5 เรื่องเด่นชวนสงสัย ชี้สหรัฐฯตลบตะแลง กรณีซีเรีย!

761

แม้ท่านอาจไม่ฝักฝ่ายคณะบริหารของ นาย โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐฯ หรืออาจเป็นหนึ่งในผู้ให้การสนับสนุนการเดินประท้วงต่อต้านรัฐบาลชุดนี้ อันเนื่องมาจากอุปนิสัยส่วนตัว ที่ออกจะค่อนไปในทางดูถูก เหยียดหยามเพศ แบ่งแยกเผ่าพันธุ์ และศาสนา ของตัวประธานาธิบดีเอง ซึ่งมีปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยครั้งในการปราศรัย ณ ที่สาธารณะ ทว่าท่ามกลางข้อความ และโฆษณาชวนเชื่อจากสื่อกระแสหลัก เครื่องมืออันเป็นดั่งกระบอกเสียงที่คอยสนับสนุนบรรดานักการเมือง ยังคงมีอีกหลายๆประเด็นที่ท่านยังไม่ได้ตระหนักรู้อย่างแจ่มแจ้ง ถึงเบื้องหลังการบริหารของรัฐบาลชุดนี้ และชุดก่อนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง และทางทหาร ในภูมิภาคตะวันออกกลาง และซีเรีย

ประชาคมโลกและพลเมืองชาวอเมริกัน ยังคงล้มเหลวที่จะเข้าถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ แหล่งที่ผลิต และเกื้อหนุนผู้ก่อการร้าย จากลัทธินิยมอิสลามสุดโต่ง หรือมองทะลุผ่านความจริงแบบครึ่งๆกลางๆ จนสามารถชี้ชัดถึงต้นตอของความขัดแย้งที่วนเวียนอยู่โดยรอบประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯในความสัมพันธ์กับซีเรีย หากทว่าเป็นความโชคดี เพราะความจริงที่ว่า รัฐบาลอเมริกันไม่เคยพูดความจริงกับประชาชนตนเอง และประชาคมโลก ยังคงดำรงอยู่…. ดังต่อไปนี้ คือ 5 ประเด็นสำคัญ ที่จะทำให้ผู้อ่านจำเป็นต้องตั้งคำถามกับทุกอย่าง ที่สื่อสหรัฐฯโพนทะนาเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นซีเรีย

 1) Politifact เว็ปจับเท็จ ถอนบทความ ชี้ขาดความจริง กรณีอาวุธเคมีในซีเรีย

ก่อนจะมีการโต้แย้ง ในเรื่องการใช้อาวุธเคมีในซีเรีย ช่วงเดือนเมษายน 2017 ที่ผ่านมา Politifact เว็บไซต์อิสระ ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อ “จับผิด” และค้นหาความจริงระหว่างคำพูดของประธานาธิบดีและนักการเมืองที่สำคัญ ได้เพิกถอนบทความที่เคยอยู่ในฐานะ ความจริงที่สุด” ออกจากเว็ปไซต์ อันเป็นประเด็นชี้ขาดในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาวุธเคมีในซีเรีย

ก่อนที่ทรัมป์จะส่งขีปนาวุธ Tomahawk จำนวน 59 ลูกเข้าสู่ฐานทัพอากาศซีเรีย เมื่อเดือนเมษายน Politifact ได้รวบรวมบทความ ซึ่งถูกเผยแพร่ไปในปี 2014 ภายใต้ชื่อ เคอร์รี่: เราได้นำ ‘อาวุธเคมีออกจากซีเรียแล้ว 100%” อันเกี่ยวข้องกับกรณีที่รัฐบาลได้อ้างว่า ทำการตรวจสอบและจัดการกับอาวุธเคมีในซีเรียจนสิ้นซากแล้ว โดยจอห์น เคอร์รี เลขาธิการรัฐ บอกกับ NBC  ในการพบปะกับสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2014 ว่า “เราได้ทำข้อตกลง ที่ซึ่งเราได้นำออกอาวุธเคมี (จากซีเรีย) แล้ว 100 เปอร์เซ็นต์”

