อีด ฆอดีรกุม คือ หนึ่งใน อีด หรือการเฉลิมฉลอง อีกวันหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอิสลาม เป็นวันอีดที่เป็น สัญลักษณ์ว่า อิสลามอันบริสุทธิ์ ของท่านศาสดามูฮัมมัด (ศ) จะยังคงดำรงอยู่ต่อไป ตราบชั่วฟ้าดินสลาย
อีดฆอดีรกุม เป็นเสมือนหลักประกันว่า ภายหลังจากนี้ ความรู้แห่งนะบูวัต จะถูก พิทักษ์รักษา ไม่ให้เลือนหายไปตามการเวลา
อีดฆอดีรกุม เป็นหนึ่งข้อพิสูจน์ว่า ศาสนา ไม่เคยและจะไม่มีวันแยกออกจากการเมืองอย่างเด็ดขาด
ในประเด็นเรื่องราวแห่ง ฆอดีรกุม นั้น ในมิติหนึ่ง คือ ขุมคลังที่ มั่งคั่งไปด้วย ความรู้ วิทยปัญญาและ บทเรียนล้ำค่า ไม่ว่าจะกล่าวถึงในเรื่องใดๆ ความยำเกรงตักวา การญิฮาด การสำรวมตนต่อความชั่ว การเสียสละในหนทางของพระเจ้า การกระตือรือร้นในการพัฒนาด้านอีหม่าน หรือ ศรัทธาอิสลาม และการทำให้แนวทางในการบริหารสังคมชัดเจนยิ่งขึ้น เรื่องราวของฆอดีรกุม นับเป็นเรื่องราวที่มีคุณค่าสำหรับ มุสลิมทุกๆคน ไม่ใช่แต่เฉพาะชีอะฮ เท่านั้น
ฆอดีรกุม นับเป็นบทเรียนที่สามารถ ยกสถานะของมนุษย์ ให้ได้รับเกียรติ และความสูงส่ง หากทำการศึกษาในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ฆอดีรกุม จะเป็นตัวช่วยที่เติมเต็มช่องว่าง ในหน้าประวัติศาสตร์อิสลาม และจะทำให้เข้าใจบทบาทของ ชีอะฮ์ มากขึ้น
ความจริงบริบทของ ฆอดีรกุม ไม่ใช่หลักฐานที่พิสูจน์ ถึงการเป็น ตัวแทนของ ท่าน อาลี บิน อบีฎอลิบ (อ) ภายหลังจากศาสดา(ศ)เท่านั้น แต่ ฆอดีรกุม ยังพิสูจน์ความสมบูรณ์ที่แท้จริงของอิสลาม อย่างที่ควรจะศึกษาและทำความเข้าใจอีกด้วย
สภาพการณ์ของสังคม ที่ลืมเลือน หรือการละเลย ถึง ฆอดีรกุม นั้น จะส่งผลทำให้ ไม่อาจ เข้าใจ ศาสนาอิสลาม ได้อย่างสมบูรณ์ คำกล่าวเช่นนี้ ไม่ได้มาจากการคาดเดา หรือ การวิเคราะห์ของผู้เขียนแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นสิ่งที่สามารถ ค้นคว้าหาหลักฐานที่ได้มาจาก อัลกุรอาน ซึ่งได้กล่าวถึงบริบทแห่งเหตุการณ์ ฆอดีรกุม นั่นเป็นการประกาศสาส์นอิสลามที่สำคัญที่สุด เพราะหากสาส์นนี้ ไม่ถูกประกาศ จะส่งผลราวกับว่า ศาสดา(ศ)แห่งอิสลาม ไม่ได้ประกาศสาส์นใดๆเลย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่และหนักอึ้งทีเดียว ในที่นี้ เราจะมาค้นคว้าหาคำตอบบางประเด็นในเรื่องราวเหล่านี้
ฆอดีร กุม บทพิสูจน์ที่บ่งชี้ว่า ศาสนา ไม่อาจแยกออกจากการเมือง
นับตั้งแต่ มหาอำนาจตะวันตกเรืองอำนาจ พวกเขาพยายาม สถาปนาแนวคิดหนึ่ง เป็นแนวคิดที่ สอนให้ ผู้คน รู้จักศาสนาในมุมมอง ที่ ไม่ใช่แก่นแท้ของมัน ตะวันตกได้พยายาม นำเสนอ ว่า ศาสนาจะต้องแยกออกจากการเมือง หรือนัยยะหนึ่ง คือ เรื่องทางโลกไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางธรรม ซึ่งอุดมการณ์เช่นนี้ ถูกออกแบบและเคยถูกนำมาใช้ ในประเทศต่างๆที่ ทางมหาอำนาจตะวันตก ประเมินว่ามีแนวโน้ม ที่จะนำระบบธรรมาธิปไตยมาใช้ หรือ ระบบที่ให้ความสำคัญกับธรรมะ หรือศาสนา เป็นปรัชญาหลักในการปกครอง
