การเปลี่ยนถ่ายอำนาจรัฐ “วะฮาบี” จากตระกูล อับดุลอาซิส สู่ ตระกูลซัลมาน

1006

หลังจากที่เจ้าชาย มุฮัมมัด บิน ซัลมาน กลับมาจากวอชิงตัน  พร้อมกับแรงสนับสนุนทางการเมืองจากทำเนียบขาว การทำรัฐประหารในราชวงศ์(ครอบครัว)ซาอุดิอาระเบียก็ได้เริ่มต้นขึ้น

tasnimnews  – ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ของอเมริกาไม่ได้มีความเต็มใจที่จะเลือกซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศแรกในการเยือนต่างประเทศของตน แต่วัตถุประสงค์ของการเยือนคือการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของอเมริกา ให้ยังคงความเป็นมหาอำนาจโลกเพียงผู้เดียว

เมื่อทรัมป์ได้เข้ามายังทำเนียบขาว เพื่อนร่วมงานของเขาได้มีการกำหนดแผนและการดำเนินการว่า ประธานาธิบดีคนใหม่ของอเมริกาในการเดินทางต่างประเทศครั้งแรกของเขานั้นจะต้อง ได้เงินและประสบความสำเร็จทางการเมืองมากที่สุด และการเดินทางครั้งนี้จะต้องให้ผลประโยชน์แก่อิสราเอล

การเตรียมการและการประเมินผลของการเดินทางต่างประเทศครั้งแรกของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ต้องเผชิญกับความท้าทายและความขัดแย้งบางอย่าง  และประเด็นนี้ทำให้ทรัมป์ปฏิเสธที่จะให้ “เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน ‘รองมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบียในวันที่เดินทางมาเยือนวอชิงตัน เข้าพบอย่างเป็นทางการ  โดยที่การเดินทางครั้งนี้ มุฮัมมัดบินซัลมาน ต้องการทำหน้าที่แทนบิดาของเขาคือ “กษัตริย์ซัลมาน บิน อับดุลอาซิส“กษัตริย์ซาอุดิอาระเบีย จะอย่างไรก็ตามทรัมป์ปฏิเสธได้ไม่นาน ในที่สุดก็ต้องอ่อนข้อและยอมให้เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน เข้าพบ ด้วยการติดต่อของนักธุรกิจชาวซาอุฯกับทรัมป์ ทำให้ท่าทีและจุดยืนดังกล่าวได้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ผลจากการติดต่อของนักธุรกิจซาอุฯ ทำให้ได้มีการลงนามการจัดการโครงสร้างขั้นพื้นฐานมูลค่า  5 แสนล้านดอลลาร์ระหว่าง ริยาด-วอชิงตัน และมันก็เป็นสิ่งเดียวที่โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังมองหา ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นี้เองประธานาธิบดีอเมริกา ได้ให้การต้อนรับเจ้าชาย มุฮัมหมัด บิน ซัลมาน อย่างอบอุ่น

การที่ทรัมป์ได้ตกลงในการพบปะกับรองมกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ย่อมเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับกษัตริย์ ซัลมานบิน อับดุลอาซิซ กษัตริย์แห่งซาอุดิอาระเบีย เพราะการพบปะครั้งนี้หมายความว่า เจ้าชาย มูฮัมหมัด บิน ซัลมาน จะเป็นกษัตริย์คนใหม่ของซาอุดีอาระเบียในอนาคต  ไม่ใช่  “เจ้าชาย มุฮัมมัด บิน นาเยฟ”