เมื่อทำการพิจารณาข้อกล่าวอ้างของเคอร์รี่ ทางเว็ป Politifact ก็ได้ดำเนินการตรวจสอบ แถมยังขอข้อมูลเพิ่มเติมจากกระทรวงการต่างประเทศอีก ทั้งนี้กระทรวงที่เกี่ยวข้อง ก็ได้ชี้แนะให้ Politifact ไปสอบถามจาก Ahmet Üzümcü อธิบดีองค์การห้ามอาวุธเคมี ผู้ที่ครั้งหนึ่ง เคยกล่าวในแถลงการณ์ความว่า ส่วนสุดท้ายของสารเคมีหลงเหลือ ที่ถูกสั่งให้นำออกจากซีเรีย ถูกบรรจุลงเรือ Futura ของเดนมาร์ก เป็นที่เรียบร้อยแล้วในบ่ายนี้”

ประเด็นดังกล่าวยังได้รับการสนับสนุนจากองค์การสหประชาชาติอีกด้วย โดยหน่วยงาน UN ที่เกี่ยวข้อง เผยในทำนองที่คล้ายคลึงกันว่า ส่วนสุดท้าย จากอาวุธเคมีที่ถูกสำแดง ได้ถูกนำออกจากซีเรียแล้วในช่วงปลายเดือนมิถุนายน (2014) ด้วยเหตุนี้เองเรื่องที่ว่า จึงถูกโหวตให้อยู่ในลำดับ “ความจริงที่สุด” ในหน้าเว็ปไซต์ Politifact

อย่างไรก็ดี เมื่อตัดฉากข้าม 3 ปี ต่อมา ณ ตอนนี้เราต่างรู้แล้วว่า คำพูดดังกล่าวจากคณะบริหารของทรัมป์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ไม่อาจเป็นความจริงได้อีกต่อไป ทั้งยังไม่สนับสนุนเรื่องจริงอย่างเป็นทางการที่เกิดขึ้นเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่รัฐบาลทรัมป์ ได้กล่าวหาและกระทำการโจมตีฐานทัพของรัฐบาลซีเรีย ในข้อหาใช้อาวุธเคมีกับผู้บริสุทธิ์ ซึ่งยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน เพราะบาซัร อัลอัสซาด ประธานาธิบดีซีเรีย ยืนยันหัวชนฝาว่า ตนไม่มีวันใช้อาวุธเคมีกับพลเมืองซีเรีย นอกจากนี้ผู้สนับสนุนและพันธมิตรยังกล่าวอีกด้วยว่า สหรัฐฯเพียงต้องการสร้างความชอบธรรมให้แก่ตนในการโจมตีรัฐบาลซีเรียเท่านั้น จึงยกเรื่องดังกล่าวมาอ้าง โดยบาซัร กล่าวว่า การรุกรานครั้งนี้ จะส่งสาส์นที่ผิดพลาดไปยังกลุ่มผู้ก่อการร้าย และส่งเสริมให้พวกเขาใช้อาวุธเคมีมากขึ้นในอนาคต” เขายังได้แสดงความเสียใจ ที่ในวันนี้ ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง เกมส์การเมืองได้โคจรเข้าสู่รูปแบบ และกลยุทธ์เดิมๆ คือ สหรัฐฯได้ใช้หลักฐานที่ประดิษฐ์ขึ้นอีกครั้ง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้การกระทำของตน และเพื่อแผ่ขยายความเป็นมหาอำนาจครองโลก”

ประการฉะนี้เอง Politifact จึงเพิกถอนบทความดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ เพราะมันได้พิสูจน์แล้วว่า รัฐบาลสหรัฐฯไม่ได้จัดการกับ อาวุธเคมีในซีเรียตามที่เคยกล่าวอ้างมาก่อนหน้านี้แต่อย่างใด

2) นักข่าวชื่อก้องโลก เผย ฮิลลารี คลินตัน อนุมัติส่งแก๊สซารีน ให้กลุ่มกบฏ ป้ายสีอัสซาด และเริ่มสงครามในซีเรีย