ผู้เขียนขอยกตัวอย่าง ประเทศอิหร่าน ในช่วงก่อนการปฏิวัติอิสลาม โดย ท่านอิมามโคมัยนี(รฎ.) ในห้วงการปกครองของ ชาฮฺผู้บิดา ได้เคยวางนโยบายในการ ทำลายเสถียรภาพของศาสนา โดยกำหนดยุทธศาสตร์ในหลายด้าน ซึ่งล้วนได้รับการชี้นำจากตะวันตก เป้าหมายก็เพื่อ สร้างประเทศอิหร่าน ให้กลายเป็นประเทศที่ ตัดขาดศาสนาจากการเมืองอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่าง เช่น
การเปลี่ยนจากการจัดงานศาสนา เป็นงาน เฉลิมฉลองสำหรับกษัตริย์
การถอนภาษาอาหรับออกจากภาษาฟารซี
การเปลี่ยน ชื่อเมือง สถานที่สาธารณะ ให้เป็นชื่ออื่นๆที่ไม่เชื่อมโยงกับศาสนา
การสร้างความเสียหายต่อภาพพจน์ของ ผู้รู้ศาสนา
การออกกฎหมายห้ามและจับกุม ผู้ที่สวมเสื้อผ้า อาภรณ์ของนักการศาสนา
การสร้างข่าวและต่อต้านข่าว ที่เกียวข้องกับผู้รู้ศาสนา แม้กระทั่งการใส่ร้ายบรรดาผู้รู้
การให้เสรีภาพอย่างเกินขอบเขตแก่นักเขียนที่มีอคติต่อศาสนา และในด้านอื่นๆ อีกมากมาย ที่เกิดขึ้น ไม่เฉพาะในอิหร่าน แต่จะเห็นได้ว่า กลยุทธทำลายศาสนาเช่นนี้ เกิดทั่วทุกมุมโลก
นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วน ที่บ่งชี้ว่า มีการสมคบคิดอย่างเป็นระบบที่ไม่ต้องการให้โลกนี้ ถูกปกครองด้วยธรรมะ
สภาพการณ์ ของ ฆอดีรกุม คือ มิติหนึ่งที่สำแดงให้เห็นว่า ศาสนา ไม่อาจแยกออกจากการเมือง เพราะ ฆอดีรกุม คือ บริบทที่ชี้ให้เห็นว่าอิสลาม ไม่ได้สอนให้มนุษย์ นั่งสวดมนต์ ภาวนาอยู่ในมัสยิดแต่เพียงอย่างเดียว
ฆอดีรกุม ได้ดึงมวลมนุษย์ ให้ได้รับรู้ว่า พวกเขาจะต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ในประเด็นการมีส่วนร่วมในกิจการด้านการเมือง โดยเฉพาะ “สถานภาพของผู้ปกครอง” ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักและเป็นตัวแปรสำคัญ ต่อการกำหนดแนวทางการปกครองของมนุษย์ ฉะนั้นมนุษย์จะต้องไม่เพิกเฉยต่อประเด็นนี้ เพราะการไม่ให้ความสำคัญต่อกระบวนการได้มาซึ่งผู้ปกครอง ก็เท่ากับยอมรับการตัดศาสนาออกจากการเมืองนั่นเอง
การทอดทิ้ง ฆอดีรกุม คือ ความพยายามที่จะอธิบายว่า ศาสนา เป็นเพียงเรื่องของ ความเชื่อ ความศรัทธา และพิธีกรรม แต่ไม่ได้มีบทบาทใดๆ ในการชี้นำทางสังคมและการเมืองอย่างแท้จริง ในขณะที่เรามักได้ยิน อิสลาม นิยามตัวเอง ว่า เป็นศาสนาที่ครอบคลุมในทุกๆมิติของชีวิต แต่เมื่อพูดถึงเรื่อง การเมืองการปกครอง แล้วกลับว่างเปล่าในเนื้อหา จะมีก็เพียงรูปแบบที่พูดคุยเสวนากันเป็นนามธรรม แต่ไม่อาจแสดงรูปธรรมที่ชัดเจนได้ หรืออาจจะกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า ไม่มีตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่จะยกตัวอย่างประกอบคำอธิบายเรื่องการเมือง อิสลามได้ นั่นเท่ากับ บอกว่าศาสนาอิสลาม เป็น ศาสนาที่ครอบคลุมทุกเรื่องในชีวิตของมนุษย์ยกเว้นเรื่องการเมือง!