การพบปะครั้งนี้หมายความว่าเกิดรัฐประหารในราชวงศ์(ครอบครัว) ซึ่งในขั้นตอนแรก  “รัฐวะฮาบียุคแรก” หมายถึง การปกครองของบุตรชายของอับดุลอาซิซได้จบสิ้นลง และเริ่มต้นเข้าสู่ขั้นตอนที่สอง  “รัฐวะฮาบียุคที่สอง”  หมายถึงอำนาจอธิปไตยของตระกูลซัลมาน  หลังจากที่เจ้าชาย มุฮัมมัด บิน ซัลมาน กลับมาจากวอชิงตัน  ในขณะที่ได้รับการสนับสนุนจากทำเนียบขาว การทำรัฐประหารในราชวงศ์(ครอบครัว)ซาอุดิอาระเบียก็ได้เริ่มขึ้น

บุคคลชั้นนำในตระกูลอับดุลอาซิสหลายคนที่ดำรงตำแหน่งสำคัญและมีอิทธิพลในน้ำมันและพลังงาน การเงินและการเมืองนั้นถูกถอดถอน และแทนที่พวกเขาด้วยบุคคลที่เป็นสมาชิกครอบครัวของตระกูลซัลมาน

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เริ่มต้นที่เอกอัครราชทูตซาอุฯ ในอเมริกา เพราะเอกอัครราชทูตคนนี้สามารถเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างมุฮัมมัด บิน ซัลมานกับวอชิงตัน และเป็นการให้หลักประกันถึงการรักษาอำนาจให้คงอยู่ในครอบครอบหรือตระกูลซัลมานแทนตระกูลอับดุลอาซิส

ทรัมป์ให้การสนับสนุนวะฮาบีรุ่นที่สอง นั้นคือ ครอบครัวซัลมาน และในทางตรงกันข้ามก็ได้รับค่างวดที่สูงมาก  ประธานาธิบดีอเมริกาก็ได้นำเสนอบัญชีรายการให้กับมุฮัมมัด บิน ซัลมาน  หากมีใครสักคนได้เห็นยอดจำนวนดังกล่าวคงจะต้องทึ่ง ส่วนรองมกุฎราชกุมารแห่งซาอุฯได้ยอมรับข้อตกลงและลงนาม อย่างมีความสุข

ข้อตกลงที่ทรัมป์เรียกว่า  “การทำธุรกรรมชีวิต”  และข้อตกลงดังกล่าวนี้ ทรัมป์ได้กระซิบเบาๆให้กับลูกเขยที่เป็นยิวไซออนิสต์

ทำไมจึงเป็นการทำธุรกรรมชีวิต?

ธุรกรรมชีวิต หมายถึงข้อตกลงด้วยความช่วยเหลือของซัลมาน ทรัมป์สามารถหลอกหลวงผู้คนของอเมริกา และกล่าวกับพวกเขากล่าวว่า เราได้แก้ปัญหาการว่างงานในประเทศแล้ว ด้วยการลงทุนจากราชวงศ์หนึ่ง ซึ่งเป็นราชวงศ์(ครอบครัว)ที่เป็นหุ่นเชิดและได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา

หากซาอุดิอาระเบียลงทุน 2-3 แสนล้านดอลลาร์ในอเมริกา ปัญหาการว่างงานในประเทศก็จะหมดไป และจะนำมาซึ่งโอกาสอันมากมายให้กับทรัมป์

ประการที่สองในข้อตกลงระหว่างอเมริกาและซาอุดิอาระเบียที่มีความสำคัญ  คือ ประเด็นการซื้ออาวุธและอุปกรณ์ทางทหารจากวอชิงตันมูลค่า  1.1 แสนล้านดอลลาร์  และส่วนหนึ่งจากข้อตกลงซื้อขายทางทหารดังกล่าวนี้ คือร้อยละ 20 ของรายได้จะถูกมอบให้กับอิสราเอล ด้วยเหตุนี้ อเมริกาจึงสั่งซื้อขีปนาวุธและระบบป้องกันภัยทางอากาศจากเทลอาวีฟ

คำถามต่อไปคือ แล้ววะฮาบี แห่งราชวงศ์ซัลมาน ต้องการสิ่งใดจากในเรื่องนี้ ?

