจ้องมันนัก มันจะตึงเครียดขึ้นมา จุกๆ หน้าอก มึนหัว เพราะไปเพ่งจ้องเกินไป ทำเล่นๆ เป็นสมาธิที่ว่านี้ เป็นเร็วกว่าจริงมือ หรือเท้าในกิจการงานอาจจะเป็นสิ่งใหม่สำหรับที่ไม่คุ้นเคย ถึงแม้จะอยู่ในห้องน้ำหรือล้างจาน ล้างมือ จับการเคลื่อนไหวนั้นให้ได้ ชื่อว่ากำลังภาวนาอยู่
*อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าตายแล้วสูญ
**สัสสตทิฏฐิ ลัทธิที่ถือว่าโลกและวิญญาณเป็นของเที่ยง ไม่เอมสูญ