การยอมรับในแนวคิดอันนี้ ปัจจัยหนึ่ง เกิดมาจาก การลืมเรื่องราวของฆอดีร กุม หรือการเปลี่ยนเนื้อหา ของ เหตุการณ์ ไม่ให้เกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง คือการทำให้ แนวคิดเรื่อง การแยก ศาสนาออกจากการเมืองนั้นเข็มแข็งยิ่งขึ้น
การลืมฆอดีรกุม คือ การลืมว่า แท้ที่จริง แล้ว อิสลาม คือ ศาสนา ที่ ไม่แยกออกจากการเมือง
การ ลืมฆอดีรกุม คือ การพิสูจน์ว่าอิสลาม ไม่ได้กังวลในเรื่องของผู้นำ เพราะถ้าหากว่า เรื่องของ ผู้นำ เป็นเรื่องสำคัญ อย่างน้อย ท่านศาสดา(ศ) ก็จะต้อง กล่าว ถึงเรื่องนี้ และ อย่างน้อยท่านศาสดา ก็จะต้องกล่าว ถึงเรื่อง ผู้นำที่จะมาภายหลังจากท่าน เพราะ แม้ขณะท่านศาสดา(ศ)ต้องออกไปทำสงคราม นั้น ท่านได้แต่งตั้ง ผู้นำรักษาการณ์ไว้เสมอในช่วงที่ท่านไม่ได้อยู่ในนครมะดีนะฮ์ หากเราพิจารณาจะเห็นได้ว่า ทุกครั้งเมื่อท่านศาสดา(ศ) จากไปแบบที่ต้องกลับมา ท่านยังแต่งตั้งผู้นำ แล้ว ทำไม เราถึงคิดว่า นบี(ศ)จากไป แบบที่ไม่กลับมา ท่านจะไม่แต่งตั้งใครไว้เลย ให้ดูแล พิทักษ์และสานต่อศาสนาอันนี้
ฆอดีรกุม กับ บทบาทของประชาชน ในเรื่องการเมืองและการปกครอง
ฆอดีรกุม ยังเป็น เสมือนกับสิ่งที่ยืนยันให้เห็นว่า อิสลาม เป็นศาสนาที่ สอนให้ รู้ว่า ประชาชนจะต้อง รับรู้เกี่ยวกับ เรื่อง การเมือง การปกครอง เป็นบทพิสูจน์ที่ให้บทเรียนกับมุสลิมว่า พวกเขา จะต้อง ให้ความสำคัญ และไม่ละเลย ต่อ ภาระหน้าที่ ของพวกเขา ในเรื่องการเมือง ถ้าหากว่า เรื่องการปกครอง ไม่ใช่เรื่องที่ ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วม ไม่ใช่เรื่องที่ประชาชนจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยว อาศัยการตัดสินใจของผู้อาวุโส ไม่กี่คน ก็เพียงพอ ถ้าเช่นนี้ แน่นอนว่า ท่านศาสดา(ศ) จะต้อง ไม่เรียก คนที่อยู่รั้งท้ายและคนที่ล่วงหน้า ให้มารวมตัวกันที่ ฆอดีรกุม อย่างแน่นอน ขณะที่เราต่างรู้ดีว่า อิสลาม ไม่ได้มีบทบาท เพียงแต่เรื่อง ของ วัตถุ เรายังรู้อีกว่า อิสลาม เป็นศาสนา ที่ให้ความสำคัญ และใส่ใจกับ จิตวิญญาณ ของมนุษย์ และยังเป็น ศาสนา ที่ ชี้นำ มนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์ แน่นอนว่า ความสมบูรณ์นี้ ไม่ใช่ ความสมบูรณ์ในเรื่องวัตถุ แต่คือ ความสมบูรณ์ของจิตวิญญาณ หรือ สอนมนุษย์ให้เป็นมนุษย์ สอนมนุษย์ให้สูงส่ง ผู้นำที่จะมา สานต่อ ภารกิจของศาสดา (ศ)ก็จะต้อง มีคุณสมบัติ ที่จะพามนุษย์ขึ้นสวรรค์ และชี้นำพวกเขาไปสู่ความสมบูรณ์ได้ด้วยเช่นเดียวกัน