นักข่าวชื่อก้องโลก Seymour Hersh เปิดเผยในซีรี่ย์บทสัมภาษณ์ และชุดหนังสือ ถึงกรณีที่คณะบริหารของโอบาม่า กล่าวหารัฐบาลซีเรียของบาซัร อัลอัสซาด อย่างไม่เป็นธรรม ในข้อหาโจมตีพลเรือนด้วยแก๊สซารีน ที่ซึ่งโอบาม่ากำลังพยายามใช้เป็นข้ออ้างในการรุกรานซีเรีย

ตามที่ Eric Zuesse นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกัน ได้อธิบายไว้ในเว็ป Strategic Culture ซึ่งเขาอ้างว่า Hersh ได้ให้ข้อมูลจากรายงานของหน่วยข่าวกรองอังกฤษว่า แก๊สซารีนที่ถูกนำไปใช้ในซีเรีย ไม่ได้มาจากคลังของอัสซาด ทว่ามาจากสหรัฐฯและพันธมิตร โดย Hersh ยังกล่าวอีกว่า มันมีข้อตกลงลับ ระหว่างคณะบริหารของโอบามา กับผู้นำของตุรกี ซาอุดิอาระเบียและกาตาร์ เกิดขึ้นในปี 2012  และข้อตกลงดังกล่าวเป็นไปเพื่อติดตั้งการโจมตีด้วยแก็สซารีนในซีเรีย และทำการใส่ความไปยังรัฐบาลอัสซาด ในความต้องการสร้างความชอบธรรมให้แก่สหรัฐฯ เพื่อเข้าบุกโจมตีและโค่นล้มรัฐบาลซีเรียให้สำเร็จ

ตามเงื่อนไขของข้อตกลงดังกล่าว งบประมาณ จะได้มาจากตุรกี บวกกับซาอุดิอาระเบียและกาตาร์ ส่วนซีไอเอให้การสนับสนุนด้วย MI6 และเป็นฝ่ายที่รับผิดชอบ การรับอาวุธจากคลังแสงของ Gaddafi ไปยังซีเรีย “

ทั้งนี้ Zuesse อธิบายในรายงานของเขาว่า Hersh ไม่ได้ระบุว่า “อาวุธ” ดังกล่าวนี้ เหมารวมไปถึง สารเคมีที่เป็นสารตั้งต้น สำหรับการทำแก๊สซารีน ซึ่งถูกเก็บกักไว้ในลิเบียหรือไม่ แต่มีรายงานอิสระหลายฉบับ เผยว่ากลุ่ม Gaddafi ของ Libya ครอบครองคลังเก็บกัก “อาวุธ” ดังกล่าวไว้ และยังบอกอีกด้วยว่า สถานกงสุลสหรัฐฯในเบงกาซี ลิเบีย กำลังดำเนินการ “Rat Line” และจัดการเส้นทาง สำหรับใช้ลำเลียงอาวุธที่ Gaddafi ครอบครองเอาไว้ เข้าไปยังซีเรียผ่านตุรกี

*Rat Line: ความพยายามในเคลื่อนย้ายบุคคล และ / หรือ ลำเลียงวัตถุ (ณ ที่นี่คือ อาวุธ) อย่างไม่เปิดเผย ไปยังพื้นที่หรือชายแดนที่ไม่อนุญาตให้กระทำได้

แม้ Hersh  อาจจะไม่ได้กล่าวโดยเฉพาะเจาะจงว่า “คลินตันขนส่งแก๊สเข้าไปยังซีเรีย” แต่เขาก็โยงเธอเข้ากับ  Rat Line ที่ใช้ในการลำเลียงอาวุธ ที่ซึ่งแก๊สซารีน เป็นส่วนหนึ่งจากอาวุธเหล่านั้น โดย Hersh บอกกับเว็ปไซต์ AlterNet ถึงความเกี่ยวพันของฮิลลารี กับกรณีของ เอกอัครราชทูต คริสโตเฟอร์ สตีเฟวนส์ ผู้ซึ่งเสียชีวิตจากการโจมตีของพวกกลุ่มหัวรุนแรง ณ สถานกงสุลอเมริกันในเมืองเบงกาซี