มุฮัมมัด บิน ซัลมานได้เสนอข้อเรียกร้องของเขาดังต่อไปนี้ และให้กลุ่มของผู้เชี่ยวชาญรีบดำเนินการในทันที โดยให้ผู้เชี่ยวชาญชาวยิวไซออนิสต์จำนวนหนึ่งเข้ามาควบคุมในด้านนี้ รวมทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ  และ “อับรามส์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศอิสราเอล  อับรามส์คือบุคคลที่ได้นำเสนอแผนสำหรับการทำลายอิรักและซีเรีย

ความร่วมมือในกรณีต่อไปนี้ :

1  สกัดอิทธิพลของอิหร่านและบั่นทอนอำนาจประเทศนี้ให้ลดลง และแนะนำให้ประเทศนี้เป็นรัฐบาลที่ให้การสนับสนุน กลุ่มก่อการร้าย ซึ่งหมายความว่าอิหร่านเป็นศัตรูเบอร์หนึ่ง และกลุ่มมุกอวิมัตเป็นกลุ่มก่อการร้ายที่จะต้องมีการต่อสู้กับพวกเขา

2. สงครามต่อต้านการก่อการร้าย  นั่นหมายความว่าการทำสงครามกับอิหร่าน กองทัพซีเรียและกองทัพอิรัก ปาเลสไตน์ กลุ่มมุกอวิมัตต่างๆในปาเลสไตน์  กลุ่มฮิซบุลเลาะฮ์ และกองทัพเยเมนและทุกกลุ่มที่ต่อต้านอิสราเอลและอเมริกา

3. แนะนำอิหร่านเป็นศัตรูเบอร์หนึ่งในโลกอาหรับและมุสลิมแทนที่อิสราเอล  ในกรณีซาอุดีอาระเบียและพันธมิตรของซาอุดิอาระเบียก็จะร่วมมือกับอิสราเอลในการต่อต้านเตหะราน

4. อเมริกาทำหน้าที่ในกระบวนการฟื้นฟูสันติภาพกับอิสราเอล   โดยหากมีเงื่อนไขที่เหมาะสมก็จัดตั้ง “นาโต้ของตะวันออกกลาง” และให้อิสราเอลมีส่วนร่วมสำคัญในเรื่องนี้  เหมือนกับองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ “นาโต้” และด้วยการจัดตั้งนาโต้ตะวันออกกลางนั้น อเมริกาเป็นผู้ดำเนินการฝึกอบรมและการเตรียมพร้อมข้อตกลงทางทหาร และวางแผนที่จะต่อสู้กับการก่อการร้ายนั้นคืออิหร่าน และกลุ่มมุกอวิมัตต่างๆในซีเรีย อิรักและเยเมน

5. ก่อนที่จะมีการสร้างพันธมิตรทางทหารใหม่ อเมริกาต้องให้การสนับสนุนพันธมิตรซาอุดิอาระเบียในการโจมตีเยเมนและซีเรีย ดังนั้นจะต้องมีการสกัดกั้นทุกๆการติดต่อและให้ความร่วมมือกับกองทัพอิรักและซีเรียตามชายแดนของทั้งสองประเทศ

ตอนนี้ อเมริกาได้ทำการโจมตีทางอากาศกับกองทัพซีเรียโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้เพิ่มการโจมตีในอธิปไตยของซีเรีย  เมื่อไม่นานมานี้สหรัฐใช้เครื่องบินขับไล่ไอพ่นในการสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายในประเทศซีเรียอย่างเปิดเผย ได้กำหนดเป้าหมายการโจมตีขบวนของกองกำลังทหารซีเรียในเขตพื้นที่  “Alshhmh”  ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีระยะทางห่างประมาณ 40 กิโลเมตรจากเขตแดน “Altnf” ซีเรีย – อิรัก ในการรุกรานนี้ ทำให้ทหารกองทัพซีเรียแปดนายเสียชีวิตและรถถังสามคันและรถหุ้มเกราะอีกหลายคันถูกทำลายและได้รับความเสียหาย