ดังนั้น ประชาชนจึงจะต้องมีส่วนร่วม และรับรู้ว่า ผู้ที่จะพาพวกเขา ไปสู่บั้นปลายที่สวยงาม ผู้ที่จะส่งพวกเขาไปบ้านหลังสุดท้าย ผู้ที่จะชี้นำพวกเขาไปสู่ความสมบูรณ์คือใคร ความสมบูรณ์ของศาสนา จะเกิดขึ้นได้อย่างไร หาก ผู้หนึ่ง มีศรัทธา รู้จักศาสนบัญญัติ แต่ไม่รู้จักสิทธิของผู้นำที่มีต่อเขา ไม่รู้จักผู้นำของเขา
ท่านอิมาม ซัยยิดอาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุด ได้กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า
” อิมามผู้ล่วงลับ ผู้ยิ่งใหญ่ของเรา มีสิทธิเหนือเกล้าของประชาชาติอิสลาม ทุกๆคน สิทธิ อันนั้น คือ พวกเขาจะต้องมีส่วนร่วมในกิจการด้านการปกครอง จุดนี้เอง ที่ชี้ว่า ในระบบอิสลามนั้น ถ้าใครที่ยอมรับ ในศรัทธา และ บทบัญญัติ ของอิสลาม เขาย่อมที่จะต้องมีภาระหน้าที่ในกิจการด้านการปกครอง ด้วยเช่นกัน ไม่มีใครมีสิทธิที่จะละทิ้งในเรื่องการเมือง การปกครอง ไม่มีใครมีสิทธิที่จะพูดว่า (สิ่งที่ท่านทำอยู่นั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน ) ในเรื่องการเมือง การปกครอง ในเรื่องของสังคม ในระบอบอิสลามนั้น เราไม่มีคำว่า (มันไม่เกี่ยวกับฉัน) และเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ประจักษ์ให้เห็นว่า ประชาชนนั้น มีส่วนร่วมในเรื่อง การเมือง การปกครอง คือ ฆอดีรกุม”
ฆอดีรกุม ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ ที่ผ่านมาและผ่านไป เหมือนกับที่ มีความพยายาม นำเสนอ ภาพของเหตุการณ์ดังกล่าวให้เป็นเช่นนั้น
การลืมฆอดีรกุม จึงเป็นการปัดภารกิจของประชาชาติ ที่มีต่อผู้นำ การลืมเหตุการณ์อันนี้ จึงเป็นการ ปลูกสร้างแนวคิดที่ว่า
“เราจะต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ ผู้นำ ไม่ว่า เขาจะเป็นผู้ทรงธรรม หรือ กดขี่ จะเป็นทุจริตชน หรือ สุจริตชน จะเป็นทรราช หรือ กัลญานชน
ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะการลืม ฆอดีรกุม หรอกหรือ? ที่ทำให้บุคคล อย่างยะซีด ก้าวสู่อำนาจปกครอง การเป็นคอลีฟะฮของอิสลาม อย่างเช่น ยะซีด ผู้อยู่กับการเมามาย ลุ่มหลงในกามารมณ์ และใช้ อัลกุรอ่าน เป็น เป้าสำหรับ ลูกดอก
ไม่ใช่เพราะการลืม ฆอดีรกุม หรอกหรือ ? ที่ทำให้คนที่เลวที่สุดได้รับตำแหน่ง คอลีฟะฮ ตำแหน่งสูงสุดที่จะมาชี้นำมนุษย์ ให้รอดพ้น จากกับดักแห่งความหลงผิด และนรกทั้งหลาย
ไม่ใช่เพราะลืมฆอดีรกุมหรอกหรือ? ที่ทำให้ คนอย่างมุอาวียะฮ สามารถสะสมอำนาจ และทำสงครามกับท่านอิมามอาลี บินอบีฏอลิบ(อ) ได้
ห้วงหนึ่ง ผู้คนรู้จักอาลี(อ) ในนาม ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นอิมามของบรรดาผู้ยำเกรง เป็นประมุขของผู้ศรัทธาในอิสลาม แต่อีกห้วงหนึ่ง ผู้คนต่างพากันตั้งคำถามเมื่อเห็น ท่านอิมามอาลี (อ) เดินไปมัสยิดว่า “อาลี ไปทำอะไรที่มัสยิด ?