สิ่งเดียวที่เรารู้ คือ เธอสนิทกับ Petraeus ผู้อำนวยการซีไอเอในเวลานั้น … เธอไม่ได้หลุดออกไปจากวง เธอรู้ว่า เมื่อใดที่มีคนแอบแฝงอยู่ ทูตคนนั้น ที่ถูกฆ่าตาย เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง จากสิ่งที่ผมเข้าใจ เขาคือใครสักคน ที่จะไม่ขัดขวางกิจการของซีไอเอ ตามที่ผมเขียน ในวันที่ปฏิบัติภารกิจ เขากำลังเข้าพบกับหัวหน้าฐานซีไอเอและ บริษัท ขนส่งทางเรือ เขามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน และตระหนักและรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้น และไม่มีทาง ที่ใครบางคนในตำแหน่งที่อ่อนไหวนั้น จะไม่ได้คุยกับเจ้านายของตน ผ่านช่องทางบางอย่าง”

3) ปูตินแฉ 40 ประเทศ หนุนเงินทุนไอซิส รวมชาติสมาชิก G20

ปูติน เผยที่มา และรายนามประเทศที่ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ไอซิส จนสามารถระดมทุนได้มากกว่า 50,000,000 เหรียญดอลลาห์ต่อเดือน

ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย เผยเมื่อปลายปี 2015 ว่า การแบ่งปันรายงานข่าวกรองระหว่างประเทศสมาชิก G20 ทำให้เขาทราบถึงรายละเอียดที่ว่า กลุ่มก่อการร้าย ISIS ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากกว่า 40 ประเทศ เพื่อใช้ในการก่อเหตุความไม่สงบต่างๆ ในรายชื่อประเทศดังกล่าว ยังปรากฏกลุ่มประเทศสมาชิก G20 บางประเทศอีกด้วย

ผมยกตัวอย่าง ตามที่ได้จากข้อมูล bxxhszhour เกี่ยวกับการจัดหาเงินทุนของกองกำลังรัฐอิสลาม (IS, ISIS / ISIL) จากฝ่ายเอกชน เงินจำนวนนี้ มีที่มา จากกว่า 40 ประเทศ และยังมีสมาชิกกลุ่ม G20 จำนวนหนึ่งรวมอยู่ด้วย” ปูตินกกล่าวกับผู้สื่อข่าว

โดยนอกเหนือจากการหารือเกี่ยวกับความจำเป็นในการยับยั้งเงินบริจาคให้กับ ISIS แล้ว ปูตินยังกล่าวย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องหยุดการค้าน้ำมันอย่างผิดกฎหมายของ ISIS อีกด้วย

จากข้อมูลของหน่วยสืบราชการลับของอิรักและเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายงานว่า ISIS มีรายได้ประมาณ 50 ล้านเหรียญต่อเดือน จากการขายน้ำมันดิบ ซึ่งได้มาจากแหล่งน้ำมันในอิรักและซีเรีย

นอกจากนี้ยังมีรายงานจาก Business Insider เกี่ยวกับการค้าน้ำมันดังกล่าวอีกด้วย โดยรายงานกล่าวว่า:

การค้าน้ำมันคือ แหล่งรายได้ต่อเนื่องหลัก ที่ใหญ่ที่สุดของขบวนการสุดโต่ง ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้พวก ISIS เหล่านี้ สามารถรักษา และขยายอำนาจในการสถาปนาตั้งตนเองเป็น “คาลิฟะฮ์” แห่งรัฐอิสลามที่มีอิทธิพลต่อประชาชนต่อไปได้ ในหลาย ๆ ภาคส่วนใหญ่ๆของประเทศซีเรียและอิรัก และด้วยกับงบประมาณในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure)ใหม่ และจำนวนเงินบริจาคสำหรับหล่อเลี้ยงเหล่านักสู้ให้คงความจงรักภักดี พวกเขาสามารถต่อกรกับฝ่ายตรงข้าม และทำการสู้รบทางอากาศกับสหรัฐฯ ได้นานนับปี