ไม่ใช่เพราะการลืม ฆอดีรกุมหรอกหรือ? ที่วันหนึ่ง ผู้คนต่างรู้จัก ฮูเซ็น(อ)หลานรักของท่านศาสดา(ศ)ในฐานะ หัวหน้าชายหนุ่มแห่งสรวงสววรค์ แต่อีกวันหนึ่ง ฮูเซน(อ) กลับกลายเป็น ศัตรูและคนนอกของศาสนา และ ต้อง ถูกตัดศรีษะ เสียบปลายหอก แห่แหนไปทั่วแผ่นดินอาหรับ ด้วยข้อหา กบฎต่อรัฐอิสลามเพราะการ ไม่ยอมรับ ยะซีด เป็นคอลีฟะฮ์
ไม่ใช่เพราะการลืม ฆอดีรกุมหรอกหรือ? ที่เวลาเพียงไม่ถึง 100 ปี ตำแหน่งผู้นำของอิสลาม ถูกผลัดมือ จาก ศาสดา ไปเป็นบุคคลที่เลวทรามที่สุดในแผ่นดินอย่างยะซีด บุตร มุอาวียะฮ ฉะนั้นนี่จึงเป็นบทเรียนที่แสนเจ็บปวดสำหรับประชาชาติอิสลาม นี่คือผล จากการ ลืมเลือนฆอดีรกุม นี่คือ ผลจากการ บิดเบือน ฆอดีร กุม
ฆอดีรกุม กับ บุคลลิคภาพของผู้นำในทัศนะอิสลาม
เหตุผลหนึ่งที่ โลกทุกวันนี้ เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย สงคราม การทุจริต การฉ้อฉล และอื่นๆ ที่ทำให้สังคมของมนุษย์ ดิ่งลงสู่จุดตกต่ำ เป็นเพราะผู้นำ เป็นผู้มีส่วนสำคัญที่สุด ในการจะ พัฒนาสังคมให้เจริญก้าวหน้า หรือ จะนำพาสังคมของตัวเอง ดิ่งลงก้นเหว เราไม่อาจแน่ใจได้เลย ว่า คนที่จะมาบริหารประเทศ คนที่จะมาบริหารโลก คนที่จะมาชี้เป็นชี้ตายให้กับเรา คนที่สามารถสร้างสงคราม หรือ สร้างสันติภาพ จะเป็นคนดี มีคุณธรรม
การที่เราไม่อาจรับรู้ได้ ก็เพราะ ระบบที่นำพาเราอยู่ เป็นระบบที่ไม่สามารถให้หลักประกัน กับเราได้ว่า คนที่จะนำพาเรานั้น จะเป็นคนดีหรือคนชั่ว จะเป็นคนใจบุญ หรือ คนใจบาป จะมีเมตตากรุณาและหลั่งน้ำตา เมื่อได้ยินข่าวว่า มีราษฎร ตกทุกข์ได้ยาก ภายใต้การปกครองของเขา หรือ อาจจะเป็นคนที่ใจหยาบกระด้าง มืดบอดไร้ความรู้สึก และพร้อมจะกระทำทุกอย่าง เพียงเพื่อ รักษาอำนาจตนเองต่อไปเท่านั้น
ฆอดีรกุม จึงเป็นเหตุการณ์สำคัญอีกเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งจะสอนให้ มวลมุสลิม และมนุษย์ ได้เข้าใจว่า ผู้ที่จะมาเป็นผู้นำภายหลังศาสดา(ศ)นั้น ในสายตาของท่านทำไมจึงต้องเป็น อาลี บินอบีฏอลิบ(อ) เราจึงต้องไปทำการศึกษา ว่า ท่านอาลี(อ) มีคุณสมบัติ และภาวะผู้นำเช่นไร ที่ทำให้ ศาสดา มั่นใจได้ว่า หากอำนาจการปกครอง อยู่ในมือของท่านอาลี(อ) สังคมจะเจริญก้าวหน้าและพัฒนาอย่างแท้จริง และจะมีพลังดึงดูดสู่ความดีงามในทุกๆด้าน
หากเมื่อเรา ศึกษา เราจะพบว่า ในระบอบการปกครองของอิสลามนั้น มาตรฐานของผู้นำ ขึ้นอยู่กับ ความละอายแก่บาป และความยำเกรงต่อผู้สร้าง และดำรงอยู่ในความบริสุทธิ์ หลุดพ้นจากมลทินทุกประการ ทั้งภายในและภายนอก มีความรู้มากที่สุดเสมือนหนึ่งเป็นองค์คุณแห่งความรู้ ในบรรดาประชาชาติทั้งหลาย และเป็นผู้ที่ถูกเลือกสรรไว้
ที่สำคัญ เขาคือ ผู้ที่ รักพระเจ้า และพระองค์ก็รักเขาเช่นเดียวกัน เพราะเมื่อมนุษย์ มอบจิตวิญญาณและร่างกาย ให้กับพระเจ้าแล้วไซร้ เขาก็จะไม่ทำสิ่งใด เพียงความพี่งใจของผู้อื่น แต่เขาจะปวารณาเพื่อพระเจ้าเพียงผู้เดียว
แน่นอน ว่า อมีรุล มุอฺมีนีน อาลี บินอบีฏอลิบ (อ) ยังมีคุณลักษณะพิเศษ ที่หลอมรวมอยู่ในจิตใจของท่าน เช่น ความกล้าหาญ ความนอบน้อมถ่อมตน ความมีเมตตากรุณา และความขันติอหิงสา …. และอื่นๆ ซึ่งเราสามารถศึกษา ต่อได้จากประวัติศาสตร์ และอัตชีวประวัติของท่าน
ดังนั้น การลืมฆอดีรกุม คือ การลืมไปว่า ผู้ที่ควรจะมาเป็นผู้นำ ต้องมี คุณธรรม เป็น คุณสมบัติแรก ไม่ใช่ ชื่อเสียงหรืออิทธิพล หรือทรัพย์สิน
การลืมฆอดีรกุม คือ การลืมไปว่า ชีวิตของผู้นำ จะต้องอยู่อย่างสมถะ ดั่งเช่น ท่าน อาลี (อ)
การลืมฆอดีรกุม คือ การลืมว่า ผู้นำ จะต้องเป็นมนุษย์ผู้สมบูรณ์เสียก่อน จึงจะสามารถทำให้ผู้อื่น สมบูรณ์ได้
การลืมฆอดีรกุม คือ การลืม ธรรมาธิปไตย….
ฆอดีรกุม กับ การสานต่อภารกิจของศาสดา(ศ) ในการขัดเกลามนุษย์
เป้าหมายการ เบียะษัต หรือ การแต่งตั้งศาสดา คือ การสอนมนุษย์ และการขัดเกลาพวกเขา ดังที่อัลกุรอ่านได้กล่าวไว้ ศาสดา(ศ)ไม่ได้มีหน้าที่ มาเผยแพร่ เนื้อหาในคัมภีร์แต่เพียงประการเดียว แต่ต้องการขัดเกลามนุษย์ให้บริสุทธิ์ มุ่งหวังที่จะให้ชีวิตของพวกเขาบนโลกนี้ ประสบความสำเร็จ ในห้วงเวลาที่ท่านศาสดา(ศ) ยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ ปฏิบัติภารกิจนี้อย่างจริงจัง ปลดปล่อยผู้คนให้พ้นจากพันธนาการที่มืดมิด ปลดปล่อยพวกเขาให้ รอดพ้นจากทางเดินที่ผิดพลาด
เมื่อกว่าพันปีที่ผ่านมา มนุษย์ยังคงจำเป็นในการขัดเกลาตนเองให้บริสุทธิ์ ให้สูงส่ง แล้วไฉนในวันนี้ ท่านคิดหรือว่า มนุษย์เรา ไม่ปรารถนาการขัดเกลาเช่นนั้นอีก
ท่านคิดหรือว่า การขัดเกลา ตัวเอง ไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับ ผู้คนในยุคสมัยนี้ แม้กาลเวลา จะเปลี่ยนไป แต่มนุษย์ ก็ยังคงต้องการสิ่งเหล่านี้อยู่ การเชื่อว่าภายหลังจากท่านศาสดา(ศ)จากโลกนี้ไปแล้ว ไม่มีผู้ใดมาสานต่อภารกิจ การขัดเกลาจิตวิญญาณมนุษย์ แล้วกระนั้นหรือ ?