ไม่มีประโยชน์อันใดเลย ที่ภายใน 24 ชั่วโมง (ณ ตอนนั้น) สหรัฐฯจะระดมพลโจมตีขบวนขนส่งน้ำมันของ ISIS เป็นครั้งแรก ขณะที่ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯได้ปฏิเสธที่จะโจมตีรถบรรทุกน้ำมันของ ISIS กว่า 1,000 คัน เพราะเกรงว่าการโจมตีรถบรรทุกที่ลำเลียงน้ำมันออกจากซีเรียดังกล่าว จะทำอันตรายต่อพลเมืองให้ได้รับบาดเจ็บ หรือถึงแก่ชีวิต ซึ่งเป็นข้ออ้างที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง

จากกรณีดังกล่าว The NY Times ได้รายงานว่า:

สหรัฐฯได้ตัดสินใจใช้เครื่องบินรบ โจมตีรถบรรทุกหลายร้อยคัน เมื่อวันจันทร์ เพื่อเป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อรัฐอิสลาม (ไอซิส) ซึ่งกลุ่มหัวรุนแรงได้ใช้รถบรรทุกดังกล่าวลักลอบขนน้ำมันดิบ ที่ผลิตในประเทศซีเรีย ออกนอกประเทศ – เจ้าหน้าที่สหรัฐฯกล่าว

จากการประเมินเบื้องต้น คาดว่า  รถบรรทุกจำนวนกว่า 116 คันถูกทำลายในการโจมตีซึ่งเกิดขึ้น ใกล้กับ Deir al-Zour พื้นที่ทางตะวันออกของซีเรียที่ถูกควบคุมอยู่ภายใต้กลุ่มไอซิส โดยการโจมตีดังกล่าว เป็นผลงานของเครื่องบินโจมตี A-10 จำนวน 4 ลำและเรือรบ AC-130 สองลำ ที่ตั้งอยู่ในประเทศตุรกี ขณะที่สหรัฐฯอ้างว่า การปฏิบัติการใหม่นี้มีการวางแผนล่วงหน้าก่อนการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในกรุงปารีส ทว่าปฏิเสธไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัย เกี่ยวกับการที่สหรัฐฯเลือกช่วงเวลานี้ในการเปลี่ยนแปลงยุทธวิธี ดูเหมือนว่าสหรัฐฯกำลังถูกบีบให้ปฏิบัติการเหมือนรัสเซียมากขึ้นหลังเหตุการณ์โจมตีในฝรั่งเศส

นอกจากนี้ ในระหว่างการแถลงข่าว ปูตินยังเน้นย้ำว่าจำเป็นต้องมีการรวมกลุ่มระหว่างประเทศเพื่อต่อต้านกลุ่มผู้ก่อการร้ายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยระบุถึงความพร้อมของรัสเซีย ในการสนับสนุนการต่อกร กับ ISIS

“กลุ่มต่อต้านฝ่ายค้านบางกลุ่มพิจารณาว่า เป็นไปได้ที่จะเริ่มปฏิบัติการต่อต้าน IS ด้วยการสนับสนุนของรัสเซีย และเราพร้อมที่จะให้การสนับสนุนทางอากาศในกรณีดังกล่าว ถ้ามันเกิดขึ้นจริง มันอาจจะเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการทำงานที่จะดำเนินตามมา อันเกี่ยวข้องกับการตั้งถิ่นฐานทางการเมือง” ปูตินกล่าว

โดยเขายังได้เสริมอีกว่า “เราต้องการการสนับสนุนจากสหรัฐฯ, ยุโรป, ซาอุดีอาระเบีย, ตุรกี, อิหร่าน”

หลังจากการโจมตีตามการกล่าวอ้างของ ISIS ในปารีส เป็นไปได้ที่กองกำลัง NATO ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับซีเรีย ณ ตอนนี้ น่าจะตระหนักได้แล้วว่า การถอนราก ถอนโคนประธานาธิบดีอัสซาด ออกไป ไม่ใช่เป้าหมายหลัก และการต่อสู้กับ ISIS ต่างหากที่เป็นภารกิจจริง สมควรทำให้มันสำเร็จลุล่วง

4) 3 ปีหลังนักข่าวชาวอเมริกันถูกสังหาร ทฤษฎีสมรู้ร่วมคิด “โยงสัมพันธ์ ISIS – สหรัฐฯ” ของเธอ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง

Serena Shim เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายเลบานอนที่เกิดใกล้กับ Detroit  โดย Shim ทำงานให้ Press  TV ของอิหร่าน ในฐานะนักข่าวต่างประเทศ ทำการรายงานสถานการณ์สงคราม การประท้วงที่ถูกต้องตามกฎหมาย และการลุกฮือจอมปลอมในหลายๆประเทศ

เธอรายงานสถานการณ์สด จาก ซีเรีย อิรัก ตุรกี และเลบานอน ในช่วงที่มีความขัดแย้ง ตั้งแต่ปี 2011 ในกรณีนี้ยังรวมถึงเขตที่เผชิญกับวิกฤตการณ์ อย่าง Daraa ในช่วงเริ่มต้นของการประท้วง ซึ่งข้อมูลส่วนมากมักจะถูกบิดเบือนโดยสื่อกระแสหลักสัญชาติอเมริกัน เพื่อโหมกระพือไฟแห่งความเท็จจากสงครามที่เกิดขึ้น

Serena Shim ถูกสังหารเมื่อสามปีที่แล้ว ในวันที่ 19 ตุลาคม 2014 ณ ประเทศตุรกี ขณะกำลังทำรายงาน เกี่ยวกับการสู้รบที่รุนแรง เพื่อแย่งชิง Kobani ชายแดนของประเทศซีเรีย ซึ่งเป็นจุดสนใจของสื่อต่างประเทศ เธอเสียชีวิตเมื่อมีอายุได้ 29 ปี

รายงานกล่าวว่า เธอถูกทำให้ถึงแก่กรรม จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยรถบรรทุกปูนซีเมนต์ อย่างไรก็ตาม รายละเอียดทางกายภาพเกี่ยวกับคดีนี้ ก่อให้เกิดความสงสัย ไปยังคำอธิบายอย่างเป็นทางการของเจ้าหน้าที่จากตุรกี นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวที่ขัดแย้งกัน เกี่ยวกับเส้นเวลาหลังจากที่เธอเสียชีวิต และก่อนที่ครอบครัวจะได้รับร่างของเธอ ด้วยท่าทีที่ผิดปกติของรัฐบาลตุรกีและอาจจะรวมไปถึงสหรัฐอเมริกา บางส่วนจึงตั้งข้อสังเกตว่า เธอถูกสั่งเก็บ จากความพยายามเปิดโปงข้อเท็จจริงที่ว่า สหรัฐฯ เป็นผู้สร้างและคอยให้การสนับสนุนไอซิส  เพราะรัฐบาลอเมริกัน ไม่เห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานจากผู้คนบางกลุ่มที่ว่า เธอถูกฆ่าตาย ทั้งยังให้การปฏิเสธที่จะทำการตรวจสอบวิธีการตายของเธอ และไม่ให้ความสนใจไปยังครอบครัวของเธอ ในควาพยายามเรียกร้องความยุติธรรมให้กับการตายของเธอ นอกจากนี้ ยังมีจุดที่น่าสงสัยอีก อาทิเช่น ท่าทีที่เงียบสงัดจนผิดสังเกตขององค์กรต่างๆที่ควรจะปกป้องและสนับสนุนผู้สื่อข่าวเช่นเธอ และจากสื่อกระแสหลักต่างๆของสหรัฐฯ อีกด้วย

5) เอกสาร CIA เปิดเผย แผนการทำลายซีเรีย เพื่อท่อส่งน้ำมัน บ่งชี้วิกฤติที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน

สุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด คือ ข้อเท็จจริง ที่ได้จาก เอกสารของซีไอเอเอง ซึ่งเพิ่งจะได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณชนเมื่อไม่นานมานี้ แสดงให้เห็นถึง เจตนาของสหรัฐฯ ในความต้องการทำลายซีเรียเพื่อผลประโยชน์ด้านน้ำมัน อย่างน้อยที่สุดมาตั้งแต่ปี1983