ถือเป็นความคิดที่ไร้ชิวิตชีวา เหี่ยวเฉา เพราะเราต้องตอบโจทย์ว่า เมื่อมนุษย์ยังคงจำเป็นในการขัดเกลาตนเอง และ เมื่อมนุษย์ยังคงต้องการ ไปสู่ความสมบูรณ์แห่งชิวิต
ฉะนั้นใครเล่า ? จะพาพวกเขา ไปสู่ความใฝ่ฝันอันนั้นได้ ใครจะเป็นผู้ทำให้ ความปรารถนาอันแรงกล้านี้ เป็นจริง
แน่นอนว่า ผู้ที่จะช่วยเหลือให้กระทำเช่นนี้ได้ ผู้ที่จะสามารถขัดเกลามนุษย์ ได้อย่างถูกต้อง บุคคลผู้นั้น จะต้องผ่านการขัดเกลาตนเองเสียก่อน และเขาผู้นั้น จะต้องได้รับ การรับรองว่า สามารถขัดเกลามนุษย์ได้จริง สามารถนำมนุษย์ไปสู่ความสมบูรณ์ได้จริง
สติปัญญาและสามัญสำนึกของเรา บอกกับเราว่า ภารกิจทุกอย่างทุกด้านของท่านศาสดา(ศ) ยังคงต้องดำเนินต่อไปอย่างครบถ้วนกระบวนความอย่างแน่นอน กระทั่งถึงทุกวันนี้และอนาคตข้างหน้า และใครเล่าที่จะเป็นผู้ที่มี พลังความสามารถในระดับนี้ ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นอีกนอกจาก อาลี บิน อบีฏอลิบ (อ) ที่ถูกนำเสนอโดยท่านศาสดา(ศ)เองตลอดมา
ท่านอิมาม ซัยยิดอาลี คาเมเนอี กล่าวว่า
” ศาสดา(ศ) ถูกแต่งตั้งมาเพื่อ มอบความรู้ และขัดเกลา มวลมนุษย์ พวกท่าน จะทำการสอนแกมนุษย์ และขัดเกลาพวกเขา เพื่อให้ สังคมใหญ่ของมนุษย์ สามารถ เปลี่ยนเป็น ครอบครัวที่เปี่ยมด้วยความผาสุข ภารกิจการแต่งตั้งทุกๆศาสดา คือ สิ่งนี้ ถึงกระนั้น ศาสดา(ศ)แต่ละท่านที่ถูกแต่งตั้งส่งลงมา ก็สามารถปฏิบัติพันธกิจแห่งการอบรม บ่มสอน อันนี้ ได้เท่าที่เวลาเอื้ออำนวยให้เท่านั้น
ดังนั้น หาก ศาสนาอิสลามคือ ศาสนาสุดท้าย และศาสดา(ศ)นี้ ก็คือ ศาสดาองค์สุดท้าย แต่การปฏิวัติมนุษย์ของพระเจ้า ยังคงต้องมีอยู่ต่อไป แต่ในเมื่อไม่มีศาสดาอื่นแล้วหลังจากนี้ที่จะผลักดันมนุษย์ ไปสู่บ้านหลังสุดท้าย ขณะที่มนุษย์จะต้องใช้ชีวิตบนแผ่นดินนี้ ในครอบครัวใหญ่นี้ พร้อมกับการประนีประนอม การดำรงความยุติธรรม และใช้ชีวิตอย่างมีประโยชน์ จากการเก็บเกี่ยวความดีทั้งหลายในโลกนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่มนุษยชาติ จะเข้าใกล้บ้านหลังสุดท้าย ในเมื่อการอบรบของศาสดา(ศ) ต้องเป็นไปอย่างต่อเนื่อง การอบรม บ่มสอน ในเรื่อง การเมือง และการปกครอง ก็จะต้องต่อเนื่อง เช่นเดียวกัน และบุคคลที่จะมาถืออำนาจทางการเมือง ก็จะต้องเป็นบุคคล เสมือนท่าน ศาสดา(ศ) ซึ่งหมายถึง ความบริสุทธิ์ไร้มลทิน บุคคลที่จะค่อยๆนำพาสังคมมนุษย์ก้าวไปข้างหน้า บุคคลซึ่งจะอบรมพวกเขา บุคคลผู้ซึ่ง คอยยุติ วิกฤตต่างๆในหมู่พวกเขา จนกระทั่ง มนุษย์สามารถเริ่มต้นชีวิตของเขา อย่าง ผู้สำเร็จ ได้อย่างแท้จริง”