“Bringing Real Muscle to Bear Against Syria,” เป็นชื่อรายงานการประเมินจากอดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอ Graham Fuller ที่ได้อภิปรายสถานการณ์ในซีเรีย ภายใต้การปกครองของบิดาของประธานาธิบดี บาซัร อัล อัสซาด คือ Hafez al-Assad — และลงวันที่ 14 กันยายน 1983 ช่วงท่ามกลางสงครามอิรัก-อิหร่าน

ในงานวิเคราะห์ของ Fuller  เขาชี้ว่า Brandon Turbeville ของ Activist Post ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าอัสซาดเป็นอุปสรรค ที่ขัดขวางความปรารถนาของจักรวรรดิอเมริกัน ในการควบคุมคลังเชื้อเพลิง และในความต้องการปกป้องพันธมิตร อิสราเอล จากภัยคุกคามต่างๆในตะวันออกกลาง การทำลายล้างอิรักและอิหร่านยังมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อแผนการที่ซับซ้อนของสหรัฐฯในการจัดการกับตัวป่วน อย่างอัสซาดผู้พ่อ ซึ่งบังเอิญมองเห็นถึง ความต้องการ เหตุจูงใจ และธาตุแท้ของอำนาจตะวันตก

ดังนี้ จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เราเห็นถึงเกมการเมือง ที่สหรัฐอเมริกากำลังเล่น และเคลื่อนไหวอยู่ในตะวันออกกลาง เกมที่อันตรายและร้ายแรงต่อความสงบสุขของประชาคมโลกเป็นอย่างมาก และสมควรแก่เวลาแล้ว ที่เราจะรณรงค์ให้สหรัฐฯยุติสงครามต่อต้านการก่อการร้ายจอมปลอม ในความต้องการแทรกแซงทางอำนาจและครอบครองทรัพยากรของประเทศชาติอื่น เราจำเป็นต้องช่วยกันป่าวประกาศสิ่งนี้ พร้อมกับติดแฮชแท็ก #HandsOffSyria (อย่ายุ่งกับซีเรีย) – ก่อนที่สถานการณ์ต่างๆจะสายเกินแก้

__________

ผู้เขียน:
Matt Agorist ทหารผ่านศึกที่ได้รับการปลดประจำการจากหน่วย USMC และอดีตผู้ดำเนินการข่าวกรองที่ได้รับมอบหมายจาก NSA โดยตรง ประสบการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้เขามีมุมมองที่ไม่เหมือนใครในโลกของการทุจริตของรัฐบาลและรัฐตำรวจอเมริกัน Agorist เป็นนักข่าวอิสระมานานกว่าทศวรรษและเคยร่วมงานกับเครือข่ายสื่อกระแสหลักทั่วโลก Agorist ยังเป็นผู้เขียนและส่งบทวิเคราะห์ให้กับ the Free Thought อีกด้วย

เรียบเรียงจาก:

5 Major Stories That Blow the ‘Official’ Narrative on Syria Out of the Water

อ้างอิง:

https://www.strategic-culture.org/news/2016/04/28/seymour-hersh-hillary-approved-sending-libya-sarin-syrian-rebels.html

https://www.rt.com/news/326497-gaddafi-cousin-isis-sarin/

http://www.alternet.org/world/exclusive-interview-seymour-hersh-dishes-saudi-oil-money-bribes-and-killing-osama-bin-laden

http://wtfrly.com/2015/10/20/white-house-serena-shim-murder-us-reporter-isis/#.WTCBz-vyjIU

http://nationalinterest.org/feature/the-long-shadow-the-iran-iraq-war-11535

https://www.rt.com/news/326497-gaddafi-cousin-isis-sarin/

https://english.aawsat.com/abdul-sattar-hatita/news-middle-east/libya-militias-capture-chemical-weapons-army-official

https://www.strategic-culture.org/news/2016/04/28/seymour-hersh-hillary-approved-sending-libya-sarin-syrian-rebels.html