แน่นอน เมื่อ การขัดเกลามนุษย์ ไปสู่เป้าหมาย สุดท้ายยังคงมีอยู่ต่อไป ผู้ที่จะมาขัดเกลา ผู้ที่จะมาชี้ทางให้มนุษย์ก็จะต้อง ถูกประกาศ จะต้องมีการแจ้งให้ทุกๆคนได้รับรู้ และ ฆอดีรกุม คือ สถานที่ คือ เหตุการณ์ที่ เป็นการประกาศว่า ภารกิจอันนี้ ของศาสดา จะยังคงดำเนินอยู่ต่อไป
เมื่อลืมฆอดีรกุม จึงเท่ากับ ลืม สาส์นของศาสดา(ศ) เมื่อลืมฆอดีรกุม จึงเท่ากับ ลืม ภารกิจการถูกแต่งตั้งของศาสดา
อัลกุรอ่าน ได้กล่าวว่า
يَا أَيُّهَا الرَّسُولُ بَلِّغْ مَا أُنزِلَ إِلَيْكَ مِن رَّبِّكَ وَإِن لَّمْ تَفْعَلْ فَمَا بَلَّغْتَ رِسَالَتَهُ وَاللّهُ يَعْصِمُكَ مِنَ النَّاسِ إِنَّ اللّهَ لاَ يَهْدِي الْقَوْمَ الْكَافِرِينَ
โอ้ศาสนฑูต ! จงประกาศสิ่งที่ถูกประทานลงมายังเจ้า จากองค์อภิบาลของเจ้า และหากเจ้าไม่ประกาศ เช่นนั้นเท่ากับเจ้าไม่ได้ประกาศสาส์นใดๆของพระองค์เลย และอัลลอฮ จะทรง พิทักษ์เจ้าจากมนุษย์ แท้จริงอัลลอฮ ไม่ทรงชี้นำกลุ่มชนที่เนรคุณ
อัลมาอีดะฮ 67
น่าเศร้าใจนัก ที่เราลืม ผู้ที่จะดึงมือเราขึ้นจากหลุม น่าเศร้าใจนักที่เราลืมไปว่า เราต้องขัดเกลาจิตใจ
ชีวิตจะเป็นอย่างไร ? ถ้าหากไม่รู้จัก ผู้ที่จะนำพาเราไปสู่เป้าหมายสุดท้าย
ชีวิตจะเป็นอย่างไร ? ถ้าหากไม่รู้จัก ผู้ที่จะมอบความรู้อันทรงค่าให้กับเรา
ชีวิตจะเป็นอย่างไร ? ถ้าหาก ไม่รู้จัก ผู้ที่จะมาขัดเกลาเรา
ชีวิตจะเป็นอย่างไร ? ถ้าหากไม่รู้จัก อิมาม ผู้นำพา ในยุคสมัยของตนเอง …….
สุดท้าย ขอจบด้วยคำกล่าว ของ อิมาม ซัยยิดอาลี คาเมเนอี ความว่า
“ความหมายหลักของ ของ ฮะดิษฆอดีรกุม และเหตุการณ์ฆอดีรกุม จะต้องไม่เป็นที่ถูกลืมเลือน เราขอสั่งเสีย ต่อทุกๆ นิกาย ในอิสลาม ไม่ใช่แต่เฉพาะกับชีอะฮ์ ว่า ท่านจะต้องไม่ลืมเหตุการณ์ฆอดีรกุม เราขอกล่าวแก่ทุกๆมัซฮับว่า จะต้องไม่ลืม รากฐานของพวกท่าน และจะขอเน้นย้ำ กับ ชีอะฮ์ ว่า พวกท่านจงอาศัย การคิด และ การไตร่ตรอง บนพื้นฐานของ ฆอดีรกุม เพราะนี้ คือ หนึ่งในแนวคิดที่นำสู่การพัฒนา”